นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 365 ทำสงคราม

โจวกุ้ยหลานยิ่งกล่าวก็ยิ่งกังวล

ใครจะคิดกันเล่าว่าจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้ได้

หากเหล่าไท่ไท่เป็นอะไรขึ้นมาละก็……

เมื่อคิดถึงตรงนี้หัวใจของนางก็สั่นเทา มิกล้าคิดเรื่องราวต่อจากนี้

สวีฉางหลินตบลงไปที่บ่าของนางเบาๆ แล้วปลอบโยนว่า “มิเป็นอะไรหรอก” จากนั้นนางเองก็ผ่อนคลาย เมื่อหวนคิดถึงนิสัยอันมิยอมให้ผู้ใดเอาเปรียบของเหล่าไท่ไท่ และความสามารถในการอดทนต่อสู้เอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ทว่าล้วนผ่านมันมาได้ ในใจของนางก็เกิดความหวังขึ้นเล็กน้อย

“เจ้าว่า พวกเราควรจะไปช่วยพวกเขาหรือไม่?” โจวกุ้ยหลานเอ่ยถามเขา

และนี่ก็คือเหตุผลสำคัญที่นางมาหาสวีฉางหลินในวันนี้ เนื่องด้วยเรื่องราวเหล่านี้ นางเองก็ไร้ความสามารถ

นางเพียงลำพังมิมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์จลาจลในยุคนี้เลย สิ่งที่นางพอจะคิดถึงได้ก็คือกลับไปที่หมู่บ้านต้าสือ แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ระหว่างทางกลับไปจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง เกรงว่ามิทันจะได้กลับไปช่วยใคร นางเองก็จะเกิดเรื่องเสียก่อน

แต่หากจะให้นางนั่งทนรอต่อไปเช่นนี้นางเองก็ทำมิได้

สวีฉางหลินปล่อยนางออก ก่อนจะยืนนิ่งแล้วขมวดคิ้ว “การประชุมในเช้านี้เราจะหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประกาศนิรโทษกรรมเป็นวิธีที่ดีที่สุด ข้าจะเสนอเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท ให้พวกเขามีข้าวมีปลามีอาหารกิน”

นี่คือเหตุผลที่เกิดการจลาจลขึ้น เพียงแค่ปัญหานี้คลี่คลาย ความวุ่นวายทั้งหลายก็จะกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติอีกครั้ง

โจวกุ้ยหลานพยักหน้า เรื่องราวเหล่านี้นางเชื่อและไว้ใจสวีฉางหลิน

ทั้งสองสนทนากันอยู่สักพัก สวีฉางหลินเหลือบมองดูท้องฟ้า เขาจำเป็นต้องปล่อยโจวกุ้ยหลานออกจากอ้อมแขน เพื่อรีบไปประชุมตอนเช้านี้ให้ทัน

แม้โจวกุ้ยหลานจะมิอยากจากเขา แต่ก็มิอาจเข้าไปขัดขวางธุระปะปังของเขาได้

นางยืดตัวขึ้นแล้วจัดแจงเสื้อผ้าให้แก่เขา ก่อนจะเดินตามเขาไปทีละก้าวๆ จนมาถึงรถม้า

ผู้คนเหล่านั้นเห็นทั้งสองเดินจูงมือกันมาก็ตกใจเสียจนอ้าปากค้าง

ฝั่งคนขับรถม้าได้สติก่อนผู้อื่น จึงรีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วกล่าวกับสวีฉางหลินด้วยความนอบน้อมว่า “คุณชาย คุณชายขอรับ พวกเรา……พวกเราใกล้จะไปมิทันเวลาแล้ว……”

ขณะที่กล่าวประโยคนี้สายตาก็เหลือบมองไปยังทั้งสองที่จับมือกันอยู่ หัวใจของเขาเย็นวาบทันที

ตายแล้ว ตายแน่! แม่นางผู้นี้คือฮูหยินของพวกเขาจริงๆ แต่เมื่อครู่ตนกลับตะคอกใส่นาง

ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรกันดี……!

สวีฉางหลินมองไปยังท้องฟ้า แล้วสั่งให้คนขับรถม้าไปจูงม้าออกมา คนขับรถม้าจึงตอบรับทันควันแล้วรีบไปจัดการธุระตามคำสั่ง

รอจนกระทั่งเขาจากไปแล้ว สวีฉางหลินจึงหันกลับมา เอ่ยกับโจวกุ้ยหลานด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า “รอข้ากลับมา”

โจวกุ้ยหลานเผยอริมฝีปากขึ้น แล้วพยักหน้าตอบรับเขา

คนขับรถม้าเดินจูงม้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าสวีฉางหลิน เขาจึงปล่อยมือโจวกุ้ยหลานแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า หันมามองนางทีหนึ่งก่อนจะควบม้าจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อร่างของเขาหายลับจากสายตาไปแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงเดินตรงกลับไปที่รถม้าของตน

ผู้คุ้มกันทั้งสองเห็นนางขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว จึงได้รีบตรงไปที่รถม้าของนาง คนหนึ่งจูงม้า อีกคนหนึ่งพยุงรถม้า

โจวกุ้ยหลานหยุดฝีเท้าลงแล้วคิดอยู่ในใจว่า ล้วนเฉลียวฉลาดนัก……

นางก็มิอยากจะทำให้พวกเขาต้องรู้สึกอึดอัดใจ จึงเดินไปยังรถม้าตรงหน้า ตั้งใจจะหยิบเก้าอี้ที่ใช้สำหรับก้าวขึ้นรถ ผู้ที่พยุงรถม้าเอาไว้ก็รีบพุ่งกายเข้าไป นางยังมิทันจะสัมผัสไปยังเก้าอี้ ก็ถูกแย่งไปโดยเขาแล้วนำมาวางไว้ตรงขาของนาง

“ฮูหยินขอรับ เชิญเถิด”

โจวกุ้ยหลานหันไปเหลือบมองดูเขาแล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆ

ผู้คุ้มกันผู้นั้นจึงถอนหายใจออกมา ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มขึ้น

เมื่อนางขึ้นไปบนรถม้านั่งเรียบร้อยแล้ว ขณะที่นางกำลังคิดว่าคนขับรถม้าของตนเมื่อไรจะมาถึง คนขับรถม้าของสวีฉางหลินก็ขึ้นมานั่งบนที่บังคับรถม้า

“ฮูหยินจะไปที่ใดหรือขอรับ?”

โจวกุ้ยหลานมิเคยชินกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันนี้ นางตกตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่ง

คนขับรถม้าผู้นั้นมีความอดทนค่อนข้างสูง เขารอจนกระทั่งนางตอบ

ในเมื่อมีคนอาสาจะไปส่ง เช่นนั้นนางก็ยินดี ด้วยเหตุนี้จึงมิได้ปฏิเสธ

นางบอกสถานที่ซึ่งนางต้องการไป คนขับรถม้าตอบรับทันควันแล้วรีบบังคับม้าให้กลับรถ

ผู้คุ้มกันทั้งสองคนเห็นดังนั้นก็รีบปล่อยมือจากรถม้าแล้วถอยห่างไปอยู่ด้านข้าง

เมื่อรถม้าขับเคลื่อนผ่านออกไปไกล ทั้งสองคนจึงได้ถอนหายใจออกมา

ตายแล้ว พวกเขาจบเห่แน่……

อาจเป็นเพราะว่าความกดดันที่มีในใจผ่อนคลายลง โจวกุ้ยหลานจึงนอนหลับอยู่ในรถม้าโดยมิรู้ตัว เมื่อตอนที่นางตื่นขึ้นอีกครั้ง พบว่าถึงจุดหมายแล้ว

โจวกุ้ยหลานก้าวลงจากรถม้า แล้วตรงไปล้างหน้าล้างตาหวีผมที่หลังเรือน ก่อนจะรีบตรงไปช่วยงานในห้องครัว

บัดนี้คนในร้านนั่งจนเต็มแล้ว ลูกน้องในร้านเดินวนไปเวียนมามิได้พักผ่อน

โจวกุ้ยหลานมิเห็นไป๋ยี่เซวียน คาดว่าเขาคงจะเดินทางไปเจรจาการค้าอีกตามเคย

นับตั้งแต่โค้ก กลับมาขายอีกครั้ง บรรดาเถ้าแก่ที่ก่อนหน้า นำโค้กมาคืน ต่างพากันเดินทางมาเจรจาเรื่องการซื้อโค้กจากไป๋ยี่เซวียนเป็นประจำ

พวกเขาทั้งหลายยุ่งอยู่กับงานเหล่านี้ จนกระทั่งถึงตอนบ่าย ในที่สุดก็ได้พักผ่อนสักที

โจวกุ้ยหลานทำอาหารให้กับพวกเขาด้วยฝีมือของนางเอง ทุกคนจึงนั่งรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน หลังจากพักอยู่ชั่วครู่ก็ได้จัดเตรียมงานที่จะต้องทำในตอนบ่ายต่อไป

จากนั้นก็มีแขกเดินทางเข้ามากินอาหารอีก โจวกุ้ยหลานจึงยุ่งอยู่กับงานในครัว เมื่อนางเข้าไปในครั้งนี้ก็ยังมิได้ออกมาอีก รอจนกระทั่งเสร็จงานแล้วถึงเวลาพักผ่อน โจวกุ้ยหลานจึงเหลือบมองไป พบสวีฉางหลินนั่งอยู่บริเวณที่ใกล้กับห้องครัว

โจวกุ้ยหลานรู้สึกโล่งอก แล้วเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามเขา ก่อนจะหยิบโค้ก ที่อยู่ข้างมือเข้ามาดื่มไปอึกหนึ่งเพื่อให้ชุ่มคอ

“เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่?”

“ข้ารอพบเจ้ามิไหว” สวีฉางหลินมองไปยังใบหน้าของนางที่ดูเหนื่อยล้าแล้วก็รู้สึกปวดใจ

โจวกุ้ยหลานแอบมองไปยังรอบข้าง เมื่อพบว่าทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับงานของตนและมิได้มองมา นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก “ยามอยู่ข้างนอก เจ้าระมัดระวังหน่อย”

แม้นางได้ยินเช่นนี้จะดีใจ แต่หากถูกคนอื่นได้ยินข้าคงจะอายมิน้อยนะสิ

นางก็มิได้ว่าเป็นคนหน้าหนา

สวีฉางหลินยื่นมือมากุมมือของนางเอาไว้ มือน้อยๆ นั้นยังคงเรียวนุ่มดั่งเคย ทำให้ความรู้สึกในใจเขาช่างอิ่มเอมยิ่งนัก

“ภรรยาของข้า ข้าจะคิดถึงมิได้หรือ?”

เขากล่าวออกมาอย่างจริงใจโดยมิได้อายสักนิด

โจวกุ้ยหลานตัดสินใจว่าจะมิสนทนาเรื่องนี้อีกต่อไป “ทางฝั่งมณฑลหยวนเหอเป็นอย่างไรบ้าง?”

“มิสู้ดีนัก” มือของสวีฉางหลินชะงักลงเล็กน้อย เขามิได้ตั้งใจจะปิดบังนาง “ทางราชสำนักตัดสินใจส่งทหารออกไปเพื่อระงับความมิสงบ”

“นั่นมิใช่การทำสงครามหรือ?” โจวกุ้ยหลานเริ่มเป็นกังวลใจ

หากว่าทำสงครามขึ้นมาจริงๆ เดิมทีมณฑลหยวนเหอที่มิมีอาหารกินเพียงพอ จะมิย่ำแย่ไปกว่าเดิมหรอกหรือ ทั้งทหารและม้า ชุลมุนวุ่นวาย มารดาและพี่ๆ ของนางจะมิเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขาจริงหรือ?

สวีฉางหลินกุมมือนางเอาไว้แน่น “ข้าขอโทษ”

โจวกุ้ยหลานชะงักลงเล็กน้อย มืออีกข้างหนึ่งกุมมือของเขาเอาไว้แล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้ามิโทษเจ้า”

“ข้ามิอาจโน้มน้าวใจฮ่องเต้ได้”

เมื่อนึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับภรรยาเมื่อตอนเช้าตรู่ สีหน้าของสวีฉางหลินก็ดูเป็นกังวลและมิเป็นธรรมชาตินัก

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “เรื่องนี้เจ้ามิอาจตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ว่าแต่ผู้ที่นำทัพไปนั้นใช่เจ้าหรือไม่?”

“มิใช่”

สวีฉางหลินก้มหน้าลง เขายืนกรานให้แก้ไขปัญหาอย่างมิใช้กำลัง แต่อ๋องตวนร่วมกับขุนนางชั่วร้ายเหล่านั้นใส่สีตีไข่ มิเห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา กล่าวว่าจะต้องเชือดไก่ให้ลิงดู จัดการกับประชาชนเหล่านั้นให้เป็นตัวอย่าง

ฮ่องเต้ก็ทรงตอบรับเห็นด้วย

โจวกุ้ยหลานโหมดคิ้วเข้าหากันแน่นกว่าเดิม “หากว่าทำสงครามขึ้นมาจริงๆ แล้วพวกแม่ของข้าและพี่ชายจะทำอย่างไร?”

นางคิดมิถึงจริงๆ เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น ในตอนนั้นที่นางเดินทางมาเมืองหลวง นางจึงทิ้งเงินเอาไว้ให้แก่มารดาเพียงแค่มิกี่ร้อยตำลึง

หากนางรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ก็ควรจะทิ้งไว้ให้มากกว่านี้……