ตอนที่ 531 อิ๋นเอ๋อร์มีโทสะ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 531 อิ๋นเอ๋อร์มีโทสะ

ณ เรือนเล็กภายในคฤหาสน์อันกว้างขวาง เซ่าผิงปอยืนอยู่ใต้ชายคา เซ่าซานเสิ่งกำลังยุ่งง่วนกับการตรวจสอบเรือนเล็กด้วยตัวเองก่อนหนึ่งรอบ

สถานที่แห่งนี้เป็นที่รับรองแขกต่างแคว้น เนื่องด้วยสถานะของเซ่าผิงปอ เฮ่าเจินยังคงต้องจัดให้เขาไปพำนักในเรือนรับรองแขกผู้มาเยือนแคว้นฉีก่อน เตรียมการไว้ว่าจะรอให้ผ่านความเห็นชอบของฮ่องเต้แคว้นฉีก่อนแล้วค่อยจัดสรรอีกที ตามหลักย่อมต้องให้ความสำคัญต่อแว่นแคว้นก่อนคนในครอบครัว กล่าวอีกนัยคือกลัวคนอื่นจะครหาเอาได้

แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยเลย สถานที่แห่งนี้เดิมทีก็มีผู้บำเพ็ญเพียรประจำการอยู่แล้ว ซ้ำยังมีคนที่เฮ่าเจินส่งมาสมทบด้วย

เมื่อเซ่าซานเสิ่งสำรวจทั่วเรือนเล็กแล้วก็ออกมาที่ใต้ชายคา “คุณชายใหญ่ เข้าพักได้แล้วขอรับ”

เซ่าผิงปอที่ใจลอยเล็กน้อยโพล่งถามออกมา “เจ้าคิดอย่างไรกับหลิ่วเอ๋อร์?”

เซ่าซานเสิ่งผงะไปเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ดีขึ้นมากขอรับ คุณหนูดูมีราศีขึ้นเล็กน้อย แล้วก็มีความสูงศักดิ์เพิ่มขึ้น จากที่เห็น อิงอ๋องน่าจะปฏิบัติต่อคุณหนูไม่เลวเลย น่าจะสอดคล้องกับข่าวที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ขอรับ”

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “นางปฏิบัติต่อข้าตามธรรมเนียมมารยาท สุขุมเกินไป…นางยังไม่ลืมเรื่องที่ผ่านมา นางยังโกรธข้าอยู่”

ที่แท้ก็หมายถึงเรื่องนี้ เซ่าซานเสิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ว่ากันตามตรงก็เป็นคนที่เห็นกันมาแต่เล็กจนโต มีความเข้าใจพอสมควร เขาก็มองออกเช่นกันว่าสายตาที่คุณหนูมองคุณชายใหญ่มีบางสิ่งแฝงเร้นอยู่

เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “คุณชายใหญ่ เหตุใดถึงไม่เข้าพบฮ่องเต้แคว้นฉีโดยตรงเลยละขอรับ?”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “เฮ่าอวิ๋นถูอายุไม่น้อยแล้ว คนที่อายุมาก โดยเฉพาะคนที่ครองบัลลังก์มานานจะหวงแหนในอำนาจ เขาไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดมาคุกคามอำนาจฮ่องเต้ของเขาง่ายๆ หากยังไม่ถึงวันตาย ก็ไม่มีทางยอมสละอำนาจง่ายๆ เท่าที่ข้าเฝ้าสังเกตดูสถานการณ์ของแคว้นฉีมา ตอนนี้เฮ่าอวิ๋นถูก็มีความย้อนแย้งอย่างมากเช่นกัน ด้านหนึ่งต้องเผชิญกับปัญหาการคัดเลือกผู้สืบทอด อีกด้านหนึ่งก็ต้องคอยระแวงคนที่จะก่อภัยคุกคามต่อบัลลังก์ของเขา ความคิดของเขาเสมือนราชสีห์เฒ่าตัวหนึ่งที่เข้าวัยโรยรา”

“ผลปรากฏว่าไม่พบผู้ที่โดดเด่นในหมู่องค์ชายเลย ส่วนคนที่มีความสามารถก็เก็บงำประกายถ่อมตัว อย่างเช่นอิงอ๋องเฮ่าเจิน หากเฮ่าเจินยินยอมรับข้าไว้ ข้าก็ยินดีจะทนอยู่กับเขาชั่วคราว คอยวางแผนให้เขาอย่างลับๆ หากเขาไม่ยินดีจะรับข้าไว้ ถึงข้าไปพึ่งพาเฮ่าอวิ๋นถูก็ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับหลิ่วเอ๋อร์ พวกเขาจะพากันคิดว่าข้าเป็นคนของเฮ่าเจิน ตอนนี้เฮ่าอวิ๋นถูไม่มีทางให้ข้าทำงานสำคัญ อย่างน้อยในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีทางมอบงานสำคัญให้ข้า เมื่อเฮ่าอวิ๋นถูไม่ให้ความสำคัญกับข้า เฮ่าเจินก็ไม่ยอมรับตัวข้าไว้ เจ้าคิดว่าการที่ข้าทนอยู่ในแคว้นฉีจะมีประโยชน์หรือ? ในช่วงเวลานี้ ตัวข้าที่ไม่ได้รับความสำคัญและไม่ได้อยู่กับกลุ่มอำนาจใดก็ยากจะหนีเอาชีวิตรอดจากหนิวโหย่วเต้าได้ ข้าไม่มีทางต้านไหว!”

เซ่าซานเสิ่งก้มหน้าเงียบงัน ไม่คิดเลยว่าการส่งคุณหนูออกเรือนมาที่นี่ในปีนั้นจะกลายเป็นข้อผูกมัดในวันนี้

เขาไม่คลางแคลงในการวิเคราะห์ของเซ่าผิงปอเลย ติดตามรับใช้มานานหลายปี เขายังคงไว้วางใจในความสามารถคิดวิเคราะห์ของคุณชายใหญ่ท่านนี้อยู่ เขาเงยหน้าถามออกไป “คุณชายใหญ่ จากนี้จะทำอย่างไรต่อขอรับ?” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

“ข้ายังคงมีความมั่นใจในตัวเฮ่าเจินอยู่ มิเช่นนั้นข้าคงไม่มาขอพึ่งเขา”

“หากว่าคุณหนูใหญ่เข้ามาแทรกแซงจะทำอย่างไรขอรับ?”

“ท่านอ๋องคนหนึ่งที่อดทนงำประกายไว้ได้นานขนาดนี้ไม่มีทางเป็นคนหูเบาแน่นอน ด้วยความหยิ่งทะนงของเขาไม่มีทางปล่อยให้สตรีคนหนึ่งชักจูงได้ ขอเพียงเฮ่าเจินต้องการ อีกทั้งข้าก็ไม่ใช่คนตาย ไม่มีทางปล่อยให้หลิ่วเอ๋อร์เข้ามายุ่งวุ่นวายได้แน่นอน”

….

ภายในป่ารกชัฏ บนเส้นทางเก่าๆ เส้นหนึ่ง ขบวนม้ากลุ่มหนึ่งวิ่งห้อไป เฉิงหย่วนตู้ควบม้านำอยู่ด้านหน้า

พวกเขาได้รับข่าวจากสำนักหยกสวรรค์แล้ว หนิวโหย่วเต้าอยู่ที่จวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว ทางนี้จึงเร่งติดตามไปอีกครั้ง…

….

เซ่าเติงอวิ๋นถือจดหมายฉบับหนึ่งด้วยมือที่สั่นเทา

ลายมือที่คุ้นตา ลายมือของอดีตผู้บัญชาการ ดูเงอะงะขึ้นกว่าแต่ก่อน

เริ่มมาก็ด่าทอเขาเป็นชุด

ถามเขาว่าจำได้หรือไม่ว่าหลังจบศึกที่เขาหิมะ หนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วจูงม้าให้เขาด้วยตัวเอง จูงม้าไปประกาศคุณความดีของเขาต้องหน้ากองทัพใหญ่ เสพสุขกับฉากยิ่งใหญ่ที่คนนับหมื่นโห่ร้องสรรเสริญ หรืออยากจะถูกทั้งกองทัพตะโกนตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศเล่า?

ถามเขาว่ายังจำได้หรือว่าเป็นผู้ใดที่เดินทางไกลข้ามคืนเพื่อฝ่าวงล้มศัตรูไปช่วยเขา?

ถามเขาว่ายังจำได้หรือไม่ว่าเพื่อช่วยเขาแล้ว กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญต้องล้มตายไปมากน้อยเท่าไร?

ถามเขาว่าในหมู่วีรบุรุษที่ออกจากกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญไปเคยมีผู้ทรยศหรือไม่?

ถามเขาว่าเจ้าคิดว่าเจ้าจะยืนหยัดอยู่พื้นที่ปัญหาอย่างมณฑลเป่ยโจวได้อีกนานแค่ไหน? นับแต่โบราณมา ต่อให้มีผลงานสะสมสามชั่วคน แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถยืดอกปกครองดินแดนโดยลบล้างชื่อเสียงฉาวโฉ่ของตนได้? หากตัวเจ้าอยากรนหาที่ตายก็อย่าได้ทำให้พวกพ้องที่ติดตามต้องพลอยซวยไปด้วย!

กล่าวประณามว่าตัวเขาเป็นแม่ทัพแต่กลับไม่รู้จักความภักดี ดูแลครอบครัวก็เกิดความแตกแยก พี่น้องฆ่ากันเอง ด้านนอกมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ซ้ำยังเลี้ยงลูกไม่ถูกทาง สับสนเลอะเลือน นับเป็นการประณามที่เจ็บแสบโดยแท้ 艾琳小說

แต่ก่อนยังพอเอ่ยได้ว่าเจ้าทำไปเพราะเข้าตาจนจึงไม่สืบสาวเอาความ แต่ยามนี้กองกำลังใต้ร่มธงของหนิงอ๋องผงาดขึ้นอีกครั้งในมณฑลหนานโจวแล้ว ถามว่าเขาตาบอดหรือ ถามเขาว่ามองไม่เห็นหรือไร?

ประโยคสุดท้ายที่เขียนไว้ว่า ‘ตัวบัดซบ ยังไม่ไสหัวกลับมาอีก ต้องให้รอไปถึงยามใด!’ ทำให้เซ่าเติงอวิ๋นร่ำไห้ออกมา ฟุบหน้าลงกับโต๊ะพลางร่ำร้อง “ท่านแม่ทัพเหมิง! ข้าน้อยผิดไปแล้ว…”

หยางซวงยกแขนเสื้อซับน้ำตา

เซ่าเติงอวิ๋นพลันยืดตัวขึ้นมา เอ่ยเสียงโศกว่า “ไปเอาเครื่องเขียนมา ข้าจะขอขมาท่านแม่ทัพ!”

หยางซวงยื่นมือออกไปปรามไว้ “นายท่าน จะเป็นกลลวงหรือไม่ขอรับ? ภายหน้าจะยอมลบล้างชื่อเสียงฉาวโฉ่ให้ท่านโดยบอกว่าทำไปเพื่อหนิงอ๋องจริงๆ หรือขอรับ?”

เซ่าเติงอวิ๋นโบกมือทั้งน้ำตา “คนอื่นอาจจะหลอกข้าได้ แต่ท่านแม่ทัพจะไม่ทำแน่นอน รีบไปเอาเครื่องเขียนมา!”

….

ก่วนฟางอี๋เดินมาหยุดตรงราวกั้นศาลาหลังหนึ่ง เดินเข้าไปใกล้ๆ หนิวโหย่วเต้า พยักพเยิดหน้าไปทางด้านหลัง “จดหมายจากหนานโจวมาถึงแล้ว เหตุใดถึงยกบทคนดีให้ทางนั้นเล่า ไยเจ้าไม่รับบทคนดีนี้ไว้เอง?”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ข้าเป็นคนดีอย่างนั้นหรือ? ทำให้ครอบครัวคนเขาแตกแยกไป ในสายตาของเซ่าเติงอวิ๋นข้าจะยังใช่คนดีอีกหรือ?”

“มันก็ถูก การโน้มน้าวนี้จะสำเร็จหรือเปล่า?”

“อาจจะสำเร็จ แต่ก็อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ แต่ก็ต้องทำอยู่ดี”

ก่วนฟางอี๋ฉงน “หมายความว่าอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงเรียบ “หากทำสำเร็จ แปลว่าเขาภักดีมิเสื่อมคลาย ช่วยลดปัญหาลงได้ หากทำไม่สำเร็จ มีความเห็นแก่ตัวก็นับเป็นเรื่องดีเช่นกัน สถานการณ์ปรากฏตรงหน้าแล้ว ต้องดูว่าจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ได้อย่างไร!”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “เหตุใดยิ่งเจ้าพูดข้าก็ยิ่งสับสน”

หนิวโหย่วเต้าตบราวกั้นเล็กน้อย ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แม้ว่าเขาจะมีความเห็นแก่ตัว แต่ขอเพียงมิใช่คนโง่ เขาก็น่าจะรู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่มีโทษต่อตัวเขา สถานการณ์ตอนนี้ปรากฏชัดเจนแล้ว หากหยุดยั้งข้าได้ บางทีอาจจะทำให้รูปการณ์ของเป่ยโจวมั่นคงขึ้นได้ แล้วเหตุใดเขาถึงจะไม่ยอมตกลงเล่า? ส่วนในอนาคต หากว่าหนานโจวเอาตัวไม่รอด เราคาดหวังกับทางนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด หากว่าหนานโจวประสบความสำเร็จ มันก็จะเป็นทางถอยที่ชอบธรรมให้แก่เซ่าเติงอวิ๋นมิใช่หรือ? เมื่อเงื่อนไขลงตัวย่อมประสบความสำเร็จ เขาย่อมแล่นเรือตามลมเป็นธรรมดา แล้วจะทำให้ตนลำบากไปไย?”

ก่วนฟางอี๋กระจ่างขึ้นมาในทันใด พยักหน้ารับนิดๆ ได้รับการสั่งสอนแล้วจริงๆ จากนั้นสายตาที่มองหนิวโหย่วเต้าก็แฝงความเลื่อมใสอยู่เล็กน้อย ทว่าปากกลับเอ่ยค่อนแคะ “เจ้านี่ช่างแผนการนักนะ คนชั่ว!”

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจดังเฮ้อ “ข้าก็ไม่คิดว่าปากอย่างเจ้าจะพูดจาดีๆ ได้อยู่แล้ว คุยเรื่องงานเถอะ มีข่าวตอบกลับจากหอจันทร์กระจ่างหรือเปล่า?”

ก่วนฟางอี๋รู้ว่าเขาจดจ่ออยู่กับการสังหารเซ่าผิงปอ นางพลิกฝ่ามือแสดงจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา “เอ้า”

หนิวโหย่วเต้าหยิบมาเปิดอ่าน รู้สึกพูดไม่ค่อยออก เป็นข่าวจากทางแคว้นเว่ย สายข่าวของสำนักเบญจคีรีรายงานว่าฝั่งถังอี๋ไปถึงเมืองหลวงแคว้นเว่ยอย่างราบรื่นดี เข้าสู่จวนของเสวียนเวยแล้ว พำนักอยู่ในเมืองหลวงแคว้นเว่ย

เขาบดขยี้จดหมายให้กลายเป็นเศษธุลี เอ่ยตำหนิ “ข้าถามถึงหอจันทร์กระจ่าง มิใช่เรื่องนี้”

ก่วนฟางอี๋กลอกตา “ทำดีกลับไม่ได้ดี เพิ่งส่งจดหมายไปหาอีกฝ่ายไม่นาน ไหนเลยจะได้รับการตอบกลับเร็วปานนั้น อีกฝ่ายถามว่าเจ้าจะให้สิ่งใด เจ้าก็ให้อีกฝ่ายเสนอราคามา ตอบกันไปตอบกันมาเช่นนี้ไม่รู้ต้องตอบกันอีกกี่ครั้ง ข้าว่าเจ้าอย่าฝันจะจับเซ่าผิงปอได้ในเร็วๆ นี้เลย”

….

ช่วงพลบค่ำ หนิวโหย่วเต้ากำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้อง ก่อนจะต้องเก็บพลังเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังอยู่พักใหญ่

ก่วนฟางอี๋เปิดประตูเข้ามา ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ “มีข่าวของเซ่าผิงปอแล้ว” นางทราบดีว่าเขาสนใจเรื่องนี้อยู่

หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นรับจดหมายทันที พบว่าเป็นจดหมายจากเฮ่าเจิน อดเลิกคิ้วไม่ได้

ก่วนฟางอี๋อ่านจดหมายมาแล้ว ถามไปว่า “จะทำอย่างไร? เฮ่าเจินต้องการปกป้องเขา ทั้งยังต้องการปกป้องเป่ยโจวด้วย”

“ขอมาทั้งทีย่อมต้องไว้หน้า ทว่าจะปล่อยให้เขาพึ่งพิงกำลังทางแคว้นฉีตั้งตัวขึ้นมาอีกไม่ได้ ไปเอาเครื่องเขียนมา ข้าจะตอบด้วยตัวเอง!” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะหยัน

ก่วนฟางอี๋ไปนำเครื่องเขียนมาอย่างรวดเร็ว ช่วยฝนหมึกให้ด้วยตัวเอง

หนิวโหย่วเต้าเดินวนกลับไปกลับมาใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงนั่งลงจับพู่กัน เขียนข้อความหลายแถว เป่าหมึกให้แห่งแล้วยื่นส่งให้ “ส่งต้นฉบับไปเลย”

ก่วนฟางอี๋อ่านดูเล็กน้อย ร้องจุ๊ๆ แล้วหันหลังออกไปจัดการ

….

“จะไปแล้วหรือ? เจ้าจะไม่รอฟังเรื่องนี้แล้วหรือ?”

ใต้ชายคา หนิวโหย่วเต้ามาขอตัวลาไป หวงเลี่ยจึงเอ่ยถาม

“ทางนี้มีเจ้าสำนักหวงประจำการอยู่ก็พอแล้ว ข้าจะอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญนัก”

“เช่นนั้นก็คอยติดต่อกันไว้แล้วกัน”

“ได้! ข้าจะรอฟังข่าวดี ใช่แล้ว เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะยกอินทรีหยกทมิฬให้ตัวหนึ่ง ตอนนี้คงต้องขออภัยด้วย”

เรื่องนี้พูดไปก็น่าหดหู่ใจ หวงเลี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ช่างมันเถิด”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าสำนักหวงใจกว้าง ข้าก็ไม่อาจทำตัวใจแคบได้ รอให้จบเรื่องแล้ว ยามที่พวกเราพบหน้ากันอีกครั้งในหนานโจว ข้าจะขายสักตัวให้สำนักเขามหายานในราคาถูก ห้าล้านเหรียญทองเป็นอย่างไร”

ก่วนฟางอี๋ที่ฟังอยู่ด้านข้างถลึงตาขึ้นมาทันที จ้องหนิวโหย่วเต้าเขม็ง มอบให้ข้าเป็นของขวัญแล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรเอาไปขายโดยไม่ปรึกษาข้าก่อนสักคำ?

ดวงตาหวงเลี่ยเปล่งประกาย ถึงแม้จะไม่ใช่การให้เปล่า แต่ก็นับว่าได้กำไรมากโขแล้ว จะไม่ตอบตกลงได้อย่างไร เขาพยักหน้ารับ “ตกลง ข้าจะรับน้ำใจนี้ไว้”

ผ่านไปครู่หนึ่ง วิหคยักษ์สองตัวก็เหินขึ้นจากจวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจวโผสู่อากาศ ลุงเฉินควบคุมวิหคตัวหนึ่งเพียงลำพัง แต่กลับมีเสียงเอะอะมาจากหลังวิหคอีกตัว ย่อมเป็นก่วนฟางอี๋ที่เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องขายวิหคยักษ์ ไม่ระเบิดอารมณ์ต่อหน้าหวงเลี่ยก็นับว่าไว้หน้าหนิวโหย่วเต้าแล้ว

ในภูเขานอกเมืองที่อยู่ห่างไปหลายสิบลี้ อินทรีหยกทมิฬสองตัวร่อนลงบนเขาลูกหนึ่งที่เห็นเด่นชัดเป็นพิเศษ

ในป่าก็มีอินทรีหยกทมิฬตัวหนึ่งอยู่ หยวนกัง หยวนฟาง อิ๋นเอ๋อร์และเหล่าสือซานอยู่กันพร้อมหน้า ทั้งสองฝ่ายกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

ส่วนอินทรีหยกทมิฬอีกสองตัวให้ศิษย์สำนักเบญจคีรีนำกลับไปแล้ว ไม่เหมาะจะใช้มากเกินไปในคราวเดียว

เดิมทีจะส่งอิ๋นเอ๋อร์กลับไปพร้อมกัน หากปล่อยให้ติดตามข้างกายจะเกิดเรื่องได้ง่ายๆ แต่ผู้ใดก็ไม่สามารถกล่อมให้นางยอมไปได้

หยวนกังทราบตื้นลึกหนาบางของอิ๋นเอ๋อร์ในยามนี้ เดิมทีคิดว่าจัดการได้ง่ายๆ จะใช้กำลังบังคับ ผลคือไปยั่วโทสะอิ๋นเอ๋อร์เข้าจริงๆ แล้วกลับกลายเป็นหยวนกังที่ถูกข่มแทน

“นางล่ะ?” หนิวโหย่วเต้าถาม

หยวนกังชี้แผ่นหลังที่ยืนห่างออกไปเพียงลำพังบนหินผาก้อนหนึ่ง “ท่านไปดูเองเถอะ”

หนิวโหย่วเต้าทะยานเข้าไปหา ร่อนลงด้านหลังอิ๋นเอ๋อร์ เอ่ยยิ้มๆ “อิ๋นเอ๋อร์!”

อิ๋นเอ๋อร์หันกลับมาทันที

หนิวโหย่วเต้าตัวแข็งไปในทันใด ม่านตาหดตัว ถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที ไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป มองเห็นว่าบนหน้าของอิ๋นเอ๋อร์มีลวดลายสีเงินชั่วร้ายปรากฏขึ้นมาหลายเส้นอีกครั้ง ไม่ได้มีรูปลักษณ์ใสซื่ออีกต่อไป ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายเย็นชาข่มขวัญคน สองเนตรเย็นชาชวนหวาดหวั่น

ลุงเฉินและสวี่เหล่าลิ่วไม่รู้เรื่อง เนื่องจากไม่ทราบฐานะที่แท้จริงของอิ๋นเอ๋อร์ รับรู้ได้เพียงว่าแปลกไป เหตุใดสาวน้อยกินจุคนนี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ เปลี่ยนเป็นคนละคน

ทว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าก่วนฟางอี๋กลับกระตุกยิกๆ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

………………………………………………………………………………………