ตอนที่ 484 มีความหนาวรูปแบบหนึ่ง เรียกว่าความหนาวที่คู่หมั้นจินตนาการขึ้นมาเอง!
หลินเว่ยเว่ยไม่ชอบแม่ครัวคนนี้มานานแล้ว นางก็แค่ยืมดาดฟ้าท้ายเรือเพื่อทำอาหาร นายหญิงของเรือก็มักจะชักสีหน้าใส่ บางครั้งยังแอบขโมยวัตถุดิบไปตอนที่นางไม่เห็น พอโดนจับได้ก็ไม่ยอมรับผิด
ผู้คุมเรือหันไปจ้องภรรยาแล้วตำหนิว่า “ที่กู่เหนียงท่านนี้พูดเป็นความจริงหรือไม่ ? ให้ตายเถิด เจ้าเลิกนิสัยแบบนี้ได้แล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งเจ้าขึ้นเรือกลับ แล้วต่อไปเจ้าก็คอยอยู่ดูแลบ้าน ! ”
นายหญิงของเรือยังคิดจะก่อเรื่องอีก ผู้คุมเรือจึงเงื้อมือไปตบหน้าของนางหนึ่งครั้ง “เจ้ายังสร้างปัญหาให้ข้าไม่พออีกหรือ ? เจ้าต้องทำให้พวกเราติดคุกก่อนถึงจะพอใจใช่หรือไม่ ? ”
ต่อจากนั้นผู้คุมเรือก็ไปหาคนรู้จักแล้วส่งภรรยาขึ้นเรือขนสินค้าที่จะเดินทางไปยังเมืองจงโจวในคืนนั้นเลย นอกจากนั้นยังจ้างหญิงชรามาทำอาหารแทนหนึ่งคน ผู้โดยสารคนอื่นบนเรือก็ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย แต่ละวันได้รับประทานอาหารที่ค่อนข้างดีกว่าเดิม
วันแล้ววันเล่าผ่านพ้นไป เมื่อเข้าสู่กลางเดือนสิบ ในที่สุดเรือก็เทียบท่าที่เมืองเติ้งโจว จังหวะที่หลินเว่ยเว่ยยืนอยู่บนฝั่ง นางมักรู้สึกว่าเท้ากำลังสั่นและศีรษะก็มึนด้วย
จากเติ้งโจวไปยังเมืองหลวงยังต้องใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 10 วัน หลินจื่อเหยียนและซัวถัวอยู่ดูแลสัมภาระบนเรือ ส่วนหลินเว่ยเว่ยและคู่หมั้นหนุ่มออกไปหาซื้อรถม้าที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ นี้ ซึ่งผู้ที่ตามไปด้วยยังมีองครักษ์ของหนิงอ๋องทั้งสองคน
ตอนพวกนางกลับมาถึงท่าเรือก็มาพร้อมรถม้าสามคัน คันหนึ่งไว้บรรทุกถ่านและอาหารซึ่งระหว่างทางใช้แทบจะหมด สัมภาระที่ติดตัวไม่ได้มีอะไรมาก ซื้อรถม้าคันเดียวบรรทุกทั้งคนทั้งเสบียงย่อมเพียงพอ กระนั้นหลินเว่ยเว่ยรำคาญที่ต้องนั่งตัวเอนไปเอียงมาบนรถม้า นางจึงซื้อม้าให้ตัวเองอีกหนึ่งตัว
ส่วนรถม้าอีกสองคันเป็นของตำหนักหนิงอ๋องซื้อ องครักษ์สองคนรับผิดชอบขับรถม้า สาวใช้และสัมภาระอยู่ในคันเดียวกัน ส่วนครอบครัวหนิงอ๋องทั้งสี่นั่งรถม้าอีกหนึ่งคัน
แม้จะมีโจ๊กและอาหารผสมน้ำพุวิญญาณที่หลินเว่ยเว่ยนำมาส่งให้อยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยความลำบากระหว่างเดินทางจึงทำให้หนิงอ๋องมีอาการอาหารไม่ย่อย ดีก็ดีอยู่หรอกที่ไม่ได้ประชวร มีเพียงความรู้สึกเหนื่อยล้า ถือว่าดีกว่าที่พระองค์คิดไว้มาก
หนิงหวางเฟยตัดสินใจจะพักอยู่ที่ตัวเมืองสักระยะหนึ่ง ก่อนจะให้หนิงอ๋องเดินทางอีกครั้ง ตอนทั้งสองครอบครัวบอกลากัน สองพี่น้องสกุลโม่อาลัยอาวรณ์น่าดู โม่ชิงหลีดึงมือหลินเว่ยเว่ยมาจับไว้แล้วพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า “อาหญิงหลิน รอให้พวกเราไปถึงเมืองหลวงเมื่อใด ท่านจะต้องมาเล่นกับเราที่ตำหนักหนิงอ๋อง ! หากท่านไม่มา ข้ากับหยูเอ๋อร์จะเสียใจมาก ! ”
“ได้ ! รอให้พวกเจ้าไปถึงเมืองหลวง แล้วข้าจะส่งเทียบขอเยี่ยมเยียนไปหาพวกเจ้าทันที ! ” หลินเว่ยเว่ยทราบฐานะแท้จริงของสกุลโม่ตั้งนานแล้ว พอได้ยินคำว่า ‘ตำหนักหนิงอ๋อง’ สีหน้าจึงเป็นปกติ
หนิงอ๋องแย้มพระโอษฐ์…ด้วยความฉลาดของเจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ยแล้ว จะไม่เห็นความผิดปกติของพวกพระองค์ได้อย่างไร ? ระหว่างเดินทางนี้ แม้ว่าหลินกู่เหนียงจะดูแลพวกพระองค์เป็นอย่างดี แต่ไม่เคยเผยเจตนาของการประจบสอพลอ ตรงกันข้ามคือยังฉายแววตาสงสารพระองค์ออกมาเป็นครั้งคราว
ระหว่างเดินทางได้ดื่มน้ำแกงที่หลินกู่เหนียงทำให้ไม่น้อยและยังมีอาหารหลายชนิดที่มีคุณสมบัติบำรุงร่างกายให้อบอุ่น สามารถพูดได้ว่าถ้าไม่ได้รับการดูแลจากหลินกู่เหนียง พระองค์ก็คงมาไม่ถึงเติ้งโจวด้วยความราบรื่นขนาดนี้ น้ำใจของนาง หนิงอ๋องจะขอจดจำไว้ชั่วชีวิต
ตอนอำลากัน หนิงอ๋องพาลูก ๆ มาส่งพวกนางถึงหน้าประตูเมือง เจียงโม่หานมองออกจากในรถม้าก็เห็นพระวรกายอันซูบผอมราวกับไผ่เขียวโต้ลมยืนอยู่ตรงนั้น เขาเบนสายตาไปมองยังเด็กชายที่จูงพระหัตถ์ฟู่หวางอยู่ทางขวา…ชาติก่อนไม่ได้บอกว่าหนิงอ๋องยังมีบุตรชายอีกคน หรือว่าจะหายตัวไประหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวง ?
จากนั้นสายตาของเจียงโม่หานก็เลื่อนมองม้าอีกหนึ่งตัว เขามองเด็กสาวที่กำลังมีความสุขกับการท่องเที่ยวอยู่บนหลังม้า…พอได้พบกับเด็กสาวผู้มีจิตใจงดงามคนนี้ ชะตาชีวิตของหนิงอ๋องในชาตินี้ก็เปลี่ยนแปลง…
“บัณฑิตน้อย เจ้ามองอะไร ? คิดว่าท่าทางบนหลังม้าของข้าดูสง่างามมากใช่หรือไม่ ? ” หลังจากสังเกตเห็นสายตาของคู่หมั้น หลินเว่ยเว่ยก็นั่งหลังตรงทันที…เป็นอย่างไรบ้าง ? หลงเสน่ห์ในท่าทางองอาจของนางแล้วกระมัง ?
เจียงโม่หานยิ้มและส่ายหน้าเบา ๆ เขายื่นเสื้อคลุมให้นางจากทางหน้าต่างรถม้า “รีบสวมเสื้อคลุม ประเดี๋ยวก็เป็นหวัดเอาหรอก ! ”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร ? อย่างข้าน่ะเรียกว่ามีสไตล์แต่ไม่ต้องการความอบอุ่น อ้อ ยังมี ‘สวยจนตัวแข็ง’ อีกด้วย ! ” เมื่อลมหนาวพัดเข้ามา หลินเว่ยเว่ยก็ตัวสั่นทันที
“งามหรือไม่งาม ข้าไม่ออกความเห็น แต่ตัวแข็งคือเรื่องจริง ถ้าเจ้ายังดื้ออีกก็อย่าได้คิดจะขี่ม้า เข้ามานั่งในรถม้ากับข้าดี ๆ ! ” เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของเด็กน้อย เจียงโม่หานก็ไม่ตามใจนางอีกต่อไป
หลินเว่ยเว่ยรับเสื้อคลุมมาสวมไว้อย่างเชื่อฟัง เจียงโม่หานยังให้นางใส่ถุงมือและผ้าพันคออีกด้วย…ที่จริงอุณหภูมิทางฝั่งเติ้งโจวสูงกว่าเขตเริ่นอันมาก แต่มีความหนาวรูปแบบหนึ่ง เรียกว่าความหนาวที่คู่หมั้นจินตนาการขึ้นมาเอง !
หลินเว่ยเว่ยอยู่บนหลังม้าเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งก็เข้ามาในรถม้าเพื่อนอนพิงไหล่ของคู่หมั้นหนุ่ม พอเห็นผืนป่าแล้วนางก็จะออกไปล่าสัตว์เพื่อมาทำเนื้อย่างกลางแจ้ง
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ผ่านไปอีก 7-8 วัน ในที่สุดพวกนางก็เข้าสู่อาณาเขตของเมืองหลวง เจียงโม่หานชี้ไปข้างหน้าพร้อมพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “ผ่านผืนป่านี้ไปก็จะเห็นเมืองหลวงแล้ว”
หลินเว่ยเว่ยบิดขี้เกียจบนหลังม้าแล้วทำหน้าดีใจทันที “ถ้าอย่างนั้นเราก็จะถึงเขตของเมืองหลวงในเย็นวันนี้ ? ฮ่าฮ่า ! เมืองหลวงเอ๋ย ข้ามาแล้ว ! ”
ระหว่างสนทนากัน รถม้าของพวกนางก็แล่นเข้ามาในป่าผืนนั้นแล้ว กระต่ายป่าตัวหนึ่งเหมือนจะตกใจกับบางอย่าง มันวิ่งมาหาพวกนางจากด้านหน้า หลินเว่ยเว่ยรีบกระโดดลงจากหลังม้า ผ่านไปไม่นาน พอนางปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นอกจากกระต่ายป่าตัวนั้นแล้ว ในมือยังมีไก่ป่าอีกสองตัว
“ใกล้เที่ยงแล้ว อย่าทำให้อาหารเที่ยงซึ่งมาถวายตัวถึงที่ต้องเสียเปล่า ! กินอิ่มแล้วเราค่อยเดินทางเข้าเมืองหลวงรวดเดียวเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยเริ่มก่อไฟย่างกระต่าย ส่วนไก่ป่าตัวหนึ่งทำแกง อีกตัวนำมาย่าง ทานคู่กับหมั่นโถวที่ซื้อมาจากเขตใกล้เคียง ถือเป็นมื้ออาหารที่อร่อยเลิศล้ำไปเลย
ในมือของหลินจื่อเหยียนถือไม้ไผ่ที่เสียบหมั่นโถวไว้สองไม้ หลังย่างจนเหลืองหอมแล้วก็โรยด้วยผงพริก จือหราน (ยี่หร่า) และส่วนผสมซอสปิ้งย่างอื่น ๆ ลงไป รสชาติเหมือนเนื้อย่างไม่มีผิด ถ้ามีพริกย่างอีกสักไม้ก็จะอร่อยขึ้นมาก !
ในเวลานี้เอง จู่ ๆ เจียงโม่หานก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังถนนที่มุ่งสู่เมืองหลวง หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าเขาหูดีกว่าคนปกติจึงลุกขึ้นแล้วมายืนอยู่ข้างเขา “เกิดอะไรขึ้น ? ”
“มีม้าหลายตัวกำลังวิ่งมาทางนี้ ! ” เจียงโม่หานขมวดคิ้ว บนถนนจะมีคนขี่ม้าผ่านมาก็เป็นเรื่องปกติ แต่เสียงเกือกม้าที่เขาได้ยินช่างรีบเร่งจนเกินไป…ผิดปกติ !
หลินเว่ยเว่ยเห็นบางอย่างจากสีหน้าของเขา นางจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ที่นี่อยู่ใกล้เมืองหลวง เราคงไม่เจอกับพวกโจรหรอกกระมัง ? บัณฑิตน้อย เจ้าไม่ต้องกลัว ถ้ามีใครสุ่มสี่สุ่มห้ามาบุกปล้นเราจริง ๆ ข้าจะทำให้พวกมันไม่ได้กลับไปเอง ! ”
ขณะที่พูด นางก็เดินไปหยิบกระบองเหล็กประจำตัวลงจากรถม้า…เดินทางมาจนถึงตอนลงจากเรือแล้ว เจียงโม่หานก็เพิ่งได้รู้ว่านางเอาเจ้านี่มาด้วย
ระหว่างที่พูดกัน พวกนางก็เห็นคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งแล้ว หลินเว่ยเว่ยกำกระบองไว้แน่น นางแยกขา ร่างสูงโปร่งท่าทางปราดเปรียว ใบหน้าดุร้ายพอสมควร…ไม่เหมือนกำลังป้องกันตัว แต่เหมือน…ดักปล้นอีกฝ่ายเสียมากกว่า !
นางหรี่ตามองกลุ่มคนบนหลังม้า…ม้าตัวหน้าสุด ห้อตะบึงจนทิ้งห่างจากคนข้างหลังอยู่พอตัว ส่วนคนข้างหลังก็ไล่ตามอย่างไม่ลดละ…หรือว่าจะไม่ใช่การปล้นแต่เป็นการไล่ล่าเพื่อสังหาร ?