ตอนที่ 156 ความโกรธของเฉียวเวย
พอมีดนี้เสียบลงไป ทุกคนพากันตะลึงงัน
จนกระทั่งความเจ็บที่มือแล่นขึ้นมา ศิษย์พี่หญิงรองไม่ได้ร้องออกมาสักนิดเดียว นางไม่มีวันคิดถึงว่า ตนที่เป็นถึงศิษย์ของสำนักอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า จะมีวันที่ถูกคนจนกดกับโต๊ะแล้ว “แทงมือ” กับเขาด้วย ความใจกล้าและพละกำลังของคนผู้นี้เหตุใดจึงมากเพียงนี้
ที่เมื่อครู่เฉียวเวยถูกนางเล่นงานเอาได้ นอกจากเพราะวรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงส่งมากจริงๆ แล้ว ยังเป็นเพราะเฉียวเวยไม่ทันระวังตัว นางจะทันได้คิดได้อย่างไรว่าคนที่เป็นถึงศิษย์แห่งสำนักที่ขาวสะอาดของยุทธภพ จะคิดเล็กคิดน้อยถึงขั้นกระทำการหยาบคายกับสตรีธรรมดาคนหนึ่ง ทำเช่นนี้ต่างอะไรกับการที่บุรุษทำร้ายสตรีกัน
แน่นอนว่า เฉียวเวยไม่ใช่สตรีธรรมดาในสายตาของศิษย์พี่หญิงรอง ยามนางโกรธขึ้นมาที ต่อให้เป็นศิษย์พี่หญิงรองก็เอานางไม่อยู่
ในที่สุดศิษย์พี่หญิงรองก็ตั้งสติกลับมาจากความตกใจอย่างแสนสาหัสได้เสียที นางกรีดร้องพลางพุ่งฝ่ามือเข้าใส่เฉียวเวย
เฉียวเวยเบี่ยงตัวหลบ ลมจากฝ่ามือของศิษย์พี่หญิงรองพุ่งถูกโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง โต๊ะจึงสะเทือนจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่า หากฝ่ามือนั้นกระแทกถูกตัวเฉียวเวย เฉียวเวยจะได้รับบาดเจ็บภายในมากมายเพียงใด
ศิษย์พี่สี่ไม่อยู่ ศิษย์พี่ห้าจึงเป็นคนที่มีคุณวุฒิสูงที่สุด เขาดึงมีดออกจากมือของศิษย์พี่หญิงรองอย่างเด็ดเดี่ยว มีดปักลงไปลึกมาก แทงทะลุทั้งฝ่ามือของศิษย์พี่หญิงรอง ชั่วขณะที่ดึงออกมานั้น ศิษย์พี่หญิงรองเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ
เลือดสดๆ ทะลักออกมาราวกับไม่ต้องเสียเงิน
เฉียวเวยเลือดออกมากเท่าไร นางยิ่งเลือดออกมากกว่านั้นไปอีก
ศิษย์พี่หญิงสามกับศิษย์พี่หญิงสี่รีบดึงนางไปกอดไว้ “ศิษย์พี่หญิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ศิษย์พี่หญิงรองถลึงตาดุดันใส่เฉียวเวย สายตาที่ประหนึ่งจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้ คล้ายกำลังจ้วงแทงเฉียวเวยจนกลายเป็นรูพรุน “ฆ่านางเสีย! ฆ่านางให้ข้า!”
ศิษย์พี่ห้ายกมือขึ้นอย่างเรียบเย็น ศิษย์น้องหญิงรีบกอดแขนเขาเอาไว้ “ศิษย์พี่ห้า! ท่านหยุดมือก่อน!”
หลี่อวี้เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงรีบออกไปจากตัวเรือ
พี่สี่เล่า
ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ พี่สี่ไปอยู่ไหนเสีย
เรือลำนี้เป็นเรือที่ท้องลึกมาก ภายนอกดูเหมือนเรือขนาดใหญ่ธรรมดาๆ แต่อันที่จริงท้องเรือทอดตัวต่ำลงข้างล่าง ทั้งยังมีห้องอยู่ใต้ท้องเรืออีกด้วย
จีหมิงซิวนั่งอยู่ในห้องใต้ท้องเรือ รู้สึกทรมานเล็กน้อย
ลูกชิ้นกุ้งบดสุดท้ายก็ยังทำให้เขาเกิดอาการแพ้อยู่ดี เขาแน่นหน้าอกหายใจได้สั้นๆ บนแขนปรากฏเป็นตุ่มสีแดงขึ้นยุบยับไปหมด
พอเรือไหวเอนไปตามลูกคลื่น ก็ทำให้เขารู้สึกเมาเรือเล็กน้อย
“พี่สี่! พี่สี่เจ้าอยู่ที่นี่เอง เหตุใดถึงไม่จุดตะเกียงเล่า” หลี่อวี้เปิด “พื้นเรือ” แล้วเดินตามขั้นบันไดลงมา
แสงสว่างสาดเข้าไปภายในท้องเรือ ส่องไปยังหน้ากากบนใบหน้าของจีหมิงซิว ดูเย็นเยียบยิ่งนัก
“มีเรื่องอะไร” จีหมิงซิวเอ่ยถามเรียบๆ
หลี่อวี้จับมือจีหมิงซิวไว้ “รีบขึ้นไปกับข้าเร็ว! เกิดเรื่องแล้ว!”
ตอนที่จีหมิงซิวกับหลี่อวี้กลับขึ้นไปบนตัวเรือนั้น ลูกศิษย์สำนักซู่ซินจงทั้งหมดกำลังล้อมเฉียวเวยอยู่ แต่ละคนสีหน้าดูดุดันทั้งสิ้น มีเพียงศิษย์น้องหญิง หลีเย่ว์ที่ขวางหน้าทุกคนไว้ “พวกเจ้าอย่าใจร้อนสิ มีอะไรก็พูดกันดีๆ ศิษย์พี่หญิงเป็นคนลงมือก่อน นางเองก็อยู่ในอารามโกรธ พวกเจ้าอย่าทำให้นางลำบากเช่นนี้”
ศิษย์พี่ห้าเอ่ยต่อว่าว่า “ศิษย์น้องหญิง เหตุใดเจ้าถึงไปช่วยพูดให้คนนอกสำนัก ศิษย์พี่หญิงรองต่างหากที่เป็นคนสำนักเดียวกับพวกเรา! เป็นแขกคนสำคัญของจวนเจ้า! แขกของเจ้าถูกแม่ครัวคนหนึ่งทำร้ายให้บาดเจ็บ เจ้าไม่ช่วยศิษย์พี่หญิงทวงคืนความยุติธรรม แต่กลับไปแก้ตัวให้แม่ครัวคนนี้น่ะหรือ”
ศิษย์น้องหญิงเอ่ยด้วยความลำบากใจ “ข้าไม่ได้แก้ตัวให้นางเสียหน่อย นางเป็นสหายของศิษย์พี่สี่ พวกเจ้าทำร้ายนาง ข้าก็ไม่รู้จะไปอธิบายกับศิษย์พี่สี่อย่างไร!”
ศิษย์พี่ห้าเอ่ยเสียงเย็นว่า “นางไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับศิษย์พี่ใหญ่เลยด้วยซ้ำ! เจ้าอย่าไปถูกนางหลอกได้!”
ศิษย์น้องหญิงร้อนใจจนกระทืบเท้า หันกลับไปเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “แม่นางเฉียว เจ้ารีบขอโทษศิษย์พี่หญิงของข้าเสียสิ เช่นนี้ข้าจะได้ขอความเห็นใจแทนเจ้าได้”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้ง หากเจ้าไม่เรียกข้าขึ้นเรือมา ข้าจะถูกคนพวกนี้ดูแคลนหรือ ข้าจะถูกศิษย์พี่หญิงของเจ้าทำร้ายหรือ จะว่าไป โทสะของศิษย์พี่หญิงเจ้าก็ช่างมาได้น่าประหลาดเหลือเกิน ไม่รู้ว่าตั้งใจหาเรื่องข้าหรือไม่”
ศิษย์น้องหญิงอึ้งไป “เจ้ากำลังสงสัย… ว่าข้ากับศิษย์พี่หญิงเตี๊ยมกันไว้แล้ว เจ้าคิดเช่นนี้ได้อย่างไร”
เฉียวเวยยิ้มเยาะ “หากข้าไม่คิดเช่นนี้ แล้วจะให้คิดอย่างไร ข้ากับศิษย์พี่ของเจ้ามีความสัมพันธ์กันเช่นไร เจ้ามองไม่ออกจริงๆ หรือ เวลาอยู่ต่อหน้าข้าเดี๋ยวเจ้าก็บอกว่าเจ้าจะแต่งงานกับเขา เดี๋ยวก็บอกว่าเจ้าคนเดียวที่คู่ควรกับเขา เจ้าอายุสิบห้าแล้ว ไม่ใช่เด็กห้าขวบ คำพูดทำร้ายน้ำใจกันเช่นนี้ บุตรสาวข้ายังพูดไม่เป็นด้วยซ้ำ!”
“ข้า…” ศิษย์น้องหญิงขอบตาแดงอย่างน่าสงสาร
“คนเขาใจดีช่วยพูดแก้ตัวให้เจ้า เจ้าตีความความหวังดีของนางเป็นความประสงค์ร้าย”
เสียงของจีหมิงซิวดังขึ้นที่หน้าประตู
เฉียวเวยหันกลับไป จึงได้เห็นสายตาเย็นยะเยือกที่ไร้ซึ่งความรู้สึก นางจึงเย็นวาบไปทั้งหัวใจ
“ถูกคนดูแคลน ถูกคนทำร้าย ยังสู้ประโยคนี้ของเจ้าไม่ได้เลย”
เมื่อเอ่ยด้วยความปวดใจเสร็จ เฉียวเวยก็กระแทกศิษย์ซู่ซินจงที่ขวางหน้านางอยู่ออกไป
ทุกคนคิดอยากจับตัวนางไว้ แต่พอตามไปถึงหน้าประตูกลับเจอกับสายตาดุดันของจีหมิงซิว ทุกคนจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่
เฉียวเวยถอดเสื้อตัวนอกของหลี่อวี้ออก ดึงปิ่นดอกอวี้หลันสีขาวจากศีรษะออกมาแล้วโยนทิ้งกับพื้นโดยแรง จากนั้นก็กระโดดลงทะเลสาบที่น้ำเย็นจัดไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ทุกอย่างพลันเงียบงัน
ทุกคนหันมองหน้ากัน แล้วก็พากันมองไปยังร่างที่ลายอยู่ในทะเลสาบอย่างพร้อมเพรียง
ศิษย์น้องหญิงเอ่ยพึมพำว่า “นางคงไม่ได้จะว่ายกลับไปหรอกนะ… ตั้ง ตั้งไกลเพียงนี้…”
หลี่อวี้เดินเข้าไปหาจีหมิงซิว มองอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี “พี่สี่…”
จีหมิงซิวไม่ได้พูดอะไร เดินไปตรงกาบเรือเงียบๆ ก้มลงหยิบปิ่นเล่มที่ถูกนางโยนทิ้งเอาไว้
หลี่อวี้ไม่รู้เรื่องระหว่างเฉียวเวยกับจีหมิงซิวสักนิด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้เห็นท่าทางเหม่อลอยของจีหมิงซิวขณะมองปิ่นปักผมเล่มนั้นแล้ว เขากลับรู้สึกว่า…
สิ่งนี้ไม่ใช่ปิ่นปักผม แต่เป็นหัวใจของพี่สี่
นางโยนหัวใจของพี่สี่ทิ้ง
นางไม่ต้องการพี่สี่แล้ว
“ตายจริง แย่แล้ว!” จู่ๆ ศิษย์น้องหญิงก็ร้องขึ้นมา
“มีอะไรหรือ ศิษย์น้องหญิง” หลี่อวี้ถาม
ศิษย์น้องหญิงเอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “ข้า..เมื่อครู่ข้าไม่ทันนึกได้ เมื่อวานข้าเพิ่งได้ยินท่านแม่บอกว่า… ชีพจรฮวงจุ้ยของจวนไท่ซืออยู่บนเกาะนั่น เกรงว่าจะมีใครไปที่เกาะเพื่อทำลายฮวงจุ้ยของจวนไท่ซือ ในทะเลสาบเลยเลี้ยง… เลี้ยง…”
“เลี้ยงอะไรเจ้ารีบพูดมาสิ!” หลี่อวี้เอ่ย
ศิษย์น้องหญิงก้มหน้า “ปลากินคน”