ตอนที่ 516 แผนการของสองแม่ลูก

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 516 แผนการของสองแม่ลูก

พอพูดถึงลูกสาวคนสุดท้องที่ถูกสลับตัวไป แม่ไป๋ก็แทบร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

หล่อนตอบด้วยเสียงสะอื้น “แม่อยากตามหาน้องสาวของลูกแน่นอนอยู่แล้ว แต่แม่ไม่รู้ว่าจะหาหล่อนเจอไหม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้หล่อนจะเป็นตายร้ายดียังไง”

แม่และลูกสาวเงียบกันไปครู่หนึ่ง

ทันใดนั้นไป๋ลู่ก็โพล่งขึ้นว่า “แม่คะ ฉันยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟังมาก่อน ตอนที่ฉันเจอผู้หญิงที่ช่วยฉันไว้บนรถไฟ ใบหน้าของหล่อนดูคล้ายแม่มาก ๆ เลย แม่ว่าเป็นไปได้ไหมว่าหล่อนอาจเป็นน้องสาวที่ถูกสลับตัวไปของฉัน? ไม่งั้นหล่อนจะดูเหมือนแม่อย่างกับแกะขนาดนั้นได้ยังไง!”

ไป๋ซวงซึ่งแอบฟังอยู่ข้างนอกห้องรู้สึกประหม่าจนหัวใจเต้นแรง

เป็นไปได้ไหมว่าหญิงสาวคนที่หล่อนเจอนอกประตูบ้านเมื่อกี้ที่ดูละม้ายคล้ายแม่ของหล่อนมาก จะเป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่ไป๋ลู่เจอบนรถไฟ?

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไป๋ลู่กลับไปเยี่ยมบ้านคุณยายในช่วงวันหยุดฤดูร้อน

เมื่อหล่อนกลับมา หล่อนก็เล่าให้ทุกคนในครอบครัวฟังว่าตนเกือบถูกลักพาตัวโดยขบวนการค้ามนุษย์ในระหว่างเดินทางแล้ว

โชคดีที่เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าคล้ายคลึงกับแม่ของหล่อนได้ช่วยชีวิตเอาไว้

ตอนนั้น หล่อนเอาแต่หัวเราะเยาะไป๋ลู่ที่โง่เหมือนหมูจนถูกพวกค้ามนุษย์หลอกจับตัวไปได้

ไม่คาดคิดเลยว่าเหตุการณ์นั้นจะทำให้หล่อนบังเอิญไปเจอกับน้องสาวแท้ ๆ ที่ถูกสลับตัวไป

โชคดีที่หล่อนฉลาดพอ ตอนที่เห็นผู้หญิงคนที่หน้าเหมือนแม่ ปฏิกิริยาแรกที่ทำคือโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายจากไปซะ ไม่ยอมให้พบเจอกับครอบครัวของหล่อน

ดูเหมือนว่าการกระทำจากจิตใต้สำนึกจะช่วยหล่อนเอาไว้อย่างหวุดหวิด

ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลไป๋ที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปี หลังจากเธอคนนั้นได้กลับสู้อ้อมอกตระกูลไป๋แล้ว หล่อนเองต่างหากที่จะถูกตระกูลไป๋ขับไล่ไสส่ง

ในห้องนั่งเล่น แม่ไป๋ถอนหายใจเบา ๆ “ในโลกนี้ไม่มีความบังเอิญเกิดขึ้นหรอก การที่ลูกบังเอิญเจอใครสักคนที่หน้าเหมือนแม่ท่ามกลางโลกอันกว้างใหญ่ ใช่ว่าหล่อนต้องเป็นน้องสาวของลูกเสมอไป”

ไป๋ลู่พูดอย่างจริงจัง “แต่ถ้ามันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ล่ะคะ แม่เคยบอกไม่ใช่เหรอว่าคุณปู่คุณย่าของฉันถูกส่งไปที่มณฑลหูหนานในตอนนั้น แล้วในระหว่างเดินทาง ฉันก็ได้เจอกับหลินม่ายเข้าพอดี”

แม่ไป๋ตอบกลับ “ถึงจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ลูกคงติดต่อหล่อนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงดีไม่น้อยที่เราจะได้ไปหาหล่อนแล้วตรวจสอบให้แน่ใจ”

ไป๋ลู่พยักหน้า “ติดต่อได้สิคะ ถึงข้อมูลติดต่อที่หล่อนทิ้งไว้ให้จะไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ แต่ก็ยังมีที่อยู่บ้าน หรือว่าฉันจะลองไปตามหาหล่อนในวันชาติที่จะถึงนี้ดี?”

แม่ไป๋พยักหน้า “ดีเหมือนกัน ลูกพาน้องชายไปตามหาผู้หญิงที่ชื่อหลินม่ายคนนั้นก็ได้ ส่วนพ่อกับแม่จะไปโรงพยาบาลที่แม่เคยคลอดหล่อน แล้วขอตรวจสอบประวัติของผู้หญิงในวอร์ดเดียวกันที่คลอดเด็กผู้หญิงก่อนหน้าแม่สองสามวัน ตราบใดที่เราพบอะไรสักอย่าง ก็มีโอกาสสูงที่ลูกจะได้น้องสาวคนนั้นกลับคืนมา”

หล่อนจำได้ว่าตอนนั้นมีผู้หญิงสี่คนที่นอนรอคลอดอยู่ในวอร์ดเดียวกันกับตัวเอง สองในสี่คนคลอดเด็กผู้ชาย

มีแค่หล่อนกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่านั้นที่คลอดเด็กผู้หญิง

ถึงแม้ทางโรงพยาบาลจะสะเพร่าสลับตัวลูกสาวของหล่อนจริง ๆ แต่ด้วยพื้นที่เล็ก ๆ แบบนั้น คงไม่ยากต่อการค้นหา

ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังวางแผนตามหาลูกสาว/น้องสาวที่พลัดพรากจากกันมานาน พวกหล่อนก็ได้ยินเสียงของน้าถงดังมาจากด้านนอกประตู “ซวงซวง ทำไมมายืนอยู่ข้างนอกล่ะคะ ไม่เข้าไปข้างในเหรอ?”

ยุคสมัยนี้ ถือเป็นช่วงเริ่มแรกของการปฏิรูปและการเปิดประเทศ

ต่อให้เป็นครอบครัวของคนที่มีฐานะ ก็ไม่กล้าสั่งให้พี่เลี้ยงหรือแม่บ้านเรียกลูก ๆ ของนายตัวเองว่านายน้อยหรือคุณหนู

สาเหตุเพราะกลัวโดนตราหน้าว่าเป็นชนชั้นนายทุน

ดังนั้นแม่บ้านของครอบครัวที่ร่ำรวยจึงมักจะเรียกลูก ๆ ของเจ้านายตัวเองด้วยชื่อเล่นของพวกเขา

ตระกูลไป๋เองก็ไม่มีข้อยกเว้น

ไป๋ซวงกำลังแอบฟังอย่างใจจดใจจ่อจนไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าน้าถงเดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง ทำให้หล่อนแทบกระโดดขึ้นจากพื้นด้วยความตกใจสุดขีด

หล่อนพยายามซ่อนความตื่นตระหนกบนใบหน้าอย่างสุดความสามารถ หลังจากปกปิดได้แล้วก็ตอบกลับ “ฉันกำลังจะเข้าไปพอดี”

จากนั้นก็เปิดประตูห้องนั่งเล่น และเดินเข้าไป

น้าถงก็เดินตามเข้ามาด้วย หันไปพูดกับแม่ไป๋ “คุณหลิวคะ ซุปปลาช่อนเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ให้ฉันเอาไปส่งให้เหยียนเหยียนเดี๋ยวนี้เลยไหมคะ?”

เหยียนเหยียนคือชื่อเล่นของลูกสาวคนโตตระกูลไป๋ ชื่อจริงของเธอคือไป๋เหยียน

ในบรรดาพี่น้องทั้งสี่คน มีแค่หล่อนคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เกิดตรงกับยี่สิบสี่ฤดูกาลจีน ดังนั้นชื่อของหล่อนจึงไม่ได้ตั้งตามวันสำคัญต่าง ๆ

แม่ไป๋ตอบ “ยังไม่ต้อง ช่วยอุ่นซุปปลาช่อนไว้บนเตาให้ร้อนตลอดเวลาก็แล้วกัน หลังมื้อกลางวันฉันจะเป็นคนเอาไปส่งให้หล่อนเอง”

น้าถงรับคำสั่งแล้วหันหลังเดินกลับออกไปเพื่อเตรียมอาหารกลางวันต่อ

แม่ไป๋หันไปพูดเสียงเบากับไป๋ซวงที่ยืนทำหน้าไม่สบายใจ “ไปเถอะ ไปห้องอาหารเพื่อทานอาหารกลางวันกัน”

อยู่ดี ๆ ไป๋ซวงก็น้ำตาตกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ทั้งแม่ไป๋และไป๋ลู่ต่างตกใจ

แม่ไป๋รีบเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง “ซวงซวง ลูกเป็นอะไรไป?”

ไป๋ลู่เองก็ถามขึ้นจากด้านข้าง “น้องสาว เธอร้องไห้ทำไม?”

ไป๋ซวงได้ยินแล้วยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ข้างนอกเพื่อแอบฟัง ตั้งแต่ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของแม่ ฉันก็กลัวมาก กลัวว่าแม่จะทิ้งฉันไปหลังจากเจอลูกสาวแท้ ๆ ของแม่คนนั้น ฉันก็เลยหลบอยู่หลังประตูแล้วแอบฟังว่าพวกคุณกำลังคุยอะไรกัน”

ทั้งแม่ไป๋และไป๋ลู่ไม่ได้สนใจเรื่องที่หล่อนแอบฟัง ถึงอย่างนั้นพวกหล่อนต่างก็รู้สึกผิดกันทั้งคู่ จึงช่วยกันอธิบาย

แม่ไป๋เข้าไปโอบร่างเธอไว้ในอ้อมแขน “เด็กโง่เอ๋ย ไม่ว่ายังไงลูกก็เป็นเด็กที่แม่เลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของแม่ แม่จะทิ้งลูกลงคอได้ยังไง เลิกคิดอะไรแบบนี้ได้แล้ว”

ไป๋ลู่พูดสมทบด้วยว่า “ถึงพวกเราจะได้น้องสาวแท้ ๆ กลับมา พวกเราก็ไม่มีวันไล่เธอไปไหนแน่”

ได้ยินแค่นั้นไป๋ซวงก็รู้สึกโล่งใจ

พอหลินม่ายกลับไปที่เกสต์เฮาส์ เธอก็เห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยกลับมาแล้วเช่นกัน

ทันทีที่เจอหน้ากัน เขาบอกหลินม่ายว่าตัวเองได้เจรจาทำสัญญากับโรงงานผลิตอุปกรณ์ทำความเย็นแล้วเรียบร้อย และจะเข้าไปเซ็นเอกสารรับสินค้าในตอนบ่ายอีกที จึงกลับมาถามหลินม่ายก่อนว่าเธออยากตามเขาไปตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์จากโรงงานในตอนบ่ายด้วยกันไหม

หลินม่ายพยักหน้าตอบรับ

ตอนเที่ยง ทุกคนไปที่ร้านเฉวียนจวี้เต๋อเพื่อรับประทานเป็ดปักกิ่ง

ราคาอาหารของร้านเฉวียนจวี้เต๋อในยุคนี้ยังอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล อีกทั้งรสชาติก็ไม่เลว แถมยังอร่อยถูกปาก

ไม่เหมือนกับหลายทศวรรษต่อมาที่นอกจากจะราคาแพงแล้วยังไม่อร่อย

ตอนบ่าย ถึงหลินม่ายจะตามฟางจั๋วเยวี่ยไปตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ทำความเย็นตามที่เขาเชิญชวน แต่ความจริงแล้วเธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับพวกมันเลย แค่แกล้งเออออห่อหมกไปอย่างนั้น หน้าที่หลักของเธอคือการเซ็นเอกสารและจ่ายเงิน

หลังจากสั่งซื้ออุปกรณ์ทำความเย็นเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ตรงไปที่สถานีรถไฟ ใช้บุหรี่และซองอั่งเปาเป็นเครื่องมือกรุยทาง จากนั้นก็ฝากส่งวัสดุอุปกรณ์ทำความเย็นกลับไปที่เจียงเฉิง

ทั้งสองกลับมาที่เกสต์เฮ้าส์ด้วยความเหนื่อยอ่อน ยังไม่ทันดื่มชาจนหมดถ้วยด้วยซ้ำ หัวหน้าฝ่ายโฆษณาของสำนักหนังสือพิมพ์ข่าวค่ำปักกิ่งก็โทรเข้ามา

เขาแจ้งหลินม่ายว่าทางสำนักหนังสือพิมพ์ได้เตรียมรูปแบบโฆษณาไว้เรียบร้อยแล้ว ขอให้เธอมาตรวจสอบอีกครั้ง ถ้าไม่มีอะไรต้องแก้ไขเขาจะได้ส่งต่อไปยังแผนกตีพิมพ์เลย

หลินม่ายรีบออกไปทันที

ถึงแม้ทางหนังสือพิมพ์จะพิมพ์โฆษณาเป็นแบบขาวดำให้หลินม่ายเพื่อประหยัดงบประมาณ แต่ภาพโฆษณาก็ยังสื่อถึงความหรูหรามีระดับ ซึ่งหลินม่ายพึงพอใจมาก

ทันใดนั้นเธอก็เกิดความคิดอยากส่งแฟกซ์โฆษณาสิ่งพิมพ์นี้ไปยังพนักงานส่งเสริมขายทั้งในปักกิ่ง กว่างโจว และเซี่ยงไฮ้ ให้พวกเขาพิมพ์โฆษณานี้ออกมาเป็นโปสเตอร์ แล้วเอาไปแขวนตามร้านค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่าง ๆ

หลินม่ายขอโฆษณาสิ่งพิมพ์จากทางหนังสือพิมพ์มาหลายฉบับ จากนั้นก็ต่อสายตรงหาเถาจืออวิ๋นทันทีที่กลับถึงเกสต์เฮาส์ บอกให้หล่อนรีบติดต่อพนักงานส่งเสริมการขายที่กำลังเดินทางมาคุยธุรกิจในปักกิ่ง กว่างโจว และเซี่ยงไฮ้ ขอให้พวกเขาโทรเข้ามาที่เกสต์เฮาส์ซึ่งเธอพักอยู่อีกทีหนึ่ง

ก่อนหน้านี้หลินม่ายเคยกำชับไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าทันทีที่พนักงานขายเดินทางมาถึงที่หมายและได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว ให้พวกเขาโทรกลับไปหาเถาจืออวิ๋นเพื่อแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ของโรงแรมที่พวกเขาพักอยู่

หมายความว่าเถาจืออวิ๋นจะสามารถติดต่อกับพนักงานขายที่เดินทางมาคุยธุรกิจได้

ครึ่งชั่วโมงต่อมา พนักงานขายทั้งหมดจากทั้งสามเมืองก็โทรกลับมาหาเธอ

หลินม่ายไม่ได้ถามว่าพวกเขามีกลวิธีทางการตลาดอย่างไรบ้าง

พนักงานขายทั้งเก้าคนออกเดินทางโดยขึ้นรถไฟในวันเดียวกันกับเธอ จึงเพิ่งมาถึงที่หมายในวันนี้ ดังนั้นพวกเขายังไม่มีเวลาเริ่มต้นเจรจาธุรกิจแน่

เธอถามพนักงานขายที่อยู่กว่างโจวและเซี่ยงไฮ้ว่าถ้าเธอส่งแฟกซ์ไปให้ พวกเขาพอจะหาช่องทางการรับแฟกซ์ได้หรือเปล่า

ครึ่งชั่วโมงต่อมา พนักงานขายทั้งสองแห่งก็โทรกลับมาบอกว่าสามารถรับได้

หลังจากนั้นหลินม่ายจึงส่งแฟกซ์โฆษณาสิ่งพิมพ์ไปให้พวกเขา

ส่วนพนักงานขายในปักกิ่ง เธอขอให้พวกเขาแวะเข้ามาที่เกสต์เฮาส์ของเธอเพื่อรับโฆษณาสิ่งพิมพ์โดยตรง

พนักงานขายสามคนที่ถูกส่งมาเจรจาธุรกิจเพื่อเปิดตลาดใหม่รู้สึกทึ่งมากเมื่อรู้ว่าหลินม่ายเองก็มาถึงปักกิ่งแล้วเหมือนกัน พวกเขาไม่คิดว่าเธอจะมาถึงเมืองหลวงเร็วขนาดนี้

พนักงานขายที่เหรินเป่าจูเป็นคนคัดเลือกให้เดินทางมาเจรจาธุรกิจโดยเฉพาะ ล้วนเป็นพนักงานขายที่เก่งที่สุดของโรงงานตัดเสื้อ พวกเขามีความสามารถในการจัดการสิ่งต่าง ๆ อย่างมีแบบแผน

พนักงานขายทั้งสามคนในปักกิ่งทำงานที่ได้รับมอบหมายจากหลินม่ายเสร็จภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง

ตอนเย็น หลินม่ายชวนทุกคนไปกินอาหารมื้อใหญ่ที่เฟิงเจ๋อหยวน และสั่งเมนูเด็ดของร้านอย่างเช่น ขาหมูเย็น(1) ปลิงทะเลเคี่ยวต้นหอม ไก่กรอบจักรพรรดิ ลูกชิ้นทอดเปรี้ยวหวาน(2) รสชาติยอดเยี่ยมทุกรายการ

หลินม่ายเงยหน้ามาคุยเรื่องงานกับพนักงานขายทั้งสามเป็นครั้งคราว ในขณะที่ฟางจั๋วเยวี่ยกับบอดี้การ์ดอีกสี่คนเอาแต่จดจ่ออยู่กับการกินจนไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองใคร

พนักงานขายคนหนึ่งเล่าประสบการณ์ตอนที่ตัวเองเข้าไปในไปห้างสรรพสินค้าชั้นนำตอนบ่ายวันนี้เพื่อเปิดตลาดใหม่ แต่ผู้จัดการกลับไม่อยู่

“เราไม่ได้เข้าพบเขาด้วยซ้ำ”

พนักงานขายอีกสองคนพยักหน้าหงึกหงักทันที บอกว่าตัวเองก็พบเจอกับสถานการณ์นี้ไม่ต่างกัน

หลินม่ายนึกแปลกใจ “พวกคุณทำงานกันเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? มาถึงไม่ทันไรก็เริ่มเปิดตลาดแล้ว?”

เธอคิดว่าพวกเขาจะเริ่มงานอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้เสียอีก ไม่คาดคิดว่าทุกคนจะเริ่มงานกันวันนี้เลย

พนักงานขายทั้งสามพูดว่า “เหลือเวลาอีกแค่สองสามวันก่อนจะถึงวันชาติ เราไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียเปล่า”

หลินม่ายแนะนำ “ในเมื่อผู้จัดการห้างไม่อยู่ งั้นพวกคุณก็ซื้อของขวัญติดไม้ติดมือเข้าไปขอพบเขาถึงบ้านสักหน่อยแล้วกัน ตราบใดที่มีของขวัญอยู่ในมือ ไม่ต้องกลัวว่าจะเข้าหาใครไม่ได้”

หลังอาหารมื้อใหญ่ หลินม่ายแยกบอดี้การ์ดออกเป็นสี่กลุ่ม ให้เดินทางไปกับพนักงานขายทั้งสามคน เป้าหมายคือไปเยี่ยมเยียนผู้จัดการห้างสรรพสินค้าถึงที่บ้านพักของพวกเขา

ตัวหลินม่ายไปเยี่ยมผู้จัดการห้างสรรพสินค้าปักกิ่ง

ห้างสรรพสินค้าปักกิ่งเป็นศูนย์การค้าชั้นนำที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง คาดเดาว่าขั้นตอนการเจรจาอาจยากที่สุด จึงเป็นเหตุผลที่หลินม่ายต้องเดินทางไปคุยธุรกิจด้วยตัวเอง

เนื่องจากเขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียงที่สุดในปักกิ่ง แน่นอนว่าภรรยาของเขาก็มีรสนิยมสูงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากซักถามหลินม่ายอยู่เป็นเวลานาน และเห็นว่าของขวัญที่เธอนำมาด้วยมีมูลค่าไม่ใช่น้อย ๆ จึงเชิญเธอเข้าไปในบ้านอย่างไม่ลังเล

ว่ากันว่ารับมือกับพญายมได้ง่าย แต่รับมือสมุนผีได้ยาก ในเมื่อเธอมีโอกาสได้เจรจากับพญายมโดยตรงแล้ว เรื่องต่าง ๆ คงไม่ยากเย็นเกินไป

ผลคือข้อเสนอของหลินม่ายดึงดูดใจมาก นอกจากจะได้รับค่าเช่าร้านที่สูงมากแล้ว ยังได้ค่าคอมมิชชั่นจากการขายอีก ห้างสรรพสินค้าทำกำไรได้อย่างมั่นคงโดยไม่เสียผลประโยชน์ใด ๆ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่เห็นด้วย

ผู้จัดการห้างสรรพสินค้าปักกิ่งขอให้หลินม่ายเข้าไปที่สำนักงานบนห้างเพื่อเซ็นสัญญาในวันพรุ่งนี้ เขาจะจัดสรรทำเลชั้นเยี่ยมให้กับร้านUnique และร้านUniqueสามารถเปิดตัวได้ภายในวันเดียวกันนั้นเลย

ไม่นานหลังจากหลินม่ายกลับมาถึงเกสต์เฮ้าส์ พนักงานขายหลายคนก็โทรกลับมาแจ้งข่าวดีเช่นกัน บอกว่าการเจรจาของทางฝั่งพวกเขาก็เป็นไปอย่างราบรื่น

………………………………………………………………………………………………………………………….

ขาหมูเย็น เมนูชื่อดังของซานตง อาศัยคอลลาเจนจากหนังหมูทำให้เมนูนี้กลายเป็นวุ้นขาหมู อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://tw-cai.blogspot.com/2015/06/blog-post_29.html

ลูกชิ้นทอดเปรี้ยวหวาน เป็นอาหารขึ้นชื่อของซานตง ทำลูกชิ้นขึ้นจากเนื้อหมูสับปรุงรส นำไปทอด จากนั้นนำไปผัดกับซอสรสชาติเปรี้ยวหวานอีกทีหนึ่ง

สารจากผู้แปล

นึกว่าจะมีดราม่าขับไล่ลูกที่ไม่ใช่ลูกแท้เหมือนเรื่องอื่นๆ เสียแล้ว

ยึดหัวหาดที่ปักกิ่งสำเร็จแล้ว ที่อื่นๆ ก็ง่ายแล้วทีนี้

ไหหม่า(海馬)