บทที่ 511 ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าทำเรื่องเลวร้ายอีกแล้ว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 511 ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าทำเรื่องเลวร้ายอีกแล้ว

เหล่าองครักษ์วังหลวงที่แข็งแกร่งและฮึกเหิมดังมังกรและเสือที่ผาดโผน เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็รีบมองไปยังองครักษ์วังหลวงที่วิ่งหนีไปผู้นั้นด้วยแววตาแดงก่ำและรีบออกตามไป

ในสายตาของพวกเขา คนที่วิ่งหนีไปผู้นั้นเป็นเหมือนน้ำที่ไหลอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เขาหลบหนีไปได้

เพียงแต่ตามไปไม่ไกลพวกเขาก็ต้องหยุดด้วยความตกใจกลัว สายตาจ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตาย องครักษ์วังหลวงที่วิ่งหนีมาผู้นั้นถูกงูทองรัดขาจนล้มลงกับพื้นลายเป็นเหยื่อของฝูงงูทอง

เสียงร้องที่โหยหวนนั้นส่งเสียงได้เพียงสองครั้งก็ถูกงูทองอุดปากไว้

เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น!

เหล่าองครักษ์วังหลวงล่าถอยไปด้วยความสั่นเทากลับไปยังตำแหน่งเดิม โดยไม่หันกลับไปมองงูทองที่กำลังกินเหยื่อเป็นอาหาร

ที่พึ่งสุดท้ายของพวกเขาไม่มีแล้ว…

ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าตกตะลึงด้วยความประหลาดใจ ถอยไปอยู่ข้างรูปปั้นหินทารกยักษ์และเดินเข้าไปเตะองครักษ์วังหลวงผู้หนึ่งอย่างเหี้ยมโหด

“เป็นขยะที่ไร้ประโยชน์เสียจริง แค่คนคนเดียวยังจับไม่ได้ พวกเจ้ามิสู้ตายไปเสียดีกว่ารึ”

“ขอฝ่าบาทโปรดอภัย เป็นกระหม่อมที่ไร้ความสามารถ!”

ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าอยากเตะพวกเขาอีกหลายๆ ที แต่เมื่อมองเห็นองครักษ์วังหลวงที่กำลังให้เลือดเต็มกาน้ำ

เขารีบเดินเข้าไปเอามือหยิบกาน้ำซึ่งเต็มไปด้วยเลือดขึ้นมาดื่ม จากนั้นส่งกาน้ำที่เขาดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่งให้เขาพร้อมพูดด้วยเสียงอันเยือกเย็น

“เติมเลือดต่อไปให้เต็มถึงหยุด”

แต่เลือดของคนคนหนึ่งจะมีมากเพียงไหนกัน?

ดังนั้นองครักษ์วังหลวงที่นอนอยู่ที่พื้น ไม่นานเลือดก็ไหลจนหมดและตายในที่สุด

ขันทีที่พิงรูปปั้นหินทารกยักษ์ เลียคราบเลือดที่ริมฝีปากและมองไปที่กาน้ำในมือขององครักษ์วังหลวง คอกลืนน้ำลายไม่หยุด

ในใจของเขามีความคิดบางอย่างจึงเดินเข้าไปทูลฮ่องเต้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งและพูดว่า:

“ฝ่าบาท ถ้าทำอย่างนี้ต่อไปจะไม่เป็นผลดีพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าเมื่อได้ยินก็หันไปมองผู้ประจบสอพลอที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาอันเยือกเย็น

เรื่องนี้ต้องให้เขามาสอนด้วยหรือ

เขาจะไม่รู้หรือว่าควรทำอย่างไร แต่ตอนนี้มีวิธีอื่นอีกหรือ เขาไม่ได้ดื่มไม่ได้กินมาหนึ่งวันแล้ว ถ้าไม่เอาเลือดขององครักษ์มาดื่มแล้วจะให้ทำอย่างไร

เขาอยากตำหนิขันทีผู้นั้น ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่าขันที่ผู้ที่อยู่ข้างเขาคงมีความคิดบางอย่าง เขาอยากฟังว่าขันทีมีวิธีอะไร

“เจ้ามีวิธีอื่นอย่างนั้นหรือ”

ขันทีผู้นั้นไม่กล้าพูดออกมา เพียงแต่มองไปยังหลานเยาเยาตรงที่พวกเขารวมกันอยู่ตรงนั้น ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าก็เข้าใจในทันที

แต่ว่าสีหน้าก็เย็นชาขึ้นทันที มองไปยังหลานเยาเยาที่กำลังขีดเส้นบนพื้น ตำหนิด้วยความโกรธเคือง

“เจ้าจะเข้าใจอะไร พวกเขาฆ่าพวกเราอย่างง่ายดาย เจ้ายังกล้าไปยั่วยุพวกเขารึ?”

คิดเอาไข่ไก่ไปปะทะก้อนหิน เว้นเสียแต่เขาอยากหาที่ตาย

“ฝ่าบาท จำนวนคนของพวกเราแม้ว่าไม่มากเท่าพวกเขา เมื่อใช้ทางสว่างไม่ได้ก็ใช้ทางมืด! ฝ่าบาทท่านลองคิดดูที่นั่นพวกเขามีน้ำมีอาหาร แค่คิดก็ทำให้ผู้คนต่างจับจ้องตาเป็นมัน”

เมื่อพูดถึงอาหารและน้ำฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าก็น้ำลายสอท้องร้องจ๊อกๆ คิดใคร่ครวญแล้วจึงตัดสินใจ แววตาประกายความอันตรายที่เป็นพิเศษ หลังจากนั้นจึงยกมือขึ้นให้ขันทีผู้นั้นมากระซิบถึงแผนการที่ข้างหูของเขา

ขันทีโน้มตัวไปกระซิบกระซาบที่ข้างหูของฝ่าบาท ฝ่าบาทแววตาส่องประกายมองไปยังองครักษ์วังหลวง แววตาประกายของความพึงพอใจออกมา

จนกระทั่งขันทีพูดจบ ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าฉีกยิ้มอันเยือกเย็นขึ้น

“เป็นวิธีที่ดี ไปเถอะ เขาเป็นรางวัลให้เจ้า”

แน่นอนว่ารางวัลในตอนนี้ ไม่ใช่เงินทองของมีค่าอะไร แต่เขานั่นหมายถึงองครักษ์วังหลวงผู้ที่ถูกขูดเลือดเนื้อ ขันทีแววตาเป็นประกาย

เมื่อเห็นองครักษ์วังหลวงที่ดูดเลือดปิดฝายืนขึ้นเรียบร้อย เขาก็รีบร้อนเหมือนหมาป่าที่หิวโหยจู่โจมไปยังองครักษ์หลวงที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากนั้นยกมือขององครักษ์ขึ้นและใช้ปากดูดที่รอยบาดแผลตรงขอมือ

เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้น หลานเยาเยาและส้งเย่นกุยซึ่งยืนอยู่ที่รูปปั้นหินทารกยักษ์มองเห็นอย่างชัดเจน

เหตุการณ์อันโหดร้ายเกิดขึ้นต่อหน้านาง นางหันเดินไปทางหัวรูปปั้นหินทารกยักษ์

นางไม่สามารถปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกลางกองทัพของพวกเขาได้แม้ว่าจะต้องตาย

แต่ว่า!

ตอนนี้ฮ่องเต้ทำเรื่องเลวร้ายอีกแล้ว ต้องให้คนของพวกเขาเตรียมการรับมือให้ดี

หลังจากนั้นหลานเยาเยานั่งอยู่บนไหล่ของรูปปั้นหินทารกยักษ์รับลมที่แรงขึ้นเรื่อยๆ พัดเส้นผมของนางจนยุ่งเหยิงและยังพัดเสื้อผ้าของส้งเย่นกุยที่อยู่ข้างๆ นาง ชายผ้าที่พลิ้วไหวราวกับเต้นรำ

เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ ล้วนเป็นแผ่นพื้นทะเลทรายเป็นลูกคลื่นที่ไกลสุดลูกหูลูกตา

ไม่มีอะไรเลย!

และไม่เห็นจุดสิ้นสุด…

นางลูบรูปปั้นหินทารกยักษ์ นัยน์ตาส่องประกายความสงสัยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น

“ส้งเย่นกุย เจ้าคิดว่ารูปปั้นหินทารกยักษ์หลับนอนนั้นมีอยู่ได้อย่างไร?”

ความยาวกว้างและสูงของมันรวมกันแล้วก็เหมือนพระราชวัง เพียงแรงงานคนไม่สามารถที่จะสร้างออกมาได้ แต่เหมือนกับเป็นความประณีตของธรรมชาติที่สร้างขึ้นมา

“ไม่ทราบ!”

ส้งเย่นกุยตอบกลับเพียงสองคำ

เขาจะรู้ได้อย่างไร

รูปปั้นหินนั้นพอเขาเกิดมาก็มีอยู่แล้ว บางทีอาจจะเกิดขึ้นเพราะการที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

หลานเยาเยายิ้มหัวเราะ ไม่รู้ว่ามีเจตนาหรือไม่ก็พูดขึ้นหนึ่งประโยค

“กลางทะเลทรายก็ยังมีเรื่องที่เจ้าไม่รู้ด้วย”

คำพูดนั้นมีความหมายมาก ส้งเย่นกุยชะงักไปชั่วครู่แต่ในไม่ช้าก็ปกปิดไว้

หลานเยาเยาสงสัยเขาเป็นเรื่องปกติมาก แต่นางเดาไม่ออกว่าเขาเป็นใคร

แต่คำพูดเมื่อสักครู่นั้น…

เขาอดไม่ได้ที่ช้อนสายตามองสีหน้าของนาง กลับพบว่านัยน์ตาของนางนิ่งสงบ เหมือนกับว่าคำพูดที่เมื่อสักครู่นั้นก็แค่พูดไปอย่างนั้น

“ข้าก็เป็นแค่ชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านฝันฮั๋ว ไม่ใช่เทพ ซ้ำไม่เคยเข้าไปในทะเลทราย แล้วจะรู้เรื่องที่ทะเลทรายได้อย่างไร”

“โอ้? จริงหรือ? เจ้าอยากกลับไปดูหมู่บ้านฝันฮั๋วหรือไม่”

หลานเยาเยาถามกลับเช่นนี้ นางมองเขาด้วยแววตาส่องประกาย ราวกับสามารถมองเห็นเรื่องราวทั้งหมด ทำให้ส้งเย่นกุยคาดเดาไม่ถูก ดวงตาประกายสองสามที จากนั้นก็เบี่ยงหน้าหนี

“แน่นอนว่าอยาก”

หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาใจฝ่อหรือว่ากลัวว่าหลานเยาเยาจะถามอะไรขึ้นอีกจึงหาเหตุผลปลีกตัวออกไป

“อ้า จะไปแล้วหรือ”

สองมือของหลานเยาเยายันรูปปั้นหิน เตรียมที่จะนอนพักผ่อนแต่กลับพบว่าที่มือรู้สึกผิดปกติ จึงมองไปยังผิวของรูปปั้นหินทารกยักษ์ ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าผิวนั้นขัดจนราบเรียบ ตอนนี้เมื่อดูอย่างละเอียดพบว่าที่จริงแล้วไม่ได้ราบเรียบนัก ในทุกตำแหน่งช่องว่างจะมีซอกปรากฏอยู่

ซอกนั้นละเอียดมาก ถ้าไม่ตั้งใจมองก็จะจะมองไม่ออกเลย

แต่นางยังรู้สึกแปลกๆ จึงโน้มตัวลงเตรียมที่จะมองผ่านซอกนั้นดูว่าสามารถมองเห็นอะไรหรือไม่

แต่ว่า

ซอกน่าจะลึกมาก ดูเหมือนจะสามารถไปถึงส่วนลึกใจกลางของรูปปั้นหินทารกยักษ์ได้ ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นและค่อยๆเริ่มสำรวจ ว่าซอกนั้นมันลึกขนาดไหน

เพียงเดินไปตามทางสั้นๆ ก็พบว่าซอกพวกนี้ล้อมรูปปั้นหินทารกยักษ์อยู่ นอกจากนี้ระยะห่างของตำแหน่งยังเท่าๆกัน

นี้เป็นการเจตนาจงใจทำไว้ หรือเกิดขึ้นตามธรรมชาติ?

นางอยากสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่จู่ๆที่หางตาก็มีร่างสีขาวแว็บขึ้นมา……

นางตกใจ รีบยกสายขึ้นไปมอง แต่กลับไม่เห็นอะไร

ร่างสีขาวนั้นรูปร่างคุ้นเคย เหมือนกับเป็นคนในภาพหลอนชุดขาวกว่าหิมะ ที่เหมือนกับเย่แจ๋หยิ่งมาก

เป็นภาพหลอนอีกแล้วหรือ?

ทำไมช่วงนี้ภาพหลอนถึงเกิดบ่อยขึ้นทุกที……