ยามรุ่งสาง ประตูวังเปิดออกอย่างเงียบเชียบ
ข้าหลวงเดินผ่านประตูวังหลวงออกมาก่อนจะตรงไปที่จวนขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง
ภายใต้ท้องฟ้ามืดสลัว เรือนขององค์หญิงและเรือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์ รวมถึงตระกูลสูงศักดิ์อื่นๆ ในละแวกเดียวกันต่างตกอยู่ในภวังค์หลับใหล
ตั้งแต่องค์หญิงใหญ่หรงหยางหย่าขาดกับชุยซวี่ นิสัยของนางก็เริ่มเกียจคร้าน นางมักจะนอนเอือกจนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นสูงเด่น ดังนั้นยิ่งเข้าใกล้จวนขององค์หญิงมากเท่าไร ละแวกใกล้เคียงก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้นเท่านั้น
เหล่าคนทำงานในจวนพยายามทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะหากส่งเสียงเอะอะจนองค์หญิงตื่นจากฝันอาจถูกเอ็ดเอาได้
ทว่าคืนที่ผ่านมา องค์หญิงใหญ่หรงหยางนอนหลับไม่สนิท
นางรู้สึกว้าวุ่นใจยิ่งนัก
นางอุตส่าห์หาเรื่องญาติห่างๆ ของพระชายาเยี่ยนอ๋อง หวังจะใช้เรื่องนี้ทำลายชื่อเสียงของนาง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนอ๋องจะพลิกสถานการณ์ได้อย่างง่ายดายเพียงนี้
เด็กหนุ่มป่าเถื่อนที่เติบโตมาจากนอกวังหลวงลงไพ่ไม่สนกฎเกณฑ์เอาเสียเลย
ความคับแค้นในใจของนางยากจะขจัดได้หมด นางพลิกตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านไปเนิ่นนานกว่านางจะข่มตาหลับได้ลง แต่แล้วเสียงของสาวรับใช้ก็กล่าวร้องรายงาน “องค์หญิง มีคนจากวังหลวงมาขอเข้าเฝ้าเพคะ…”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง นางกอดผ้าแพรด้วยอาการงุนงงเพียงครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำ “คนจากวังหลวงงั้นหรือ”
สาวรับใช้ตอบเสียงเรียบ “เพคะ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้องค์หญิงเสด็จเข้าวังเพคะ”
องค์หญิงใหญ่เฉมองออกไปด้านนอกโดยไม่รู้ตัว
แสงสลัวที่หน้าต่างหลังม่านผืนหนา สาวรับใช้ก็เพิ่งจะจุดตะเกียงไฟเมื่อครู่ แต่ความมืดยังคงปกคลุมอยู่ทั่วห้อง
“ยามใดแล้ว”
ทันทีที่บ่าวรับใช้แจ้งเวลา ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ก็เจือไปด้วยความสงสัย “ประตูวังเพิ่งจะเปิดก็เรียกให้ข้าเข้าวังเลยรึ”
เสด็จพี่เสียสติไปแล้วหรือ
องค์หญิงใหญ่หรงหยางมิได้กล่าวประโยคนั้นออกมา นางเพียงแต่คิดในใจ
แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ จะชักช้าร่ำไรเสียมิได้ องค์หญิงใหญ่หรงหยางจึงกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “มาช่วยข้าล้างหน้าที”
ครั้นจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็เข้าไปพบขันทีที่รออยู่ในห้องบุปผา
ขันทีรีบถวายความเคารพองค์หญิง
องค์หญิงใหญ่ผงกหัวรับ “เหตุใดฝ่าบาทถึงเรียกให้ข้าเข้าวัง”
ขันทียิ้มจืดเจื่อน “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พระองค์เสด็จเข้าวังโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ…”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางขมวดคิ้ว “ข้ารู้แล้ว ไปเถอะ”
เกี้ยวเล็กจอดอยู่ที่หน้าประตูสองของจวน
ครั้นองค์หญิงใหญ่หรงหยางขึ้นไปบนเกี้ยว คนหามเกี้ยวทั้งสี่ก็รี่ออกไปทันที
ตำแหน่งคนหามเกี้ยวหลวงถูกเลือกมาอย่างพิถีพิถัน เพราะนอกจากจะต้องแบกเกี้ยวได้อย่างมั่นคงแล้ว ความเร็วก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเลิกผ้าม่านขึ้นดูด้านนอก ลมเย็นยะเยือกปะทะเข้าที่ใบหน้าจนสั่นสะท้าน
ความง่วงงุนมลายหายเป็นปลิดทิ้ง สตินึกคิดทั้งหมดกลับเข้าที่โดยสมบูรณ์
นางคือองค์หญิงใหญ่ที่ใครต่างก็ให้ความเคารพ นางเข้าวังบ่อยเสียจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทว่าไม่เคยมีครั้งใดถูกเรียกเข้ามาตั้งแต่เช้ามืดเช่นนี้
เสด็จพี่เรียกหานางด่วนเพียงนี้เป็นเพราะสาเหตุใดกัน
นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีอ่อน ในขณะที่มีปื้นเมฆขมุกขมัวเข้าปกคลุมหัวใจของนาง
เร่งด่วนเพียงนี้เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดี...
ระหว่างที่นางกำลังคาดเดาไปต่างๆ นานา เกี้ยวหลวงก็หยุดลง
ในตอนที่นางกำลังลงจากเกี้ยว สายตาของนางหันไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งยืนห่างออกไปไม่ไกล
ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว ชายหนุ่มยืนอยู่หว่างกลางระหว่างความมืดและความสว่าง ทำให้คนที่เห็นรู้สึกคล้ายกับว่าเป็นความฝัน
องค์หญิงใหญ่หรงหยางสะบัดศีรษะหนหนึ่งก่อนใบหน้าของนางจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ที่แท้ก็เยี่ยนอ๋อง!
อวี้จิ่นได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวจึงหันกลับไปมอง พร้อมกล่าวทักทายเสียงเรียบ “เสด็จอา มาแต่เช้าเลยรึพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” น้ำเสียงขององค์หญิงใหญ่หรงหยางเย็นชายิ่งกว่า
อวี้จิ่นไม่ได้ตอบคำถาม ทว่าความกังวลกระจายผ่านออกมาทางสายตา
อาซื่อไม่ได้กลับจวนเลยทั้งคืน!
มีเพียงสวรรค์ที่ทราบว่าเขาผ่านช่วงเวลาเมื่อคืนก่อนมาได้อย่างไร ในตอนแรกเขาประมาณการว่าประตูวังน่าจะใกล้เปิดแล้ว จึงรีบมาขอเข้าเฝ้า
แต่ครั้นมาถึงกลับพบประตูปิดสนิทแน่นหนา นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก
“องค์หญิงใหญ่ ฝ่าบาททรงรอพระองค์อยู่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่ทำหน้าที่ไปแจ้งข่าวที่จวนองค์หญิงใหญ่กล่าวเตือน
องค์หญิงใหญ่หรงหยางชำเลืองมองไปที่อวี้จิ่นแวบหนึ่งก่อนจะเดินผ่านเขาไป
อวี้จิ่นเบะปากมองแผ่นหลังขององค์หญิงใหญ่หรงหยางที่เคลื่อนไกลออกไปอย่างเย้ยหยัน
มิรู้ว่าหญิงโง่นางนี้จะลำพองไปไย เมื่อคืนตั่วหมัวมัวถูกจับ ส่วนอาซื่อก็ถูกเรียกเข้ามาที่วัง จากนิสัยของอาซื่อแล้ว ไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะจัดการกับนางหลุดมือไปอย่างแน่นอน
มีข้าหลวงอีกคนรี่เข้ามาหาชายหนุ่ม “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทรับสั่งให้เข้าเฝ้าได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นพยักศีรษะแล้วเดินไป ไม่ช้าไม่นานก็ตามองค์หญิงใหญ่หรงหยางได้ทัน
“เสด็จพี่ เรียกหม่อมฉันมาเพลานี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเพคะ” ทันทีที่เห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ออกปากถามทันควัน
สีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่มองมาที่นางมิได้สื่ออารมณ์ใด ก่อนที่เขาจะหันไปมองอวี้จิ่น
อวี้จิ่นถวายความเคารพเสร็จ เขาก็รีบสอดส่ายสายตาไปรอบทิศ
แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจียงซื่อ ความผิดหวังท่วมท้นในใจชายหนุ่ม
จิ่งหมิงฮ่องเต้คร้านจะใส่ใจพวกติดภรรยา จึงหันไปกล่าวแก่องค์หญิงใหญ่หรงหยาง “เจ้าคงรู้จักตั่วหมัวมัวสินะ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางผงะไป ทว่านางส่งยิ้มพลางตอบ “เสด็จพี่หมายถึงตั่วหมัวมัวที่เป็นนางในข้างกายเสด็จแม่หรือเพคะ ต้องรู้จักซิเพคะ”
“คงไม่ใช่แค่รู้จัก ตั่วหมัวมัวเข้ามาในวังหลวงด้วยเส้นสายของเจ้าสินะ”
“เสด็จพี่ ทำไมหรือเพคะ” องค์หญิงใหญ่หรงหยางหุบยิ้มโดยพลัน นางรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล “หรือว่าตั่วหมัวมัวทำอะไรผิดหรือเพคะ”
“หรงหยาง ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่า ตั่วหมัวมัวทำประโยชน์อะไรให้เจ้า เจ้าถึงได้พานางเข้าวังโดยไม่สนใจกฎของวังหลวง”
ดูเหมือนสิ่งที่นางกังวลจะได้รับการยืนยันเสียแล้ว นางพยายามกล่าวอย่างใจเย็น “มีเรื่องผลประโยชน์ที่ไหนกันเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่เห็นว่านางรู้งาน ประจวบกับที่ตำหนักฉือหนิงกำลังขาดคนพอดี หม่อมฉันจึงเสนอเรื่องนี้ให้แก่เสด็จแม่ ตอนนั้นเสด็จแม่ก็มิได้ทรงคัดค้าน…”
“ไม่ใช่ว่าตั่วหมัวมัวให้หนอนพิษกู่แก่เจ้าหรอกหรือ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางตกตะลึง ครั้นรวบรวมสติได้ นางก็รีบตอบกลบเกลื่อน “เสด็จพี่ ไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นนะเพคะ!”
เมื่อเห็นว่าองค์หญิงใหญ่ปฏิเสธเสียงแข็ง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
มาถึงขนาดนี้แล้ว หรงหยางยังคิดว่าจะหนีรอดไปได้
“ไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้น หรงหยาง เจ้าอย่ารอให้เห็นโลงศพก่อนแล้วถึงจะหลั่งน้ำตาเลย”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางคับแค้นใจเพราะถูกทำให้อับอาย “เสด็จพี่ไปฟังใครยุมารึเพคะ เหตุใดถึงได้เชื่อเรื่องพรรค์นี้ หม่อมฉันมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ ชีวิตไม่เคยขาดสิ่งใด แล้วหม่อมฉันจะมีเหตุผลอะไรให้ต้องใช้หนอนพิษกู่ล่ะเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาลง ถอนหายใจยาวพลางเอ่ย “หรงหยาง ข้าหวังให้เจ้าพูดความจริง เจ้าหยุดโกหกข้าได้แล้ว”
“น้องก็พูดความจริงอยู่นี่ไงเพคะ!” องค์หญิงใหญ่แผดเสียงเกรี้ยวกราด
ถ้านางบอกความจริงไปตอนนี้ ก็พังกันหมดพอดี
เสียงฝีเท้ารีบเร่งลอยมา ไม่นานข้าหลวงคนหนึ่งก็เข้ามา “ฝ่าบาท พบสิ่งนี้ในจวนขององค์หญิงใหญ่หรงหยางพ่ะย่ะค่ะ”
พานไห่รับกล่องหยกมาจากมือข้าหลวงก่อนยื่นให้ฮ่องเต้
“เปิดดู”
ทันทีที่พานไห่เปิดฝากล่องหยก เขาแทบจะทำมันหลุดมือ
ในกล่องใบนั้นมีหนอนสีแดงอ่อนตัวเล็กตัวหนึ่ง และตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังยืดเหยียดตัวขึ้นกลางอากาศ ชวนขนหัวลุก
สีหน้าขององค์หญิงใหญ่หรงหยางเปลี่ยนไปฉับพลัน
เหตุใดหนอนพิษกู่ที่นางให้บ่าวรับใช้คนสนิทเลี้ยงถึงมาอยู่ในมือขันที แล้วขันทีไปเจอมันตั้งแต่เมื่อไหร่
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชี้ไปที่กล่องหยกด้วยใบหน้าขึ้งเคียด “ตั่วหมัวมัวยอมรับกับปากนางเองว่านางให้หนอนพิษกู่กับเจ้าสองตัว ตัวหนึ่งเจ้าใช้มันสังหารซูซื่อแห่งอี๋หนิงโหว ส่วนอีกตัว เจ้ากำลังเพาะเลี้ยงมันให้เติบใหญ่ หากวันใดวันหนึ่ง ข้าหรือไทเฮาทำให้เจ้าไม่พอใจ เจ้าคงจะใช้หนอนพิษกู่ตัวนี้มาทำร้ายข้าและไทเฮาใช่หรือไม่”
“หามิได้เพคะ หม่อมฉันจะทำร้ายเสด็จแม่และเสด็จพี่ได้อย่างไร…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจทนฟังองค์หญิงใหญ่หรงหยางได้อีกแล้ว เขากล่าวเสียงเย็นชาแม้จะรู้สึกผิดหวัง “องค์หญิงใหญ่หรงหยางสมคบคิดกับชนต่างเชื้อชาติ จิตใจโสมมชั่วร้าย นับแต่บัดนี้ไป ฐานันดรศักดิ์ของนางถือเป็นอันสิ้นสุด ให้มีสถานะเป็นเพียงสามัญชน และไม่อนุญาตให้เข้ามาเหยียบที่วังหลวงอีกเป็นอันขาด!”