จิ่งหมิงฮ่องเต้ใคร่ครวญเรื่องนี้จนปวดเศียรเวียนเกล้า
แม้ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่เขาก็ต้องดูแลความรู้สึกของผู้เป็นมารดาด้วย
ในตำหนักฉือหนิง ไทเฮาตื่นบรรทมแล้ว
สภาพร่างกายของคนแก่มิอาจสู้คนหนุ่ม เมื่อคืนก่อนมีแพทย์หลวงเข้ามาถวายการรักษา เนื่องด้วยไทเฮามีอาการปวดระบมที่มืออย่างรุนแรง แม้จะเสวยโอสถที่แพทย์หลวงจัดให้และพักผ่อนไปแล้ว แต่ทว่าในยามนี้ดูเหมือนว่าสติของพระนางยังกลับมาไม่ครบสมบูรณ์
การที่จิ่งหมิงฮ่องเต้มาปรากฏตัวยามนี้ทำให้ไทเฮารู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องผิดปกติ “หากข้าจำไม่ผิด เพลานี้ฝ่าบาทต้องออกว่าราชการเช้า แต่เหตุไฉนถึงได้เสด็จมาที่นี่เล่า”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งลงข้างไทเฮา พิศมองสีหน้าของหญิงชราพลางถาม “เมื่อคืนบรรทมดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ประมาณหนึ่ง” คิ้วของนางไม่ผ่อนคลาย นิ้วมือขยับเขยื้อนนับลูกประคำในมือเร็วขึ้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะกล่าว “วันนี้ลูกลงโทษหรงหยาง”
ลูกประคำในมือไทเฮาหยุดนิ่ง พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แล้วหรงหยางเป็นอย่างไรบ้าง”
ฝ่าบาทใช้คำว่า ‘ลงโทษ’ ดูเหมือนว่าความผิดของหรงยางจะมิใช่เรื่องเล็กๆ
ไทเฮารู้ดีว่าฮ่องเต้เป็นประมุขที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา การลงโทษหรงหยางแสดงว่านางมีความผิดจริง
“ตั่วหมัวมัวที่อยู่ข้างกายของเสด็จแม่เป็นชาวอูเหมียว…”
ไทเฮาหรี่ตา พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่นางตื่น นางยังไม่เห็นตั่วหมัวมัวเลย
ตั่วหมัวมัวคือบ่าวรับใช้ที่สามารถเข้าออกห้องบรรทมของไทเฮาได้ นางแทบจะไม่เคยห่างจากไทเฮา แต่การที่นางหายตัวไปชั่วครู่ก็มิได้เป็นเรื่องผิดสังเกตนัก เมื่อคืนก่อน ตั่วหมัวมัวได้รับคำสั่งให้ไปเยี่ยมเยือนองค์หญิงสิบสี่ แต่นางไม่ได้กลับมาที่ตำหนักเลยทั้งคืน คนรอบตัวไทเฮาต่างก็ทราบเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่ได้รายงานให้ไทเฮารับรู้
พระนางเพิ่งจะฟื้นได้ไม่นาน จึงไม่มีผู้ใดอยากเอาเรื่องมากราบทูลให้พระนางต้องเป็นกังวล
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้ว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจปิดบังไทเฮา จึงสารภาพอย่างตรงไปตรงมา “อันที่จริง ลูกแอบส่งคนไปสืบเรื่องที่เฉินเหม่ยเหรินวางยาพิษองค์หญิงสิบห้า เพราะลูกสงสัยว่าหญิงสาวตัวเล็กๆ ไม่น่าจะหาหญ้าไส้ขาดมาได้ ต้องมีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังแน่นอน… พอสืบไปสืบมาก็พบตัวตั่วหมัวมัวเมื่อคืนวาน ซึ่งก่อนหน้านี้นางไปเยี่ยมสิบสี่ และเผลอทำหางจิ้งจอกของตัวเองโผล่ออกมา…”
ไทเฮารับฟังเงียบๆ ก่อนจะถาม “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหรงหยาง”
นางกล่าวมาถึงตรงนี้ก่อนจะขมวดคิ้วคล้ายกับนึกอะไรออก “ข้านึกออกแล้ว ตอนนั้นหรงหยางเป็นคนพาตั่วหมัวมัวเข้ามา ฝ่าบาทลงโทษนางด้วยสาเหตุนี้ใช่หรือไม่”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มระคนขมขื่น “หากมีแค่เรื่องที่นางพาตั่วหมัวมัวเข้ามา อย่างมากลูกคงแค่ต่อว่านางเท่านั้น จะลงโทษนางด้วยสาเหตุใดกัน แต่เนื่องจากในตอนนั้นหรงหยางได้หนอนพิษกู่มาจากตั่วหมัวมัว นางใช้หนอนพิษกู่นั้นสังหารมารดาของพระชายาเยี่ยนอ๋อง หนำซ้ำยังแอบเลี้ยงหนอนพิษพวกนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ใช่ว่าลูกไม่ได้ให้โอกาสนาง แต่ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับสารภาพ…”
“ฝ่าบาทลงโทษนางอย่างไร”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไปชั่วครู่
ที่เขาร่ายยาวมาทั้งหมดก็เพื่อให้เวลาไทเฮาได้เตรียมใจ เขาไม่อยากเรื่องขององค์หญิงใหญ่หรงหยางมาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก
“ลูกลดนางเป็นสามัญชน”
อาการของไทเฮาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
จิ่งหมิงฮ่องเต้หวั่นพระทัย
ไทเฮามิได้ให้ประสูติบุตร แต่นางเป็นคนเลี้ยงดูเขาและหรงหยาง นางเห็นหรงหยางเป็นเหมือนลูกแท้ๆ เขาจึงกลัวว่านางจะทำใจรับความจริงไม่ได้
ไทเฮาถอนหายใจพลางเอ่ย “หรงหยางทำผิดร้ายแรงถึงเพียงนี้ ควรแก่การลงโทษ ฝ่าบาททรงทำถูกแล้ว”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ดีที่เสด็จแม่มิได้กล่าวโทษลูก”
ไทเฮาเหลือบมองฮ่องเต้ “ข้ายังมิได้แก่เลอะเลือนปานนั้น จะไปโทษฝ่าบาทได้อย่างไร เพียงแต่ที่ฝ่าบาททรงทราบว่าหรงหยางทำร้ายมารดาของพระชายาเยี่ยนอ๋อง แล้วพระชายาเยี่ยนอ๋องทำอะไรกับเรื่องนี้งั้นหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าว “เรื่องนี้ต้องขอบคุณพระชายาเยี่ยนอ๋อง นอกจากนางเป็นคนลากตัวตั่วหมัวมัวมาลงโทษแล้ว นางยังเป็นคนไขความจริงเรื่องการตายของซูซื่อ”
ไทเฮากำลูกประคำในมือแน่นพร้อมเอ่ยราบเรียบ “พระชายาเยี่ยนอ๋องเก่งกาจเหลือเกิน คราวก่อนก็ช่วยรักษาดวงตาของฝูชิง ฝ่าบาทอย่าได้ทรงลืมคุณความดีของนางล่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มพลางพยักหน้า “ลูกจะจำไว้”
“ฝ่าบาท เรื่องหรงหยางทำให้ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จไปว่าราชการเช้า ทำเช่นนี้ไม่ดีเลย คราวหน้าคราวหลังอย่าได้ทำอีก”
“ลูกทราบแล้วเสด็จแม่”
ไทเฮาขยับเปลือกตา “ข้าเหนื่อยแล้ว ฝ่าบาทไปทรงงานเถอะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน “เสด็จแม่ พักผ่อนเสียหน่อยเถิด”
รอจนจิ่งหมิงฮ่องเต้ออกไป พวงลูกประคำในมือของไทเฮาก็ร่วงลงพื้น
ลูกประคำทรงกลมที่ทำขึ้นจากไม้กระทบลงบนพื้นส่งเสียงกุกกัก เม็ดประคำกระจายไปทั่วพื้น
ผู้คนในตำหนักฉือหนิงเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง
ผ่านไปนานหลายอึดใจก่อนที่ไทเฮาจะสั่งให้เหล่านางในออกไปจากห้อง นางหันไปถามแม่นมคนสนิท “ตั่วหมัวมัวไปเยี่ยมองค์หญิงสิบสี่แล้วมิได้กลับมาที่นี่งั้นหรือ”
“ใช่เพคะ”
ไทเฮาเม้มปากและถามต่อ “เมื่อคืนนี้มีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่”
แม่นมคนสนิทละล้าละลังอยู่พักหนึ่ง
“เจ้ากำลังปิดบังข้าด้วยอีกคนงั้นหรือ”
แม่นมคนสนิทรีบกล่าวทันควัน “กราบทูลไทเฮา ฝ่าบาทรับสั่งไม่ให้หม่อมฉันรายงานพระองค์เพคะ…”
ไทเฮาเย้ยหยัน “พวกเจ้าเห็นว่าข้าตายแล้วหรืออย่างไร ฝ่าบาทเสด็จมาถึงที่นี่แล้วยังไม่ยอมบอกข้าสักคำ”
แม่นมคนสนิทก้มหน้ากล่าวตอบ “เรื่องเมื่อคืนที่พระองค์เจ็บพระหัตถ์จนต้องเรียกแพทย์หลวงเข้ามาไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ หลังจากพระองค์เข้าบรรทมได้ไม่นาน ฮ่องเต้และฮองเฮาก็เสด็จมาดูพระอาการถึงตำหนักเลยเพคะ… ”
ไทเฮาเลิกคิ้ว “ฝ่าบาทกับฮองเฮาเสด็จมาด้วยกันอย่างนั้นรึ”
“เพคะ…”
ไทเฮาขมวดคิ้ว สีพระพักตร์เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายนางได้แต่ถอนหายใจออกมา “ข้าคงแก่แล้วจริงๆ”
ที่แท้ความบาดหมางระหว่างฮ่องเต้และฮองเฮาก็เป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ทั้งคู่แสดงให้นางดู
“พาข้าออกไปเดินข้างนอกที ข้าอยากสูดอากาศสักหน่อย”
……
กลุ่มข้าหลวงหยุดยืนอยู่ที่บริเวณหน้าประตูเรือนองค์หญิงใหญ่หรงหยาง หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น “ท่านรีบไปเก็บข้าวของเตรียมย้ายออกจากที่นี่เสียเถิด ฝ่าบาททรงให้เวลาเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น เพราะวันรุ่งขึ้นจะมีคำสั่งให้ปิดตายจวนหลังนี้…”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางจ้องเขม็งไปยังขันทีที่กำลังพูดอยู่ในขณะนั้นแล้วแผดเสียงอย่างเดือดดาล “ไสหัวไป!”
เมื่อเห็นว่านางเดินเข้าประตูจวนไปด้วยอาการล่องลอย ข้าหลวงผู้นั้นก็ถ่มน้ำลายลงพื้น “ถุ้ย คิดว่าตัวเองเป็นองค์หญิงผู้สูงส่งหรือยังไง องค์หญิงกำมะลอน่ะสิไม่ว่า!”
เยี่ยนอ๋องจัดการได้ถึงใจยิ่งนัก ต่อไปนี้เขาจะสนับสนุนเยี่ยนอ๋องสุดตัว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเดินไปบนทางเดินแสนคุ้นเคย
ในขณะนั้น คนในจวนต่างก็ได้ทราบเรื่องนี้แล้ว ใบหน้าแต่ละคนโศกเศร้าหมองหม่น หลายคนอยากจะเดินเข้ามาหานาง แต่กลับไม่กล้าพอ
“ฮุ่ยเจิน!” องค์หญิงใหญ่หรงหยางตะโกนเรียก
สตรีวัยกลางคนนางหนึ่งรี่เข้ามาหา
องค์หญิงใหญ่หรงหยางตวัดมือลงที่ใบหน้าของนางพร้อมถามอย่างกราดเกรี้ยว “เจ้าตายแล้วรึ เหตุใดหนอนพิษกู่ที่ข้าให้เจ้าเลี้ยงถึงไปอยู่ในมือข้าหลวง”
หญิงวัยกลางคนคุกเข่าลงทันใด นางซบตัวลงแทบเท้าองค์หญิงใหญ่หรงหยางพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “บ่าวไม่ทราบว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ตอนที่องค์หญิงออกไปจากจวน จู่ๆ ก็มีข้าหลวงกลุ่มหนึ่งเข้ามา พร้อมบอกว่ามีคำสั่งให้ตรวจค้นจวนองค์หญิง หนึ่งในขันทีกลุ่มนั้นคล้ายกับมีตาทิพย์ พุ่งปราดเข้าไปค้นที่ห้องของบ่าว และในที่สุดก็เจอหนอนพิษกู่…”
“เป็นไปไม่ได้ ตาทิพย์บ้าบออะไรกัน!” องค์หญิงใหญ่พูดด้วยใบหน้าถมึงทึง
เมื่อได้กลับเข้ามาอยู่ในที่ที่คุ้นเคย สติของนางก็ค่อยๆ สงบลง อารมณ์ในขณะนี้แปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังอย่างที่สุด
เมื่อราชโองการถูกประกาศออกมาแล้ว นางก็หมดโอกาสจะไปร้องขอความช่วยเหลือจากไทเฮา นั่นหมายความว่านางคงไม่มีทางได้กลับไปเป็นดังเดิม…
“องค์หญิง บ่าวว่าพวกเรารีบเก็บของกันก่อนดีไหมเพคะ เพราะอีกไม่นานจวนนี้คงถูกปิดตาย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังทิ้งทางรอดไว้ให้นาง เพราะอย่างน้อยๆ หากนำสิ่งของในจวนติดตัวไปด้วย ก็มีพอให้อยู่สุขสบายไปชั่วชีวิต
คนในจวนลงมือเก็บของมือเป็นระวิง จนกระทั่งดวงอาทิตย์คล้อยลงทางทิศตะวันตก แต่แล้วก็มีบ่าวรับใช้ปรี่เข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพมาเพคะ”