ตอนที่ 533 ตื่นรู้ทันท่วงที

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 533 ตื่นรู้ทันท่วงที

ถังอี๋ระงับความคิดสารพัดในใจลงเอ่ยไปว่า “จำนวนครั้งที่ข้าพบหน้าหนิวโหย่วเต้าแทบนับนิ้วได้ ทุกความเข้าใจที่มีต่อตัวเขาล้วนมาจากข่าวลือบางส่วนจากภายนอกทั้งสิ้น…”

นางพลันสังเกตเห็นว่าเสวียนเวยมองตนด้วยสายตาที่ค่อนข้างแปลก ตัวนางเองก็ค่อนข้างกระอักกระอ่วนเช่นกัน

เสวียนเวยยิ้มออกมา “ก่อนที่เขาจะลงเขาไปช่วยสนับสนุนซางเฉาจงก็ถูกกักบริเวณอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถึงห้าปีมิใช่หรือ? ตัวเขาในช่วงเวลานั้นเป็นคนเช่นไร เจ้าจะไม่รู้อะไรเลยหรือ?”

“ในช่วงห้าปีนั้นก็พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น พบหน้ากันปีละครั้งเห็นจะได้ ช่วงเวลาที่พบหน้ากันก็มิได้ยาวนานนัก…” พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ ตัวถังอี๋เองก็ค่อนข้างสับสนขึ้นมาเช่นกัน ใช่แล้ว ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเช่นนั้นแล้วมีสิทธิ์อะไรไปหาอีกฝ่าย มิสิทธิ์อะไรไปขอให้อีกฝ่ายมาช่วยเหลือตนเล่า?

เสวียนเวยรู้สึกหมดคำพูด สบตากับซีเหมินฉิงคงเล็กน้อย ดูเหมือนในอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะ ‘ทำดี’ กับหนิวโหย่วเต้าไว้มากจริงๆ ไม่แปลกเลยที่ก่อนหน้านี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรหนิวโหย่วเต้าก็ไม่แยแสสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จนกระทั่งจ้าวสยงเกอออกหน้าถึงได้บีบให้หนิวโหย่วเต้ายอมช่วยเหลือสำนักสวรรค์พิสุทธิ์สักครั้ง

เรื่องต้นสายปลายเหตุเหล่านี้ เสวียนเวยสอบถามแล้ว ถังอี๋เองก็มิได้ปกปิดนาง ล้วนพูดออกไปจนหมด ตั้งใจเอ่ยออกมาชัดเจนว่าเป็นจ้าวสยงเกอที่กดดันหนิวโหย่วเต้า…ซึ่งนี่คือสิ่งที่หนิวโหย่วเต้ากำชับนางไว้ก่อนเดินทางมา ให้นางเอ่ยไปเช่นนี้

“กักบริเวณสินะ พอจะเข้าใจได้” เสวียนเวยยิ้มพลางเอ่ยสลายความกระอักกระอ่วน ถามต่อไป “แล้วเซ่าผิงปอล่ะ”

ถังอี๋ส่ายหน้า ยิ้มเจื่อนๆ “เซ่าผิงปอมิเคยมอบงานสำคัญให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เลย อยู่ในเป่ยโจว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์แทบจะทำแต่งานเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป มิเคยได้แตะต้องภารกิจหลักสำคัญ ข้าจึงไม่รู้จักเซ่าผิงปอมากนักเช่นกัน”

เสวียนเวยมองนางด้วยรอยยิ้ม ไม่พูดอะไร แต่กลับทอดถอนใจอยู่ภายในใจ คิดไม่ถึงว่าสำนักเช่นนี้จะได้รับความช่วยเหลือจากศิษย์ที่ถูกขับออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถึงสองคนจนระหกระเหินมาถึงที่นี่ได้ ไม่ทราบจริงๆ ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำบุญอะไรไว้

ในเมื่อไม่ทราบ นางก็ไม่ถามต่ออีก เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “เลือกสถานที่ได้หรือยัง?”

“ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเจ้าค่ะ” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

“อืม นี่เป็นเรื่องใหญ่ ต้องรอบคอบกันหน่อย ใช่แล้ว ได้ยินว่าประกาศข่าวเรื่องหย่าสามีออกไปแล้วหรือ?”

“เจ้าค่ะ!” ถังอี๋พยักหน้ารับ นี่ก็เป็นสิ่งที่หนิวโหย่วเต้ากำชับเอาไว้เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างทราบความจริงไม่เพียงพอ หนิวโหย่วเต้ายืนกรานจะให้นางประกาศออกไปให้ได้ ใช้เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน

เสวียนเวยร้องโอ้ นางก็มิได้คิดว่าทำเช่นนี้จะไม่เหมาะไม่ควรอันใด เพียงแค่รู้สึกว่าเหมือนจะรีบร้อนเกินไปหน่อย

กระทั่งถังอี๋ออกไปแล้ว เสวียนเวยเดินวนไปวนมาอยู่พักหนึ่ง เอ่ยอย่างใช้ความคิด “เซ่าผิงปอมีความสามารถ หากแคว้นเว่ยได้คนมีความสามารถเช่นนี้มาจะเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก ในอดีตเขาเคยตั้งตนเป็นเจ้าศักดินามาก่อน กล่อมให้ยอมเข้าสวามิภักดิ์เช่นไรก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เข้าตาจนแล้ว เป็นโอกาสดีที่จะกล่อมให้ยอมสวามิภักดิ์”

ซีเหมินฉิงคงถาม “สถานการณ์เป็นเช่นไร ท่านยังทราบไม่แน่ชัดก็จะรับเข้ามาแล้วหรือ?”

เสวียนเวยเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่อาจรอช้าได้ หากช้าไปเกรงว่าจะถูกคนอื่นชิงตัวไปก่อน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ล้วนลองหยั่งเชิงดูท่าทีเขาแล้วค่อยวางแผนอีกทีได้”

ซีเหมินฉิงคงถามต่อ “หากว่าหนิวโหย่วเต้าต้องการตามสังหารไม่เลิกราจริงๆ ล่ะ? ท่านจะขวางอย่างไร?”

เสวียนเวยพยักพเยิดหน้าออกไปนอกประตู สื่อถึงถังอี๋ที่เพิ่งจะออกไป “ไม่ใช่ว่าเพิ่งติดหนี้น้ำใจข้าไปหรือ? ในเมื่อเป็นเรื่องเร่งด่วน ก็ให้หนิวโหย่วเต้าใช้คืนเสียเดียวนี้เลย ตอนนี้จ้าวสยงเกอน่าจะยังจับตามองสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ หากเขาไม่กลัวเรื่องวุ่นวายก็ลองปฏิเสธดูสิ”

….

ภายในป่าไผ่ ตู๋กูจิ้งเร่งเดินเข้ามา เดินมาหยุดข้างกายอวี้ชางที่หลับตาทำสมาธิอยู่ “เซ่าผิงปอเก็บตัวอยู่ในเรือนรับรองไม่ยอมออกมา รอบกายมีคนของสามสำนักใหญ่เฝ้าคุ้มกัน พวกเราก็เข้าไปติดต่อไม่ได้ขอรับ”

อวี้ชางค่อยๆ ลืมตาขึ้น แค่นเสียงเอ่ย “เกี่ยวข้องกับรูปการณ์เมืองหลวงแคว้นฉีอันใดกัน อยากอาศัยช่องหลบหนีเท่านั้น พอใช้ประโยชน์เสร็จก็ต้องการเว้นระยะห่าง ไอ้คนทรามเนรคุณ…เจ้านี่มันร้ายกาจจริงๆ อยู่ในกำมือแล้วก็ยังลื่นหลุดไปได้ พวกเราถูกเขาหลอกซึ่งๆ หน้าแล้ว! แต่ในอีกแง่หนึ่ง หากเขาไม่มีความสามารถก็คงไม่เข้าตาข้า ”

ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “ข้าจะส่งคนไปติดต่ออีกครั้งขอรับ”

อวี้ชางกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องพัวพันอันใดต่ออีก หากเล่นกับคนเช่นนี้ต่อไปจะมีแต่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วย ให้คนเขียนจดหมายติดต่อเขาไป แสดงเจตนาไปตามตรง ขอคำตอบเพียงว่าเขาจะยอมจำนนหรือไม่ยอม!”

….

ภายในจวนอิงอ๋อง เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่มีสีหน้างดงามอ่อนโยนเดินเข้ามาที่ห้องหนังสือของเฮ่าเจิน

ภายในห้องหนังสือมีตั่งตั้งอยู่ตัวหนึ่ง เฮ่าเจินตะแคงกายอ่านตำราอยู่บนนั้น หากเป็นคนที่ไม่ทราบสถานการณ์เข้ามาเกรงว่าคงเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนเกียจคร้าน

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์นั่งลงริมตั่ง สองมือวางลงบนขาของเฮ่าเจิน ช่วยบีบนวดให้เขาเบาๆ เอ่ยถามเสียงอ่อนหวาน “ท่านอ๋องเรียกหาหม่อมฉันด้วยเรื่องใดหรือเพคะ?”

เฮ่าเจินไล้นิ้วไปตามขอบตำรา ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากหน้าหนังสือ ยื่นให้ด้วยท่าทางสบายๆ

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์รับไว้ด้วยสองมือ ถืออ่านดู

ข้อความที่อ่านพบบนกระดาษคือ ‘กระหม่อมทุ่มเทความคิดจิตใจไปกับมณฑลเป่ยโจว แม้การล้มเหลวในขั้นสุดท้ายยากจะทนรับไหว แต่ในเมื่อท่านอ๋องร้องขอมาทั้งที กระหม่อมก็จะระงับยับยั้งไว้ เรื่องเซ่าเติงอวิ๋น แซ่หนิวรับปากท่านอ๋องได้ว่าจะยอมจบลงเท่านี้! ทว่าเซ่าผิงปอคนนี้ ท่านอ๋องรู้จักดีเพียงใดพ่ะย่ะค่ะ? ท่านอ๋องอาจจะชมชอบในความสามารถ แต่กระหม่อมขอเอ่ยเตือนไว้ให้ชัดเจน เซ่าผิงปอใจคอโหดเหี้ยมดั่งอสรพิษ เรื่องทรยศต่อนายเก่าขอไม่กล่าวถึง แต่ลงมือสังหารแม่เลี้ยงและน้องชายโดยไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ โหดเหี้ยมอย่างยิ่ง! ครั้งนี้เพื่อให้เอาตัวรอดได้ทราบว่ามีอันตรายก็ไม่แจ้งต่อบิดา ใช้บิดาเป็นหนังหน้าไฟ ปล่อยให้บิดาตนตกอยู่ในอันตรายโดยไม่ไยดี หน้าเนื้อใจเสือ! หากท่านอ๋องทรงใช้งานคนอกตัญญูเนรคุณไร้คุณธรรม คนไม่เห็นหัวพ่อไม่เห็นหัวนายเช่นนี้ ทรงเคยนึกถึงความคิดของฝ่าบาทบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เดรัจฉานตนนี้ กระหม่อมรู้จักเป็นอย่างดี ใจคอโหดเหี้ยม ไร้เมตตาปรานี เป็นคนไม่รู้จักคุณคน จิตใจมักใหญ่ใฝ่สูง มองจากที่ปกครองมณฑลเป่ยโจวตั้งตนเป็นเอกเทศ หากท่านอ๋องรับตัวไว้จะต้องแว้งกัดแน่นอน! ที่เขาเข้าหาท่านอ๋องจะต้องคิดแสวงประโยชน์ใส่ตัวแน่ เพื่อให้การสนับสนุนน้องสาวของตนแล้ว องค์ชายทั้งสองของท่านอ๋องไม่มีทางรอดแน่! ชีวิตขององค์ชาย ท่านอ๋องทรงเป็นห่วงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ขอกล่าวไว้เพียงเท่านี้แล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนก่อน หากตัดสินใจเลือกเช่นนี้ แซ่หนิวก็จะยอมรามือเท่านี้ ไม่ผิดคำพูดแน่นอน….ขอแสดงความนับถือ หนิวโหย่วเต้า’

เนื้อความในจดหมาย เซ่าหลิ่วเอ๋อร์อ่านแล้วอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ

แต่สายตากลับจดจ้องนามลงท้ายจดหมาย คนผู้นี้ถึงแม้นางจะไม่เคยพบมาก่อน แต่กลับมิได้รู้สึกว่าแปลกหน้าเลย

ตอนลู่เซิ่งจงถูกจับ นางอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ซ้ำยังเคยต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกับลู่เซิ่งจงมาก่อน เรียกได้ว่าลู่เซิ่งจงสิ้นท่าด้วยน้ำมือนาง ดังนั้นจึงทราบดีว่าถานเย่าเสียนถูกคนที่หนิวโหย่วเต้าส่งมาหลอกใช้เข้าแล้ว

ไม่ว่าถานเย่าเสียนจะถูกคนอื่นหลอกใช้หรือไม่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางทราบชัดเจนคือถานเย่าเสียนคนนั้นไม่มีภูมิหลังอันใดเลย แต่มีความจริงใจต่อนางอย่างแน่แท้

สมบัติเลิศเลอหาง่าย แต่ชายคนรักแสนดีหายาก

ฉากที่ถานเย่าเสียนจากไปทั้งน้ำตาเพื่อจะปกป้องนางไว้ยังคงสลักลึกฝังใจนางเสมอมา ชายโง่งมคนนั้นแม้แต่ชีวิตตนยังปกป้องไม่ได้ แต่ก็ยังคงคิดแต่จะปกป้องนาง

ดังนั้น เมื่อทราบว่าเซ่าผิงปอสังหารชายคนรักของนาง นางจึงยากจะให้อภัยได้ แต่ยังมีอีกคนที่นางไม่อาจให้อภัยได้ นั่นก็คือตัวต้นเหตุอย่างหนิวโหย่วเต้า

“จดหมายฉบับนี้หนิวโหย่วเต้าแห่งหนานโจวในแคว้นเยี่ยนเป็นผู้เขียนขึ้นหรือเพคะ?” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ถามเสียงเบา

เฮ่าเจินที่คล้ายจะจมจ่อมอยู่กับตำราตอบอืมคำหนึ่ง ถามกลับว่า “คำวิจารณ์ในจดหมายที่กล่าวถึงพี่ชายเจ้า เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เงียบไปพักหนึ่ง “ท่านอ๋องทรงตัดสินด้วยพระองค์เองเถิดเพคะ”

เฮ่าเจินเอ่ยว่า “คำพูดของของคนนอกไหนเลยจะเชื่อได้ ข้าอยากฟังความเห็นจากเจ้า”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไตร่ตรองแล้วเอ่ยตอบไป “เป็นความจริงเพคะ!”

ดวงตาหลุบต่ำของเฮ่าเจินที่ซ่อนอยู่หลังตำราพลันเบิกกว้าง เบี่ยงตำราที่ขวางอยู่ออกไปด้านข้างเล็กน้อย จ้องมองนางด้วยสายตาวาวโรจน์ “เขาคือพี่ชายของเจ้า แต่กระทั่งเจ้าก็วิจารณ์เขาเช่นนี้หรือ?”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน ย่อตัวคำนับก่อนครั้งหนึ่งถึงเอ่ยตอบว่า “เนื้อความที่อ่านในจดหมาย หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ ท่านอ๋องทรงขอร้องแทนท่านพ่อและพี่ใหญ่ของหม่อมฉัน ท่านอ๋องทรงจัดการอย่างเงียบๆ ที่ท่านอ๋องทรงคำนึงถึงหม่อมฉันเช่นนี้ หม่อมฉันซาบซึ้งใจนัก หากยังปิดบังท่านอ๋องอย่างเห็นแก่ตัวอีกก็คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่มีหน้าจะพบท่านอ๋อง สิ่งที่ท่านอ๋องช่วยจัดการให้ยิ่งทำให้หม่อมฉันตระหนักถึงหลักเหตุผลข้อหนึ่ง ขอเพียงท่านอ๋องทรงอยู่ดี นั่นก็ย่อมเป็นการช่วยปกป้องตระกูลเซ่าด้วย พี่ใหญ่จิตใจลึกล้ำยากคาดเดา หม่อมฉันเองก็เกรงกลัวเช่นกัน แล้วก็ยิ่งกลัวว่าจะทำให้ท่านอ๋องเดือดร้อนไปด้วย หากจวนอ๋องเดือดร้อนขึ้นมา หม่อมฉันจะยืนอยู่ได้อย่างไร? หากท่านอ๋องทรงปลอดภัยดี นั่นถึงจะเป็นผลดีต่อหม่อมฉันด้วย แต่งกับผู้ใดย่อมต้องติดตามผู้นั้น ตอนนี้ท่านอ๋องคือรากฐานที่ช่วยค้ำจุนหม่อมฉันอยู่ หม่อมฉันจึงไม่กล้าปิดบังเรื่องนิสัยใจคอของพี่ใหญ่เพคะ” หยาดน้ำตาคลอหน่วยอยู่ภายในดวงตา สุ้มเสียงเจือแววสะอื้นขึ้นมา

น่าสงสารจับใจ! เฮ่าเจินโยนตำราทิ้งแล้วลุกขึ้นมา ประคองใบหน้านางไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าเห็นใจ “น้ำใจของพระชายา ข้ารับรู้แล้ว เป็นข้าเองที่ทำให้เจ้าลำบากใจ”

เซ่าหลิวเอ๋อร์ส่ายหน้าเล็กน้อย

เฮ่าเจินกล่าวว่า “เอาเช่นนี้เถอะ ในเมื่อเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ข้าก็ไม่มีทางทำให้เขาลำบากใจเช่นกัน เจ้าจงนำทรัพย์ส่วนหนึ่งไปมอบให้เถิด ให้เขาไปตามทางของตนเสีย ส่วนนับจากนี้ไป พี่ชายใจคอโหดเหี้ยมเช่นนี้ เจ้าก็อย่าไปพบอีกเลย เจ้าคิดเห็นเช่นใด?”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์พยักหน้าทั้งน้ำตา “หม่อมฉันเชื่อฟังท่านอ๋องเพคะ”

เฮ่าเจินช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง…

เมื่อเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ออกไปแล้ว มู่จิ่ว เชอปู้ฉือ เกาเจี้ยนโฮ่วและเซี่ยหลงเฟยทั้งสี่คนก็ทยอยเดินเข้ามา มองท่าทีของเฮ่าเจิน

เฮ่าเจินก้มหน้ามองจดหมายในมือ แรกเริ่มที่ได้อ่านจดหมาย ตัวเขาก็นึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่เรื่องความปลอดภัยของบุตรชายทั้งสองเลย เพียงประโยคที่ว่า ‘หากท่านอ๋องทรงใช้งานคนอกตัญญูเนรคุณไร้คุณธรรม คนไม่เห็นหัวพ่อไม่เห็นหัวนายเช่นนี้ ทรงเคยนึกถึงความคิดของฝ่าบาทบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?’ ก็เพียงพอจะทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนแล้ว

หากมิใช่เพราะการวิเคราะห์ในจดหมายของหนิวโหย่วเต้า เขาก็คงไม่ทราบจริงๆ ว่าเซ่าผิงปอใช้บิดาตนเป็นหนังหน้าไฟเพื่อเอาตัวรอด ทอดทิ้งบิดาให้ตกอยู่ในอันตราย คิดดูแล้วมันก็มีความเป็นไปได้เช่นนี้

ด้วยประโยคนั้นทำให้เขาไม่กล้าใช้งานเซ่าผิงปออีกต่อไป

ส่วนที่ให้เซ่าหลิ่วเอ๋อร์อ่านจดหมายก็เพราะอยากฟังว่าจะมีความเห็นอย่างไร อีกทั้งอยากฉวยโอกาสหยั่งเชิงจุดยืนของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ดูด้วย

“โชคดีที่หลังจากสอบถามไปก็ได้รับคำตอบกลับจากหนิวโหย่วเต้าเลย ทำให้ข้าตื่นรู้ทันท่วงที มิเช่นนั้นคงกระทบต่องานใหญ่ของข้าแน่นอน!” เฮ่าเจินเงยหน้าแล้วพรูลมหายใจออกมา

ทุกคนที่อยู่ในห้องประสานมือโค้งกายพร้อมกัน “เป็นพวกกระหม่อมที่เลอะเลือนไปพ่ะย่ะค่ะ!”

เฮ่าเจินโบกจดหมายในมือ “หนิวโหย่วเต้าก็นับว่าเป็นคนมีสัจจะคนหนึ่ง อย่างน้อยพอได้รับจดหมายจากข้าก็รักษาคำพูดไม่แตะต้องเซ่าเติงอวิ๋นอีก เขาเสียเวลาไปมากปานนั้นกว่าจะลงมือกับตระกูลเซ่าได้ ต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจไม่น้อยแน่นอน แต่พอเห็นจดหมายก็ยอมรามือ หากว่าทำเช่นนี้จริง ก็นับว่าข้าได้รับน้ำใจคืนแล้ว”

….

“พ่อบ้านเซ่า มีจดหมายถึงคุณชายเซ่า”

ที่หน้าประตูเรือน เจ้าหน้าที่เรือนรับรองนายหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ร้องเรียกคนในเรือน

เซ่าซานเส่งได้ยินก็โผล่ออกมา มารับจดหมายที่หน้าประตู พอเห็นจดหมายแต่กลับไม่เห็นคำจ่าหน้าซองก็สอบถามดู “ผู้ใดส่งมาหรือ?”

เจ้าหน้าที่ตอบว่า “ไม่คุ้นหน้าเลย ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่าผู้ใดส่งมา”

เซ่าซานเสิ่งล้วงเอาเหรียญเงินเหรียญหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อตกรางวัลให้ไป เจ้าหน้านี้ยิ้มร่าแล้วกล่าวขอบคุณ

เซ่าผิงปอเองก็ปรากฏตัวขึ้นใต้ชายคาเรือนเมื่อได้ยิน พอเซ่าซานเสิ่งเดินเข้ามาก็เอ่ยถาม “จดหมายจากผู้ใด?”

“ไม่ได้จ่าหน้าซองมาขอรับ” เซ่าซานเสิ่งว่าพลางแกะซองจดหมาย

เซ่าผิงปอหลับตาลง จากนั้นก็แค่นเสียงเอ่ย “มีโอกาสสูงว่าจะเกี่ยวข้องกับหอจันทร์กระจ่าง”

หลังจากเซ่าซานเสิ่งหยิบจดหมายออกมาอ่านก็เงยหน้าขึ้น ท่าทางพูดไม่ออก จากนั้นก็ตอบว่า “คุณชายใหญ่คาดการณ์แม่นดังเทพเซียน เป็นพวกเขาจริงๆ ขอรับ”

เซ่าผิงปอลืมตาขึ้นกล่าวไปว่า “ส่งจดหมายมาหาตรงๆ เช่นนี้ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้นอกจากพวกคนในองค์กรลับเช่นนั้นแล้วก็คงไม่มีใครอื่นอีก ไม่มีอันใดน่าแปลกใจ เกรงว่าคงไม่มีเจตนาดีแล้วกระมัง!”

“อยากได้ตัวคุณชายใหญ่ไปทำงานด้วยขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งเอ่ยแจ้งเสียงแผ่ว ชูจดหมายในมือยืนอยู่ตรงหน้าเซ่าผิงปอให้เขาได้อ่านดู

ในเมื่อทราบว่าหอจันทร์กระจ่างไร้เจตนาดี หากจดหมายฉบับนี้ยังไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดก็ไม่กล้าให้เซ่าผิงปอแตะต้องมัน ด้วยรู้ซึ้งดีว่าหอจันทร์กระจ่างมีลูกไม้ชั่วร้ายมากมายปานใด เป็นองค์กรที่สันทัดการลอบสังหาร บางครั้งก็ยากจะป้องกันได้จริงๆ

พออ่านเนื้อความในจดหมายแล้ว เซ่าผิงปอก็ค่อยๆ แสดงสีหน้าดูแคลนออกมา ไม่ให้ค่าเป็นอย่างยิ่ง

………………………………………………………………………………………………………..