ได้ยินที่ลี่หุยพูด ลี่หยูนห่วนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “แกต้องการร่วมมือกับฉัน? เดิมทีเราสองคนก็คือศัตรูกัน มีอะไรให้น่าร่วมมือ? ไม่ใช่ว่าจะหาทางทำร้ายฉันหรอกนะ?”
“ทำไมนายถึงได้คิดอย่างนั้นล่ะ? นายยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้อีกเหรอ? เดิมทีก็ไม่ใช่พวกเราสองคนแย่งชิงบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปกันเองสักหน่อย แต่เป็นพวกเราสองคนกำลังแย่งทุกอย่างจากลี่จุนถิงต่างหาก เข้าใจไหม?” ลี่หุยเบ้ปาก เอ่ยพูดอย่างเอือมระอาเล็กน้อย
ลี่หยูนห่วนทำเสียง เหอะ ออกมาอย่างไม่เห็นด้วย
“คำพูดนายนี่น่าสนใจจริง ๆ ลี่จุนถิงหายตัวไปตั้งนานแล้ว จากที่ฉันดูคงจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นแล้วล่ะมั้ง กลับมาไม่ได้แล้ว ฉะนั้นผู้ดูแลบริษัทคนต่อไปก็ต้องตกเป็นของพวกเราสองคนอยู่แล้ว ไม่ใช่เหรอ?”
“ท่านปู่ลี่ให้ความสำคัญกับลี่จุนถิงขนาดนั้น แม้ว่าตอนนี้ลี่จุนถิงจะไม่อยู่ แต่เขาก็ฝืนร่างกายตัวเองมาควบคุมสถานการณ์เอาไว้ มันหมายความว่ายังไงล่ะ? หมายความว่าท่านปู่ลี่ไม่ยอมยกบริษัทให้พวกเราคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นฉันถึงคิดจะร่วมมือกับนายไง!”
ลี่หุยขมวดคิ้ว เอ่ยพูดช้า ๆ
คำพูดของลี่หุยทำให้ลี่หยูนห่วนที่อยู่ปลายสายเงียบลง เขาคิดอย่างถี่ถ้วน พบว่าสิ่งที่ลี่หุยพูดก็เป็นเรื่องจริง ท่านปู่ลี่เป็นเหมือนอย่างที่เขาพูด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยสนับสนุนตัวเองหรือว่าลี่หุยเลย แม้แต่ลี่เจี้ยนเย่ก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย
“แกจะร่วมมือยังไง?” เงียบอยู่นาน ในที่สุดลี่หยูนห่วนก็พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม
ได้ยินน้ำเสียงของลี่หยูนห่วนผ่อนคลายลงเล็กน้อย ลี่หุยก็รู้สึกดีใจ รีบเอ่ยพูด “แน่นอนว่าถ้าใครสนับสนุนฉัน ฉันก็จะปล่อยไป แต่ถ้าใครขัดขวาง ก็กำจัดมันทิ้งซะ! ในเมื่อปู่เกลียดชังพวกเราสองคน งั้นพวกเราก็ทำให้เขาควบคุมบริษัทไม่ได้เลยละกัน แบบนั้น บริษัทก็ตกเป็นของฉันกับนายแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“แกหมายความว่า จะฆ่าคุณปู่เหรอ?” ลี่หยูนห่วนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจ
“ถูกต้อง! ยังไงสุขภาพท่านปู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็แย่ลงทุกวันอยู่แล้ว ปล่อยไว้เขาก็ขัดขวางแผนการของพวกเราเปล่า ๆ สู้กำจัดเขาทิ้งไปซะจะดีกว่า จากนั้นก็ยึดบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปทั้งหมดมาเป็นของเรา เมื่อพวกเราควบคุมบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปได้แล้ว แม้ว่าลี่จุนถิงจะกลับ ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ จริงไหม?”
เมื่อพูดจบ รอยยิ้มของลี่หุยก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ลี่หยูนห่วนคอยฟังอย่างเงียบ ๆ มาตลอด ที่จริงเขาก็รู้สึกใจเต้นมาก แต่เมื่อนึกถึงท่านปู่ลี่ที่ปกติเป็นคนเด็ดขาดมาก ก็ลังเลขึ้นมาเล็กน้อย “แกตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมที่จะทำอย่างนี้? ถ้าหากมีคนจับได้ละก็ พวกเราสองคนจบเห่แน่!”
“ปกติฉันเห็นนายเป็นคนกล้าได้กล้าเสียนี่นา ทำไมพอเจอเรื่องแบบนี้แล้วกลัวหัวหดขึ้นมาล่ะ? นายวางใจเถอะ ฉันต้องหาคนที่ไว้ใจได้ไปจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน ไม่มีทางให้ถูกจับได้หรอก นายยังมีอะไรต้องกลัวอีกล่ะ?”
ลี่หุยยิ้มมุมปากออกมาอย่างไม่แยแส
ถูกลี่หุยกระตุ้นอย่างนี้ บวกกับการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของตัวเอง เมื่อคิดไปคิดมา ลี่หยูนห่วนก็พยักหน้าเล็กน้อย “ตกลง ฉันจะร่วมมือกับแก ตอนนี้แกก็เข้าใจสถานการณ์ของลี่ซื่อกรุ๊ปดี แล้วแกคิดจะทำอะไรต่อไป?”
เมื่อได้รับคำตอบที่ตัวเองพอใจ รอยยิ้มบนหน้าลี่หุยก็ยิ่งเปล่งประกายออกมา “ต้องกว้านซื้อหุ้นก่อน จากนั้นค่อยไปจัดการเรื่องของปู่! ลี่จุนถิงหายตัวไปนาน มีผู้ถือหุ้นหลายคนเริ่มสั่นคลอนแล้ว ตอนนี้พวกเราต้องพยายามให้มากขึ้น ถึงเวลาผลลัพธ์ที่ออกมาต้องดีมากแน่นอน”
“ตกลง งั้นพวกเรานัดเจอกันหน่อยเถอะ จะได้หารือแผนการต่อไปกันสักหน่อย!”
ลี่หยูนห่วนปิดเอกสารที่อยู่ในมือ แล้วเอ่ยพูดอย่างช้า ๆ
ทั้งสองคนเมื่อตกลงกันได้แล้ว ไม่นานก็ได้มาเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง หลังจากปรึกษาหารือกันเสร็จ ก็ตรงไปยังบ้านของผู้ถือหุ้น เพื่อซื้อหุ้นของพวกเขา
……
“อะไรนะ? พวกนายอยากซื้อหุ้นที่ฉันถืออยู่งั้นเหรอ?”
ณ สวนหลังบ้านที่เงียบสงบ ท่านประธานหลี่มองไปที่ลี่หุยและลี่หยูนห่วนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าพวกเขาต้องการทำอะไรกันแน่
“คุณไม่ได้ฟังผิดหรอกครับ พวกเราก็ไม่ได้พูดผิดด้วย ท่านประธานหลี่ พวกเราสองคนอยากซื้อหุ้นของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปที่คุณถืออยู่ ต้องการเท่าไหร่ คุณเสนอราคามาได้เลย พวกเราพยายามตอบสนองคุณอย่างเต็มที่!”
ลี่หยูนห่วนโบกมือ สีหน้าดูใจกว้าง
“ใช่ครับท่านประธานหลี่ พวกเราอยากซื้อหุ้นของคุณด้วยใจจริง คุณขายให้พวกเราเถอะนะครับ!” ลี่หุยที่อยู่ข้าง ๆ คอยพูดเสริม
ท่านประธานหลี่ขมวดคิ้ว แล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “พวกนายก็มีหุ้นอยู่ในมือแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมอยากได้หุ้นของฉันอีกล่ะ? ไม่ใช่ว่าต้องการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป เพื่อจะสู้กับลี่จุนถิงหรอกนะ?”
เมื่อถูกท่านประธานหลี่เดาใจออกอย่างนี้ ลี่หุยเลยไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านประธานหลี่ ตอนนี้สภาพของบริษัทเป็นยังไงคุณก็น่าจะรู้ดี ลี่จุนถิงหายตัวไป จะกลับมาได้ไหมก็ยังเป็นปัญหาอยู่ หวังพึ่งพาลี่จุนซินกับเจียงหยุนเอ๋อ ผู้หญิงสองคนจะไปทำอะไรได้ล่ะ?”
“ใช่ครับท่านประธานหลี่ ผู้หญิงสองคนนั้นไม่รู้ทักษะการบริหารบริษัทเลยสักนิด อีกทั้งไม่มีประสบการณ์ใด ๆ ถ้ายกบริษัทให้พวกเธอสองคนดูแล จะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่เหรอ! คุณกับคุณปู่สร้างบริษัทนี้มาด้วยกัน คงไม่อยากให้บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปถูกทำลายด้วยน้ำมือผู้หญิงสองคนนั้นหรอกใช่ไหมครับ?” ลี่หยูนห่วนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ
ได้ยินดังนั้น ท่านประธานหลี่ก็หวั่นไหวเล็กน้อย เขาขมวดคิ้ว “แต่ว่าพวกนายน่ะ? ฉันก็มองไม่เห็นความสามารถบนตัวพวกนายที่จะดูแลควบคุมบริษัทได้เลยนะ? ถ้าหากยกบริษัทให้พวกนาย แต่พวกนายไม่มีความสามารถอะไร งั้นฉันก็ไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
การปัดความรับผิดชอบของท่านประธานหลี่ ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อคิดถึงหุ้นที่เขาถืออยู่ ก็อดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ แล้วยิ้มพลางพูดเสียงเบา ๆ ว่า
“ท่านประธานหลี่ ถึงแม้พวกเราจะไม่สามารถดูแลได้ดีเท่าลี่จุนถิง แต่ยังไงพวกเราก็เก่งกว่าลี่จุนซินและเจียงหยุนเอ๋อนะครับ? คุณอยากขาดทุน หรือว่าอยากได้กำไรเล็กน้อยล่ะครับ?”
“ใช่ครับ ท่านประธานหลี่ พูดตามตรงเลยนะครับ ที่จริงภายในบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปมีผู้ถือหุ้นหลายคนต่างรู้สึกว่าพวกเราสองคนเก่งกว่าเจียงหยุนเอ๋อและลี่จุนซิน อีกอย่างพนักงานในบริษัทไม่ว่าจะตำแหน่งไหนต่างก็เห็นด้วยอย่างนั้น คุณยังลังเลอะไรอีกครับ? ยอมขายหุ้นให้พวกเราเถอะนะครับ!”
ลี่หุยยิ้มมุมปากข้างเดียวเล็กน้อย แล้วเอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ
ท่านประธานหลี่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาสองคนพูดเป็นเรื่องจริง เมื่อคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ก็ได้ ที่พวกนายพูดเมื่อกี้ก็มีเหตุผลมาก นักธุรกิจน่ะ ยังไงก็ต้องมองผลประโยชน์เป็นหลักอยู่แล้ว ในเมื่อพวกนายทำได้ดีกว่าผู้หญิงสองคนนั้น งั้นฉันก็จะยอมขายหุ้นให้กับพวกนาย!”
ขณะพูด เขาก็เซ็นชื่อตัวเองลงในสัญญาด้วยท่าทีสบาย ๆ ลี่หุยและลี่หยูนห่วนต่างสบตากันอย่างพึงพอใจ
ผู้ถือหุ้นอีกหลายคนที่เหลือก็ยิ่งไม่ต้องเสียเวลาพูดให้มากความ เมื่อเข้าใจเจตนาของพวกเขา ก็เซ็นชื่อของตัวเองลงในสัญญาอย่างว่าง่าย
ผ่านไปหนึ่งวัน ถึงแม้ยังมีผู้ถือหุ้นบางคนแสดงเจตนาว่าอยากดูความสามารถของเจียงหยุนเอ๋อและลี่จุนซินไปก่อน แต่ผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ ที่เหลือส่วนใหญ่ก็ได้ยอมโอนหุ้นให้พวกเขากันหมด