ตอนที่ 486 การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นพื้นฐานของความสุข

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 486 การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นพื้นฐานของความสุข

“ใต้เท้าหวง ตัวข้าน้อยเกิดในชนบท จึงมักพูดไม่คิด ใต้เท้าเป็นคนใหญ่คนโต ได้โปรดอย่าถือสาหาความกับสามัญชนตัวเล็ก ๆ อย่างข้าน้อยเลยเจ้าค่ะ” หลินเว่ยเว่ยยืดได้หดได้ นางรีบพูดเสริมทันที “ใต้เท้า เมื่อครู่ท่านไม่ได้ถามถึงอายุของข้าน้อยหรือ ? ข้าน้อยอายุ 15 ปี และได้หมั้นหมายกับบัณฑิตข้างบ้านแล้วเจ้าค่ะ รอให้สอบขุนนางประจำปีหน้าเสร็จสิ้น เราก็จะแต่งงานกันเจ้าค่ะ”

15 ปี ? อายุก็ใช่เลย มุมพระโอษฐ์ยกขึ้นทันที “แม่หนูน้อย จี้หยกของเจ้านี้ พอจะ…ให้ข้าดูได้หรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงยื่นจี้หยกออกไปอย่างระมัดระวังด้วยมือทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันปากก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ใต้เท้า สำหรับข้าน้อยแล้วจี้หยกชิ้นนี้มีความหมายพิเศษมาก ท่านต้องถือดี ๆ นะเจ้าคะ”

เด็กสาวคนนี้สวมใส่มันตั้งแต่เด็กจนโตและยังเป็นสิ่งของแสดงฐานะในครอบครัว จึงเป็นธรรมดาที่จะมีความหมายพิเศษต่อนาง ฮ่องเต้หยวนชิงรับมาแล้วทอดพระเนตรอย่างละเอียด เป็นของที่พระองค์มอบให้หมินอ๋องจริง ๆ

พระองค์คืนจี้หยกให้แม่หนูน้อยผู้มีหน้าตาเคร่งเครียดและจับจ้องมายังจี้หยกตลอดเวลา จากนั้นตรัสถามว่า “แม่หนูน้อย บ้านเกิดของเจ้าอยู่ที่ใด ? ”

หลินเว่ยเว่ยเกาศีรษะ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “บ้านเกิดของข้าน้อย ท่านแม่ไม่ได้บอกไว้เจ้าค่ะ บอกแค่ว่าเราอพยพจนมาอยู่ที่เขตเริ่นอัน”

เขตเริ่นอัน ? เหตุใดถึงฟังแล้วคุ้นหูเหลือเกิน…ฮ่องเต้หยวนชิงหันไปทอดพระเนตรใต้เท้าหวงตัวจริง ฝ่ายใต้เท้าหวงรีบพูดออกมาทันที “เขตเริ่นอันเป็นเขตใต้ปกครองของอำเภอเป่าชิง เมืองจงโจวขอรับ”

โชคดีที่ปีก่อนมีฎีกาเอ่ยถึงเขตเริ่นอัน ความจำของเขาดีใช้ได้ เช่นนั้นคงไม่รู้จริง ๆ ว่าเขตเริ่นอันตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ !

“อ้อ…” เมืองจงโจว ห่างจากตำแหน่งที่หมินหวางเฟยพลัดพรากจากบุตรประมาณ 100 ลี้ ฮ่องเต้หยวนชิงเกือบมั่นพระทัยว่าแม่หนูน้อยตรงหน้าอาจมีความเกี่ยวข้องกับบุตรที่พลัดพรากไปของหมินหวางเฟย

“นี่คือคู่หมั้นของเจ้าหรือ ? ” สายพระเนตรเคลื่อนมาหยุดที่บัณฑิตรูปงามผู้คอยยืนปกป้องอยู่ข้างนาง ถือว่าหน้าตาดีใช้ได้ แต่จะมีประโยชน์อันใด ? ตอนที่ม้าพยศพุ่งเข้าใส่คู่หมั้นของตน ก็ไม่รู้จักเข้ามาขวางไว้ แต่ตอนนี้กลับเข้ามาปกป้อง !

“ใช่เจ้าค่ะ ! ” ตอนที่หลินเว่ยเว่ยหันไปมองบัณฑิตหนุ่ม ใบหน้าก็อดมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นไม่ได้และดวงตาก็หวานหยาดเยิ้ม

“แม้จะเป็นคู่หมั้น แต่เจ้าตามเขามาจากเมืองจงโจว ไม่กลัวโดนวิพากษ์วิจารณ์หรือไร ? ” ขณะที่ฮ่องเต้หยวนชิงดำริว่าแม่หนูน้อยคนนี้อาจเป็นบุตรสาวที่พลัดพรากไปของหมินอ๋อง เช่นนั้นก็เหมือนเป็นพระธิดาของพระองค์เอง สายพระเนตรที่จับจ้องไปยังเจียงโม่หานจึงแฝงไปด้วยความไม่พอพระทัย

หลินเว่ยเว่ยย่นใบหน้าเล็กน้อย “แดนเหนือไม่สงบสุขมาโดยตลอด บัณฑิตน้อยเป็นปัญญาชน ถ้าให้เดินทางไกลเพียงลำพังแล้วจะวางใจได้อย่างไรเจ้าคะ ? ข้าน้อยมีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่กำเนิดและยังเรียนกระบวนท่าต่อสู้มาอีกเล็กน้อย การปกป้องเสาหลักของราชสำนักเพื่อเดินทางมาสอบที่เมืองหลวง เหตุใดต้องกลัวคำวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเจ้าคะ ? ”

“เสาหลักของราชสำนัก ? เจ้ามั่นใจในตัวคู่หมั้นขนาดนี้เชียวหรือ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงแย้มพระสรวลดังลั่น เห็นได้ชัดว่าไม่ใส่พระทัยในคำพูดของนาง

“แน่นอนเจ้าค่ะ ! บัณฑิตน้อยเป็นถึงอั้นโฉ่วในการสอบเยวี่ยนซื่อของเมืองจงโจว เป็นเจี้ยหยวนของเมืองเหอโจวและจงโจว ! ทั้งมากความสามารถ เก่งเรื่องการเมือง ความรู้มากล้น มีพรสวรรค์น่าอัศจรรย์…” หลินเว่ยเว่ยยังจะชมต่อ ทว่าถูกเจียงโม่หานดึงแขนเสื้อไว้ นางได้แต่หยุดพูดทั้งที่ยังอยากพูดต่อ “สรุปแล้วคือข้าน้อยเชื่อมั่นในตัวเขา ! ”

ขณะทอดพระเนตรท่าทางไร้เดียงสาและนิสัยตรงไปตรงมาของนาง ฮ่องเต้หยวนชิงก็เหมือนได้เห็นหมินหวางเฟยสมัยยังเป็นสาวแรกรุ่น รอยแย้มพระโอษฐ์จึงเด่นชัดขึ้นมาทันที “หืม ? เจ้าไม่กลัวว่าพอเขาได้เป็นจิ้นซื่อแล้ว จะทอดทิ้งเด็กสาวชาวป่าชาวเขาอย่างเจ้าเพื่ออำนาจและเกียรติยศหรอกหรือ ? ”

“กลัวสิเจ้าคะ ! ดังนั้นข้าน้อยจึงต้องตามมาด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยเห็นฮ่องเต้วัยกลางคนพระองค์นี้เหมือนไม่คิดจะตำหนิในคำพูดที่ไม่เหมาะสมของนาง จึงค่อยๆ วางตัวให้กลับมาเป็นตัวเองมากที่สุด

ฮ่องเต้หยวนชิงแย้มพระสรวลเสียงดังลั่น ทันใดนั้นใต้เท้าหวงที่อยู่ด้านหลังก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงรีบเข้ามาทูลเตือนฮ่องเต้เบาๆ ว่า “ฝ่า…ใต้เท้า เจี้ยหยวนของเมืองเหอโจวและจงโจวก็คือบัณฑิตเจียงที่สร้างกังหันน้ำกระดูกมังกรและวิธีกรองน้ำ…”

ฮ่องเต้หยวนชิงเก็บรอยแย้มพระโอษฐ์ทันที จากนั้นก็ทำสีพระพักตร์จริงจังพลางทอดพระเนตรเพื่อสำรวจเจียงโม่หานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่ยอมตรัสคำใดอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ท่าทางของพระองค์เปลี่ยนไปเยอะมากราวกับเป็นคนละคน ส่วนชายหนุ่มรูปงามกลับมีสีหน้าปกติ ทั้งยังดูใจเย็น ฮ่องเต้หยวนชิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม

“เจ้าก็คือเจียงโม่หานหรอกหรือ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังถาม

เจียงโม่หานตอบกลับ “ขอรับ ! ”

ฮ่องเต้หยวนชิงพยักดวงพักตร์ “การสอบในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า (ฮุ่ยซื่อ) เจ้ามั่นใจมากน้อยเพียงใด ? ”

“ประมาณเก้าในสิบส่วนขอรับ ! ” แท้จริงเจียงโม่หานมั่นใจเต็มสิบ แต่เขาไม่อยากแสดงภาพลักษณ์อวดดีให้ฮ่องเต้ได้จดจำ เขาจึงเลือกที่จะถ่อมตน

พวกขุนนางทางด้านหลังฮ่องเต้ก็แอบสูดหายใจเข้าลึกทันที…บัณฑิตผู้นี้คุยโวเกินไปหน่อยกระมัง ? ทว่าในเมื่อสามารถเป็นเจี้ยหยวนของสองเมืองได้ ก็จะต้องเป็นคนมีความสามารถอย่างแน่นอน แต่ทำตัวโอหังต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ จะดีแล้วจริงหรือ ?

“ดี ดีมาก ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรเข้าไปในดวงตาของบัณฑิตหนุ่ม การมีความมั่นใจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าเป็นคนเย่อหยิ่ง ชอบดูถูกผู้อื่น ก็ยากจะขัดเกลาให้กลายเป็นหยกชิ้นงามได้

จากนั้นพระองค์ก็หันไปทางหลินเว่ยเว่ยและถามว่า “เมื่อครู่เจ้าช่วย…ข้าไว้ อยากได้รางวัลใดเป็นสิ่งตอบแทน ? ”

หลินเว่ยเว่ยสวมจี้หยกลงคอตามเดิม หลังได้ยินแบบนั้นนางก็ส่ายหน้า “การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นพื้นฐานของความสุข ตอนที่ข้าน้อยเข้าไปหยุดม้าพยศตัวนั้น ไม่ได้ทำเพื่อหวังของรางวัลเจ้าค่ะ ! ”

“หืม ? เจ้าต้องคิดให้ดี ! เงินทองหยกล้ำค่าและอัญมณี แพรพรรณดิ้นทอง ผู้มีชื่อเสียงและภาพวาด…ขอเพียงเจ้าอยากได้ ข้าสามารถให้เจ้าได้ทุกอย่าง ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรแม่หนูน้อยด้วยรอยยิ้ม ตอนนั้นเพื่อปกป้องฮองเฮาและองค์รัชทายาทในครรภ์ ก็เป็นหมินหวางเฟยที่ตัดสินใจเสี่ยงชีวิต ในจุดนี้แม่หนูน้อยเหมือนกับมารดามาก !

“ขออะไรก็ได้จริงหรือเจ้าคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยเขินอายเพราะเริ่มหวั่นไหว

แววพระเนตรของฮ่องเต้หยวนชิงสั่นไหวพลางพยักดวงพักตร์ “คิดได้แล้วหรือว่าอยากได้สิ่งใด ? ”

“คิดได้แล้วเจ้าค่ะ ! ” เสียงของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยความมั่นใจแล้วพูดต่อด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “ใต้เท้า ข้าน้อยอยากได้ภาพเขียนลายมือของท่าน เขียนว่า ‘การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นพื้นฐานของความสุข’ ประโยคนี้ก็พอเจ้าค่ะ ถ้า…ประทับตราของท่านด้วย ก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ! ”

ภาพเขียนลายมือ ? และยังประทับตราลงไปด้วย ? หรือว่าแม่หนูน้อยคนนี้จะรู้ฐานะแท้จริงของพระองค์แล้ว ? แม้หน้าตาของนางจะไม่เหมือนหมินหวางเฟยสักเท่าไร แต่ความฉลาดเฉลียวได้รับมาเต็ม ๆ

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เอาทรัพย์สินมีค่าแล้วเลือกภาพเขียนลายมือแทน ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงสบเข้ากับดวงตาของแม่หนูน้อย คล้ายว่าประสงค์จะได้เห็นอะไรบางอย่าง

หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “มั่นใจเจ้าค่ะ ! ท่านแม่มักจะพูดว่า ทำดีย่อมได้ดี ข้าน้อยช่วยชีวิตคนเอาไว้ ก็ถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศลให้ตัวเองแล้ว หากรับของรางวัลจากท่านอีก ก็ไม่เท่ากับทำคุณเพื่อสิ่งของตอบแทนหรือเจ้าคะ? หากใต้เท้าจะให้รางวัล ก็เขียนอะไรง่าย ๆ สักไม่กี่คำก็พอแล้ว ! ”

เขียนอะไรง่าย ๆ ก็พอแล้ว ? ภาพเขียนลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทองตั้งมากมาย ! ข้าราชบริพารที่อยู่ด้านหลังฮ่องเต้หยวนชิงก็ยกมือลูบหน้าอกทันที…พวกเราอยากได้รับเกียรตินี้เหมือนกัน เกียรติที่สามารถขอภาพเขียนลายพระหัตถ์จากฝ่าบาทได้

ฮ่องเต้หยวนชิงแย้มพระสรวลดังลั่น “รู้จักบุญคุณแต่ไม่คิดทวงบุญคุณ ! ‘ท่านแม่’ ของเจ้าสั่งสอนได้ดีมาก ! ดี ! ข้าจะให้เจ้าสมปรารถนา ! ”