ตอนที่ 529 กล่อมให้สวามิภักดิ์

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 529 กล่อมให้สวามิภักดิ์

หยางซวงจะกล้าถอยได้อย่างไร?

ศิษย์สำนักเขามหายานที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงก็พุ่งเข้ามา คนกลุ่มหนึ่งเข้าไปยืนแทนที่หยางซวงพร้อมกัน ขวางอยู่หน้าโต๊ะ ใครคนหนึ่งเอ่ยเสียงเข้มว่า “หนิวโหย่วเต้า เจ้าคิดจะทำอะไร?”

ฉึบ! กระบี่ที่ยังชักไม่พ้นฝักในมือหนิวโหย่วเต้าสอดกลับเข้าไปอีกครั้ง เลื่อนกระบี่กลับไปค้ำอยู่ด้านล่างอีกครั้ง เอ่ยขึ้นทั้งที่มีกลุ่มคนบังอยู่ “เดิมทีแล้วเจตนาของข้าคือต้องการสังหารเขาให้ตายในกระบี่เดียว ตัดที่พึ่งของเซ่าผิงปอให้สิ้นซาก ทว่ายงผิงจวิ้นอ๋องทราบเรื่องที่ข้าจะเดินทางมายังเป่ยโจว เอ่ยกำชับมาซ้ำๆ ว่าเรื่องอื่นไม่ขอก้าวก่าย แต่ขอร้องเพียงเรื่องเดียว นั่นคืออย่าทำร้ายเซ่าเติงอวิ๋น!”

เซ่าเติงอวิ๋นที่นั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะผงะไป สีหน้าอ่อนลง จ้องมองหนิวโหย่วเต้าผ่านแนวกำแพงมนุษย์อย่างตกตะลึง ท่าทางอึกอัก คล้ายจะอยากถามอะไร

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยต่อไปว่า “เซ่าเติงอวิ๋นก็คือเซ่าเติงอวิ๋น เซ่าผิงปอก็คือเซ่าผิงปอ เซ่าเติงอวิ๋นเป็นไพร่พลเก่าในบังคับบัญชาของเสด็จพ่อ เห็นแก่ที่เคยร่วมรบเผชิญความเป็นความตายกับเสด็จพ่อมา หากว่าเสด็จพ่อยังอยู่ เซ่าเติงอวิ๋นคงไม่ทรยศ แต่เสด็จพ่อสิ้นบุญกะทันหัน สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เซ่าเติงอวิ๋นทรยศต่อแคว้นเยี่ยนเพราะสถานการณ์บีบบังคับ ต้องมีความลำบากใจแน่นอน หากจะผิดก็ไม่ได้ผิดที่เซ่าเติงอวิ๋น หากแต่เป็นตัวข้าที่ผิดต่อพวกพ้องเหล่านั้นของเสด็จพ่อ ทำให้พวกเขาต้องได้รับความอยุติธรรม ยินดีให้ตระกูลเซ่ากล่าวโทษข้าได้ โดยไม่คิดติดใจเอาความ หากว่าข้าสังหารพวกพ้องของเสด็จพ่อ จะผิดต่อหลักคุณธรรมและนับว่าอกตัญญู จะให้ข้าไปเผชิญหน้ากับวิญญาณของเสด็จพ่อที่อยู่บนสวรรค์ได้อย่างไร?”

วาจานี้คล้ายจะเป็นการถ่ายทอดคำพูดของยงผิงจวิ้นอ๋องซางเฉาจงมากกว่า

เซ่าเติงอวิ๋นเบิกตากว้าง ‘ยินดีให้ตระกูลเซ่ากล่าวโทษข้าได้ โดยไม่คิดติดใจเอาความ’ ทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำขึ้นมาในทันใด สองมือที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่น ลมหายใจหนักหน่วงขึ้นมา

หยางซวงหันกลับไปมองเขา

หนิวโหย่วเต้ามองเห็นปฏิกิริยาของเขาอย่างชัดเจน จึงเอ่ยต่อไปว่า “ท่านอ๋องมีเมตตา แต่แซ่หนิวกลับไม่เห็นด้วย ด้วยเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหากวันนี้ปล่อยไปด้วยความใจอ่อน วันหน้าจะต้องเกิดปัญหาตามมาแน่นอน! เดิมสมควรสังหารทิ้งเสีย แต่เห็นแก่ที่ท่านอ๋องร้องขอซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากข้าดึงดันต่อไปเกรงว่าจะกระทบถึงความปรองดองของข้ากับท่านอ๋อง ดังนั้นจะละเว้นชีวิตสุนัขของเจ้าเสีย!”

ว่าจบก็หันหลังจากไป พอเดินไปถึงประตูก็ชะงักเท้าอีกครั้ง เอ่ยทิ้งท้ายทั้งที่หันหลังให้ “ที่เชิญเจ้าออกไปเดินเล่นเพราะเดิมทีคิดจะบอกถ้อยคำเหล่านี้เป็นการส่วนตัว ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้ากลับเป็นคนขี้ขลาด! เจ้าศักดินามณฑลอันใดกัน ก็แค่อาศัยบารมีผู้ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น แม่ทัพเซ่า จุดธูปเพิ่มเป็นสองดอกเถอะ ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อวิญญาณหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วที่อยู่บนสรวงสวรรค์!”

หลังจากพูดจบ ภายในห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

หลังจากเหล่าศิษย์สำนักเขามหายานมองหน้ากันไปมาแล้วถอยออกไป เซ่าเติงอวิ๋นที่อยู่หลังโต๊ะก็เงยหน้าหลับตาอย่างเงียบๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม มีเสียงสะอื้นดัง “ฮึกๆ” แว่วออกมาเลือนราง

หยางซวงที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าโศกหมอง ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา เรื่องที่ติดค้างฝังใจทางนี้ เขาทราบกระจ่างดีที่สุด…

ภายในลานเรือน ก่วนฟางอี๋เดินๆ หยุดๆ หันกลับไปมองด้านหลังเป็นระยะ จากนั้นก็รีบไล่ตามหนิวโหย่วเต้าไป พอมาถึงข้างกายหนิวโหย่วเต้าก็กระซิบถาม “ที่เจ้าพูดพล่ามไปเป็นคุ้งเป็นแคว ใช่คำสั่งของท่านอ๋องจริงๆ น่ะหรือ? ”

หนิวโหย่วเต้าก้าวเดินพลางหันไปกระซิบว่า “ส่งข่าวไปหาท่านอ๋อง ให้ท่านอ๋องบอกเขาให้ยอมจำนนเสีย!”

ก่วนฟางอี๋ตะลึงงัน “ยอมจำนน? ผู้ใด? เซ่าเติงอวิ๋นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากำชับสั่งการอย่างลับๆ

ก่วนฟางอี๋ฟังแล้วกลอกตาทันที หลังจากฟังจบก็เอ่ยเหน็บเสียงเบา “เจ้ามันไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว แม้แต่เป่ยโจวก็จะไม่ยอมยกให้สำนักหยกสวรรค์กระมัง แบบนี้มันจะได้หรือ?”

“ต่อไปก็อย่ามาโทษว่าข้าปิดบังเรื่องราวจากเจ้าแล้วกัน อธิบายแล้วก็ไม่ยอมจบ สั่งให้เจ้าไปทำเจ้าก็ทำไปเถอะ อย่าพูดมาก”

เกิดเสียงก่นด่าแว่วตามมา…

….

ณ สวนไม้เลื้อย ตู๋กูจิ้งรีบเดินเข้ามาที่เรือนเล็กหลังหนึ่ง

พอเดินไปถึงประตูห้องโถงก็เคาะประตูโถงที่ปิดสนิทอยู่แล้วเปิดเข้าไป มองเห็นอวี้ชางกำลังนั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่บนเบาะกลมในห้องโถงที่ว่างโล่ง

ตู๋กูจิ้งเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าด้านข้างอย่างเงียบๆ ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ด้วยสองมือ “อาจารย์ จดหมายจากหนิวโหย่วเต้าขอรับ”

อวี้ชางค่อยๆ ลืมตาขึ้น รับจดหมายไป หลังจากอ่านจบก็ขมวดคิ้ว “ทวงตัวเซ่าผิงปอ หรือว่าที่เซ่าผิงปอออกจากเป่ยโจวจะเกี่ยวข้องกับเขา? มีข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ใดๆ จากทางเป่ยโจวหรือไม่?”

ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวขอรับ น่าจะต้องใช้เวลาสืบเล็กน้อย”

อวี้ชางเอ่ยอย่างใช้ความคิด “เซ่าผิงปอคนนี้วิ่งมาถึงแคว้นฉีโดยมีผู้ติดตามเพียงคนเดียว มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”

ทางเขาไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เท่าไรนัก เขาได้รับข่าวจากเซ่าผิงปอ บอกว่าต้องการคนไปคุ้มกันงานหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของเมืองหลวงแคว้นฉี ผู้ใดจะคิดว่าพอคนไปรับถึงทราบว่าคนที่ต้องคุ้มกันกลับเป็นตัวเซ่าผิงปอเสียเอง

ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “เขาใกล้จะมาถึงแล้ว พอถึงเวลาสอบถามดูก็คงทราบขอรับ เพียงแต่เรื่องที่หนิวโหย่วเต้าต้องการตัวเซ่าผิงปอ ให้ตอบกลับอย่างไรดีขอรับ? ในจดหมายบอกว่ามีเงื่อนไขใดๆ ล้วนต่อรองกันได้ทั้งสิ้น จะเจรจาดูหรือไม่ขอรับ?”

อวี้ชางส่ายหน้า “ทางหนานโจวเขายังจับจดไม่เป็นชิ้นเป็นอันอยู่เลย แต่เซ่าผิงปอมีเป่ยโจวหนุนหลังอยู่ทั้งมณฑล ยกเซ่าผิงปอให้เขาอย่างนั้นหรือ? เขาล้อเล่นอะไรอยู่? อืม…แต่ก็ไม่อาจรีบร้อนปฏิเสธได้ ส่งกลับไปถามว่าเขาจะให้สิ่งใดถ่วงเวลาไปก่อน รอดูว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร”

“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งตอบรับ

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ภายในโถงองอาจ ซางเฉาจงเข็นรถเข็นไปยืนอยู่ด้านหน้าแผนที่ เหมิงซานหมิงนั่งอยู่บนรถเข็น แม่ทัพหลายนายยืนล้อมวงอยู่เช่นกัน กำลังชี้จุดในแผนที่หารือบางอย่างอยู่

หลานรั่วถิงเดินเข้ามาจากด้านนอก มองสถานการณ์ในห้องโถงครู่หนึ่ง ยกมือป้องปากกระแอม “แค่กๆ”

ทุกคนหันมามอง เหมิงซานหมิงทราบดีว่าเขามีธุระ จึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าออกไปคุยกันก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวค่อยว่ากันต่อ”

“ขอรับ!” กลุ่มแม่ทัพประสานมือคำนับแล้วถอยออกไปพร้อมกัน

กระทั่งทั้งกลุ่มออกไปแล้ว หลานรั่วถิงหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ซางเฉาจง “ท่านอ๋อง ข่าวจากเต้าเหยี่ยพ่ะย่ะค่ะ ให้พวกเรากล่อมเซ่าเติงอวิ๋นให้ยอมสวามิภักดิ์!”

“ไอ้สารเลวทรยศแว่นแคว้น จะรับเขาไว้ได้อย่างไร!” ซางเฉาจงตอบด้วยความโกรธ คว้าจดหมายไป ก้มหน้าอ่านทันทีว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่

เหมิงซานหมิงฉงน “กล่อมเซ่าเติงอวิ๋นให้สวามิภักดิ์หรือ?”

หลานรั่วถิงพยักหน้า “ในจดหมายไม่ได้แจ้งรายละเอียดที่ชัดเจนไว้ บอกเพียงว่าเซ่าผิงปอหนีออกจากเป่ยโจวไปแล้ว กำลังจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเป่ยโจว มีช่องให้ฉวยโอกาสได้ จึงต้องการให้พวกเราลองอาศัยไมตรีเก่าก่อนกล่อมเซ่าเติงอวิ๋นดู ”

เหมิงซานหมิงสับสน “เขตหนึ่งอยู่ทางใต้ เขตหนึ่งอยู่ทางเหนือ อยู่ห่างกันคนละทิศ เป็นหัวท้ายที่ไม่อาจบรรจบกันได้ รับตัวเซ่าเติงอวิ๋นเข้ามาในเวลานี้จะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ ราชสำนักไหนเลยจะนิ่งดูดายได้?”

เมื่อซางเฉาจงอ่านจดหมายจบก็ยื่นส่งให้เหมิงซานหมิง อารมณ์เย็นลงไม่น้อย แต่คิ้วยังขมวดแน่นอยู่ “ในจดหมายบอกว่าเซ่าเติงอวิ๋นยังคงระลึกถึงเสด็จพ่อ ให้ลองอาศัยไมตรีเก่ากล่อมให้สวามิภักดิ์ได้ มิใช่จะให้เซ่าเติงอวิ๋นเข้าร่วมอย่างเปิดเผย หากแต่เป็นการยอมกลับมาสวามิภักดิ์อย่างลับๆ เตรียมการไว้สำหรับภายภาคหน้า!”

เหมิงซานหมิงอ่านจดหมายพลางเอ่ยพึมพำ “ตระกูลเซ่ามิได้ทรยศต่อแคว้นเยี่ยน แต่ทำเพื่อชำระแค้นแก่ความอัปยศที่หนิงอ๋องได้รับ…หากนำเหตุผลนี้มาแก้ต่าง ลบล้างข้อหากบฏให้เขาได้ เรื่องรับตัวเขามาก็จะมีประโยชน์อย่างมาก!”

ทั้งสามสบตากันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ล้วนเข้าใจเจตนาของหนิวโหย่วเต้าแล้ว ขอเพียงเซ่าเติงอวิ๋นยินดีกลับมาสวามิภักดิ์ พอถึงเวลาทางนี้ก็สามารถกล่าวได้ว่าเซ่าเติงอวิ๋นมิได้ทรยศแคว้นเยี่ยน แต่ทำเพื่อช่วยรักษากองกำลังให้หนิงอ๋อง

กล่าวให้ชัดเจนคือใช้การลบล้างข้อครหาว่ากบฏของเซ่าเติงอวิ๋นเป็นเงื่อนไขให้จำนน

ภายในโถงองอาจเงียบสงัดอยู่พักใหญ่ ผ่านไปครู่หนึ่ง เหมิงซานหมิงที่ยังอยู่ในความสับสนเอ่ยถามด้วยความฉงน “อยู่ดีๆ เหตุใดเซ่าผิงปอจึงละทิ้งเป่ยโจวหลบหนีออกไป?”

หลานรั่วถิงกล่าวว่า “ก็พอจะเดาได้ เต้าเหยี่ยเป็นศัตรูคู่แค้นกับคุณชายเซ่าคนนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าทั้งสองจะปะทะกันอีกแล้ว ระหว่างสองคนนี้ฟาดฟันกันไปมาเพราะต้องการให้อีกฝ่ายตายจากไป การต่อสู้ระหว่างทั้งสองหากไม่ตายก็ไม่เลิกรา ไม่มีทางยอมรามือ เซ่าผิงปอไม่มีทางทอดทิ้งเป่ยโจวหนีไปอย่างไร้สาเหตุแน่นอน นี่ย่อมต้องเป็นฝีมือของเต้าเหยี่ยแน่”

ซางเฉาจงพึมพำกับตัวเอง “มีสำนักเขามหายานคอยปกป้อง อำนาจฝั่งคนธรรมดาในเป่ยโจวยังคงอยู่ในมือตระกูลเซ่าอยู่ดี สามารถบีบคั้นจนเซ่าผิงปอหลบหนีไปได้อย่างไรกันนะ?”

เหมิงซานหมิงคืนจดหมายให้แก่หลานรั่วถิง ถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “เต้าเหยี่ยของพวกเรานี่หนอ วิธีการทำงานคลุมเครือเสมอมา ไม่เผยความจริงออกมาง่ายๆ เพื่อให้เหลือช่องสำหรับปรับแผนไปตามสถานการณ์ สิ่งที่มองเห็นได้ระหว่างนั้นทำให้สับสนงงงวย หากยังไม่ถึงท้ายที่สุดก็ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ อย่าคาดเดาไปเลย รอดูผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายเถอะ”

ซางเฉาจงลองถามดู “หมายความว่าให้ทำตามที่เต้าเหยี่ยบอกหรือ?”

เหมิงซานหมิงเอ่ยยิ้มๆ “ท่านอ๋องคิดเห็นอย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ?” 艾琳小說

ซางเฉาจงยิ้มแห้งๆ ออกมาทันที “ทำตามที่เต้าเหยี่ยว่ามาแล้ว อีกอย่างเราก็ไม่ได้เสียอะไรสัหน่อย ถึงอย่างไรก็มิใช่เรื่องเลวร้ายอันใดอยู่แล้ว ข้าจะเขียนจดหมายแล้วให้คนนำไปส่งเดี๋ยวนี้”

“ไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ!” หลานรั่วถิงยกมือปราม “ท่านอ๋องมิควรเขียนจดหมายฉบับนี้ ให้แม่ทัพเหมิงเป็นตัวแทนท่านอ๋องเขียนจดหมายกล่อมให้จำนนด้วยตัวเองจะเหมาะสมที่สุดพ่ะย่ะค่ะ หากมีแม่ทัพเหมิงรับประกันให้ เซ่าเติงอวิ๋นไม่มีทางคลางแคลงสงสัย เขาจะต้องเชื่อแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงได้ฟังก็พยักหน้ารับ เข้าใจเจตนาของเขา ตอนนี้ตนยังไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ ต่อเซ่าเติงอวิ๋น ตอนที่อีกฝ่ายตะลุยอยู่ในสนามรบ ตนยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่เหมิงซานหมิงกลับต่างกันออกไป คำพูดย่อมมีน้ำหนักต่อเซ่าเติงอวิ๋น

เหมิงซานหมิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้ารับเนิบๆ “ได้ ข้าจะเขียนจดหมายฉบับนี้เอง”

หลานรั่วถิงเอ่ยแนะนำอีกครั้ง “อย่าได้เขียนให้อ่อนโยนเกินไป เพิ่มถ้อยคำตำหนิเล็กน้อยลงไปในข้อความด้วยจะเหมาะกว่า!”

เหมิงซานหมิงเหลือบมองเขาเล็กน้อย “อืม เสี่ยวหลานเริ่มให้ความรู้สึกเหมือนลั่วเซ่าฝูขึ้นมานิดๆ แล้ว ใกล้จะก้าวหน้ากว่าผู้เป็นอาจารย์แล้ว”

“เอ่อ…” กลับเป็นหลานรั่วถิงที่ยิ้มแห้งๆ บ้างแล้ว

“ฮ่าๆ!” ซ่างเฉาจงหัวเราะดังลั่น

เหมิงซานหมิงอมยิ้ม

….

กำแพงเมืองตั้งตระหง่าน สูงใหญ่ทอดยาว พ่อค้าแม่ขายตลอดจนประชาชนเดินผ่านเข้าออกประตูเมือง จำนวนคนที่แต่งการด้วยเสื้อผ้าชั้นดีมีมากจนสถานที่ใดๆ ก็เทียบไม่ติด

เมื่อขบวนเดินทางหลายสิบคนมาถึงนอกเมืองก็รั้งบังเหียนหยุดม้า ถังอี๋ที่เปื้อนฝุ่นมอซอเงยหน้ามองปราการเมืองสูงตระหง่าน ในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวงแคว้นเว่ย แคว้นที่รุ่งเรืองมั่งคั่งที่สุดในเจ็ดแคว้นแล้ว

ทหารยามเข้ามาสอบถามว่าเป็นใครมาจากไหน หลังจากทางนี้แจ้งว่ามาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ทหารยามก็วิ่งกลับไปรายงานทันที

ผ่านไปสักพักหนึ่ง หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งเดินลงมาจากปราการเมือง เดินเข้ามาหยุดตรงเบื้องหน้าถังอี๋แล้วชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้น

ถังอี๋ลงจากหลังม้าทันที หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาเช่นกัน ยกขึ้นเปรียบเทียบกับของอีกฝ่าย

หลังจากเทียบกันแล้วปรับหมุนให้พอดีกัน บนกระดาษก็ปรากฏตัวอักษร ‘ถัง’ ที่ครบสมบูรณ์ขึ้นมา

เมื่อยืนยันความถูกต้องเรียบร้อย หญิงวัยกลางคนก็ลดมือลงทันที เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักถังเดินทางเหน็ดเหนื่อยท่านมหาเสนาบดีสั่งให้ข้ามารอยต้อนรับที่นี่ เชิญตามข้ามาเถิด”

พอได้ยินว่ามหาเสนาบดีแห่งแคว้นเว่ยส่งคนของคนมารอต้อนรับ ถังอี๋ก็รู้สึกว่ารับไว้ไม่ไหว รีบประสานมือเอ่ยว่า “รบกวนแล้ว!”

หญิงวัยกลางคนโบกมือให้คนจูงม้าตัวหนึ่งเข้ามา นางพลิกตัวขึ้นหลังม้า นำทางพวกถังอี๋เข้าเมืองไปด้วยตัวเอง

เมื่อมีสตรีนางนี้เปิดทางให้ ทหารยามก็ไม่กล้าเข้ามาตรวจสอบอีก ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

บนเนินเขานอกเมือง บุรุษคนหนึ่งในชุดซอมซ่อแขวนน้ำเต้าสุราไว้ที่หว่างเอวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ทอดมองจากที่ไกลๆ เป็นจ้าวสยงเกอ

ตลอดการเดินทางนี้ จ้าวสยงเกอคอยตามคุ้มกันอย่างลับๆ ยามนี้พอเห็นทั้งคณะเข้าเมืองอย่างปลอดภัยก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก

ขึ้นชื่อว่ามั่งคั่งที่สุดในเจ็ดแคว้น เรื่องความรุ่งเรืองย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง

คณะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาถึงนอกคฤหาสน์หลังหนึ่งที่มีหลังคากระเบื้องกำแพงสูงลิบ องครักษ์คุ้มกันหนาแน่น บนคานประตูเหนือขั้นบันไดมีป้ายเขียนว่า ‘ครองฟ้า’ อยู่สองคำ เป็นลายพระหัตถ์ของอดีตฮ่องเต้แคว้นเว่ยในรัชกาลก่อน สถานที่แห่งนี้คือจวนพำนักของเสวียนเวยองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเว่ย และเป็นจวนพำนักของเสนาบดีหญิงผู้เป็นเอกอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นเยี่ยนนั่นเอง

ไม่ได้อนุญาตให้คนทั้งหมดผ่านเข้าไป อนุญาตให้ถังอี๋พาผู้ติดตามเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นถังซู่ซู่ที่ติดตามเข้าไป

หญิงวัยกลางคนนำทางให้ หลีกเลี่ยงเขตหวงห้ามภายในจวน เดินวนเข้าสู่ส่วนลึกของหมู่ศาลาพลับพลางาม ระหว่างทางบังเอิญพบนางกำนัลในชุดชาววังเป็นครั้งคราว

ในที่สุดก็มาถึงในศาลาริมน้ำหลังหนึ่ง หญิงวัยกลางคนให้ทั้งสองคอยสักครู่แล้วออกไปรายงาน

………………………………………………………………………………………….