บทที่ 453 ชายหน้าด้าน

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีกับนัทธียิ้มพลางสบตากัน

“ใช่ๆ คุณขยันขันแข็งที่สุด” วารุณียิ้มพลางลูบหัวของสาวน้อย

สาวน้อยอารมณ์ดีและยิ้มจนตาเป็นสระอิ

“เอาล่ะ รีบไปเรียกพี่ชายมาเถอะ เราจะกลับกันแล้ว” วารุณีเอามือออกจากหัวของสาวน้อย

สาวน้อยตอบรับเบาๆ ก่อนจะหันตัวเดินเข้าไป

ด้านนอก นัทธีกับวารุณีกำลังยืนรออย่างเงียบๆ

ผ่านไปไม่กี่นาที เด็กๆ ทั้งสองก็ออกมาด้วยกัน

จากนั้นครอบครัวทั้งสี่คน ก็จูงมือกันเดินออกจากประตูโถงใหญ่

“วารุณี” เพิ่งจะเดินมาถึงด้านหน้าประตู วารุณีก็ถูกนักออกแบบคนหนึ่งเรียกเอาไว้

เธอหยุดก้าวเดิน “มีเรื่องอะไรเหรอ?ลูน่า”

มีนักออกแบบคนหนึ่งชื่อลูน่า ค่อนข้างสนิทกับวารุณี ปกติก็ทักทายกันอยู่เรื่อยๆ เมื่อได้เจอกัน

ลูน่าเดินเข้ามาหา ก่อนจะมองนัทธีกับเด็กๆ ทั้งสองด้วยแววตาเป็นประกาย “วารุณี นี่เป็นสามีของคุณกับเด็กๆ เหรอ?”

“ใช่แล้วล่ะ” วารุณียิ้มพลางพยักหน้า

ลูน่ายกนิ้วโป้งให้วารุณี “ไม่เลวเลย สำหรับฉัน ชายชาวตะวันออกหน้าตาเหมือนกันหมด แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นคนรักของคุณ ฉันเพิ่งรู้ว่าที่แท้ชายชาวตะวันออกเองก็มีคนหน้าตาหล่อเหลาไม่น้อยเลย ส่วนสูงกับหุ่นก็ไม่แพ้ชายชาวตะวันตกของเรา แล้วก็เด็กๆ ทั้งสองของคุณ ก็น่ารักมากด้วย”

“ขอบคุณสำหรับคำชมของคุณ” วารุณีตอบ

ลูน่าโบกมือ “งั้นฉันไม่รบกวนพวกคุณแล้วนะ ขอให้พวกคุณทั้งสี่มีความสุข”

“โอเค” วารุณีพยักหน้ารับ

จากนั้น ลูน่าก็จากไป แล้วไปรวมตัวกับเหล่านักออกแบบที่รอเธออยู่

วารุณีมองไปทางผู้ชาย “ไปเถอะที่รัก”

นัทธีตอบรับเบาๆ ก่อนจะพาเธอกับเด็กๆ ทั้งสองไปที่ลานจอดรถ

“ที่แท้ทั้งสองคนนั้นก็เป็นลูกๆ ของวารุณีนั่นเอง หน้าตาเหมือนประธานนัทธีมากเลย” ห่างออกไปไม่ไกล สุชาดามองเงาของครอบครัวสี่คน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างกะทันหัน

โสรยาหรี่ตาลงพลางขบฝีปาก “เอาล่ะ พูดเรื่องพวกนี้ทำไม ยังไม่รีบไปอีก”

เมื่อพูดจบ เธอก็หัวตัวเดินไปด้านหน้า

สุชาดามองเธออย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่เข้าใจว่าเธอโกรธอะไร

หรือว่าเพราะตัวเองหาโอกาส ที่จะทำให้วารุณีโกรธไม่ได้งั้นเหรอ?

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ ในใจของสุชาดาก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมา

ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากไปสักหน่อย แต่หลังจากที่การแข่งขันจบลง วารุณีก็ไปแล้ว เธออยากจะเข้าไปทำให้วารุณีโกรธ แต่ก็หาคนไม่เจอ

ตอนนี้เห็นเธอแล้ว แต่ว่าเธอก็มีสามีอยู่ข้างๆ เธอเข้าไปหาเด็กๆ ของวารุณีเพื่อทำให้โกรธ สามีของเธออาจจะฆ่าเธอเลยก็ได้สินะ?

วารุณีไม่รู้เกี่ยวกับแผนในใจระหว่างโสรยากับสุชาดา เธอขึ้นรถไป พลางหันหัวไปมองออกจากหน้าต่าง

นัทธีคาดเข็มขัดนิรภัย พลางถาม “มองอะไรเหรอ?”

“คุณเชอรีน เธอยังไม่ออกมา” วารุณีตอบ

นัทธีขยับริมฝีปากบางเล็กน้อย เหมือนจะพูดอะไร โทรศัพท์ของวารุณีก็ดังขึ้นมาก่อน

“คุณเชอรีนเป็นคนโทรมา” หลังจากที่วารุณีพูดแล้ว ก็รีบรับ “ฮัลโหล”

“วารุณี คืนนี้ฉันคงกลับไปไม่ได้แล้วล่ะ” เสียงของเชอรีนดังขึ้น

วารุณีสงสัย “ทำไมเหรอ?”

“ฉันเพิ่งได้รับงานหนึ่ง ให้ไปถ่ายให้กับนิตยสารน่ะ” เชอรีนตอบ

วารุณีเข้าใจทันที “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ฉันรู้แล้วล่ะ งั้นคุณระวังหน่อยนะ”

“อือ บาย” เมื่อเชอรีนพูดจบก็วางสายไป

วารุณีวางโทรศัพท์ลง “ไปเถอะ คุณเชอรีนไม่กลับไปแล้วล่ะ”

นัทธียกริมฝีปากบางขึ้นเบาๆ ราวกับว่าเหมือนไม่ได้ตกใจกับอีกฝ่ายเท่าไหร่ ก่อนจะพยักหน้า แล้วขับรถออกไป

ตอนแรกเขาอยากจะบอกเธอ ว่าเขาให้คนจัดหางานให้เชอรีนเอง

ส่วนเป้าหมายงั้นเหรอ ก็ไม่อยากให้คนนอก เข้ามาเป็นก้างขวางคอของครอบครัวเขาไงล่ะ

เพียงไม่นาน ก็ถึงที่คฤหาสน์แล้ว

คนใช้ในคฤหาสน์นั้นรู้ก่อนแล้วว่าพวกนัทธีจะมา ดังนั้นเลยเตรียมอาหารเย็นเอาไว้แล้ว

หลังจากที่กินอาหารเย็นไปแล้ว วารุณีก็พาเด็กๆ ทั้งสองไปนอน ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องนอนหลัก

นัทธีเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว ก่อนจะยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงที่ยื่นออกไป

วารุณีมองเขาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รบกวนอะไรเขา จากนั้นก็หยิบชุดนอนเข้าห้องอาบน้ำไป

“ตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง?” นัทธีถามคนในโทรศัพท์

มีเสียงของมารุตแทรกเข้ามา “วางใจเถอะท่านประธาน คุณหนูนวิยาถูกคนจับตามองอยู่ ไม่มีท่าทีจะฆ่าตัวตายอีก แต่น่าจะเป็นเพราะมีคนจับตามอง เธอเลยมีท่าทีไม่ดีเท่าไหร่ วันนี้ไม่ได้กินอะไรเลย”

“ไม่กินข้าวงั้นเหรอ?” นัทธีหรี่ตาลง

มารุตพยักหน้า “ใช่แล้ว หญิงรับใช้ที่ดูแลคุณหนูนวิยาบอกว่า คุณหนูนวิยาตั้งใจอดอาหาร เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพื่อบังคับท่านประธานเลยอดอาหาร หรือเพราะอารมณ์ไม่ดีกันแน่”

แต่เขาคิดว่า น่าจะเป็นไปได้ทั้งสอง

นัทธียิ้มอย่างเย็นชา “ในเมื่อเธอไม่กิน ก็ไม่ต้องกิน”

“ท่านประธาน คุณไม่สนใจจริงๆ เหรอ?” มารุตตกใจ “ถ้าเกิดคุณหนูนวิยาหิวขึ้นมาแล้ว……”

“ไม่หรอก มีสารอาหารเหลวรอเธออยู่” นัทธีเม้มปากพลางพูดขึ้นเบาๆ

ในโรงพยาบาลมีคนป่วยมากมายที่กินอะไรไม่ลง เลยต้องใช้สารอาหารเหลวในการมีชีวิตอยู่

งั้นนวิยาเองก็คงจะมีชีวิตต่อได้เหมือนกัน

มารุตเข้าใจความหมายของนัทธี จากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาสักพัก

เอาเถอะ เขานั้นออกลายไม่เก่งกาจเท่าไหร่ ไม่แปลกเลยที่ตอนนี้ท่านประธานไม่ยินยอมโอนให้เป็นท่านประธานในบริษัทลูก

“ฉันรู้แล้วล่ะ” มารุตตอบ

นัทธีจิบไวน์แดง “เดี๋ยวคุณโทรหาพิชิต แล้วให้พิชิตเตรียมห้องพักผู้ป่วยไว้ ถ้านวิยาหิวจนเป็นลมไป ก็ส่งไปให้ทางโรงพยาบาล แล้วให้พิชิตให้สารอาหารเหลวให้กับเธอ”

“ครับ” มารุตตอบกลับ

นัทธีวางไวน์แดงลง พลางถามอีก “ทางตระกูลกรปักษาเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ช่วงนี้ตระกูลกรปักษาถูกตระกูลจามจุรีศิลป์กดดันตลอด จนวุ่นวายไปหมดแล้ว เชื่อว่าอีกไม่ถึงสองสามเดือน ตระกูลกรปักษาจะหายไปจากตระกูลที่มีอิทธิพลของเมืองจีเอสแน่ๆ ถึงตอนนั้น ตระกูลจามจุรีศิลป์น่าจะเอาหลักฐานที่นายท่านบุญชัยปกป้องคุณหนูนวิยามาให้คุณ” มารุตตอบ

นี่คือการจบที่ไม่สวยของรุ่นหลังๆ เลยนะ

ตอนนั้นตระกูลกรปักษาเป็นไปได้ด้วยดีมาตลอด แต่ตั้งแต่ลูกของนายท่านบุญชัยเป็นต้นไป ตระกูลกรปักษาก็เหมือนเดินลงเหว เพราะรุ่นหลังของตระกูลกรปักษานั้นไม่มีอะไรเลย ทำได้เพียงเที่ยวเล่นไปวันๆ นายท่านบุญชัยอยากจะเลี้ยงดูผู้สืบทอดก็หมดเรี่ยวแรง ถึงขนาดที่หาคนที่เหมาะสมไม่ได้

ส่วนการลงจากตำแหน่งของนายท่านบุญชัยนั้น ตระกูลกรปักษาก็ยิ่งขวัญหนีดีฝ่อเข้าไปใหญ่ การที่สามารถคานอำนาจมาจนถึงวันนี้ได้ ก็เพราะตระกูลยิ่งใหญ่คนอื่นๆ เห็นแก่การเสียสละแก่ประเทศชาติของนายท่านบุญชัย ดังนั้นเลยไม่ได้ทำอะไรต่อตระกูลกรปักษา ไม่อย่างนั้นตระกูลกรปักษาคงจะหายสาบสูญไปแล้ว

ก็เป็นเพราะแบบนี้ ตระกูลจามจุรีศิลป์ที่เป็นศัตรูการคานอำนาจของตระกูลกรปักษา เลยลงมือตระกูลกรปักษาไม่ถนัดเท่าไหร่ จนกระทั่งก่อนหน้านี้ คนรุ่นหลังของตระกูลกรปักษามาจีบคุณหนูของตระกูลจามจุรีศิลป์ เลยทำให้ตระกูลจามจุรีศิลป์โกรธขึ้นมา บวกกับการที่ท่านประธานให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนกับตระกูลจามจุรีศิลป์ ตระกูลจามจุรีศิลป์เองก็ไม่มีทางจะยอมทนอีกต่อไปแล้ว เลยเริ่มกดดันเพื่อให้ตระกูลกรปักษาดับไป

แต่มารุตนั้นไม่เห็นใจตระกูลกรปักษาเลยแม้แต่น้อย

ใครให้คนรุ่นหลังของตระกูลกรปักษามาทำอะไรให้น่าหมดความอดทนมากมายขนาดนี้ล่ะ ใครให้นายท่านบุญชัยที่ทำเรื่องดีโดดเด่นมาตลอด พอแก่แล้วก็มาทำเรื่องน่าคลุมเครือแบบนี้ แถมยังมาปกป้องคุณหนูนวิยาอีก

“สองสามเดือน……” นัทธีคำนวณเล็กน้อย

สองสามเดือน มันเป็นเวลาพอๆ กับตอนที่วารุณีจบการแข่งขันนานาชาติเลย

ในตอนนี้มันยังไม่เลว เมื่อการแข่งขันจบลง วารุณีก็กลับประเทศ แล้วก็ได้เห็นเพียงฉากที่ตระกูลกรปักษาตาต่อตา ฟันต่อฟันกับนวิยา

มันก็เหมือนกับ การที่พวกเขาให้ของขวัญกับเธอ

“จับตามองนวิยาให้ดี อย่าให้เธอตาย ถ้ามีอะไรก็โทรมาหาฉัน” นัทธีกำชับเสียงทุ้มต่ำ

มารุตพยักหน้า “เข้าใจแล้วล่ะ”

หลังจากที่วางสายไป นัทธีก็ยกแก้วเหล้าขึ้น ก่อนจะหันตัวเดินเข้าไปในห้อง

เมื่อได้ยินเสียงน้ำในห้องอาบน้ำ นัทธีก็หยุดชะงัด แววตาก็มีความมืดมนขึ้นมา

จากนั้น เขาก็วางแก้วเหล้าลงบนหัวเตียง ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ

ประตูของห้องอาบน้ำไม่ได้ล็อก นัทธีเลยเปิดเข้าไปอย่างง่ายดาย

วารุณียืนอยู่ฝั่งที่อาบน้ำเปียก เสียงน้ำดังๆ นั้นมันกลบเสียงของฝีเท้าผู้ชายที่เดินเข้ามาหมด

จนกระทั่งชายคนนี้เดินเข้ามาโอบเอวเธอจากด้านหลัง เธอเพิ่งจะตกใจรู้ว่าชายคนนี้เดินเข้ามา