บทที่ 492 ชีวิตของเหล่าผู้มีสติปัญญาในที่เสื่อมโทรม

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 492 ชีวิตของเหล่าผู้มีสติปัญญาในที่เสื่อมโทรม

บทที่ 492 ชีวิตของเหล่าผู้มีสติปัญญาในที่เสื่อมโทรม

“เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? เผ่าพันธุ์ชาญฉลาดที่สุดกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย?”

ไป๋ชิวหรานแสร้งเผยสีหน้าประหลาดใจ ขณะนั้นเขาลอบคิดอยู่ในใจ

แม้สัตว์ร้ายที่อยู่ในห้องขังก่อนหน้านี้จะดูคล้ายกับสัตว์ประหลาด แต่พวกมันคล้ายกับมีคุณสมบัติบางอย่างที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ และสติปัญหาของพวกมันก็ดูจะสูงกว่าเดรัจฉานทั่วไปด้วย

เดิมทีไป๋ชิวหรานคิดว่านี่คือการทดลองพิเศษของมหาเทพหุ่นกลที่เอาไว้สำหรับค้นคว้า แต่หากสิ่งที่ชาวอารยธรรมหลันผีกล่าวเป็นความจริง ทั้งหมดก็นับว่าสมเหตุสมผล

แต่หากสัตว์ร้ายที่เขาเห็นมาก่อนหน้าคือชาวอารยธรรมหลันผีจริง ๆ แล้วสิ่งใดเล่าที่ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?

“ทั้งหมดคือกฎของมหาเทพหุ่นกล”

ราวกับอีกฝ่ายทราบถึงความคิดของไป๋ชิวหราน ชาวอารยธรรมหลันผีจึงกล่าวต่อ

“ในฐานะสิ่งมีชีวิตชาญฉลาด พวกเรามีความสามารถในความคิดสูงส่งกว่าสัตว์ร้ายอื่น พวกเราสามารถคิดค้น สร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ได้มากมาย และพวกเราก็เป็นสิ่งมีชีวิตด้วยเช่นกัน”

“สิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ถูกเลี้ยงมายาวยาวนาน และเมื่อวันเวลาผ่านไปก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง หากวันใดที่พวกเราหยุดคิด หรือไม่ออกกำลังกายเคลื่อนไหว ร่างกายทั้งหมดก็จะค่อย ๆ เสื่อมโทรมกลายเป็นหลงทางในชีวิตตนเอง สุดท้ายแล้วพวกเราก็จะกลายเป็นกลุ่มสัตว์ร้ายที่ไร้ซึ่งความคิด ในเวลานั้นเราจะสูญเสียทุกสิ่งให้กับมหาเทพหุ่นกล และจะถูกขับไล่ออกจากเมืองให้เข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร ก่อนจะกลายเป็นจุดล่างสุดของห่วงโซ่อาหารและตายตกไปในที่สุด”

“เหมือนที่เรียกขานว่า ‘การเกิดมาคือความทุกข์ การตายตกคือความสงบ’ งั้นหรือ?” ไป๋ชิวหรานพึมพำ

“เจ้าไปได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากที่ใด?”

ชายชราพยักหน้ารับ

“แต่มันก็สมเหตุสมผลไม่น้อย ดูสิ ทั้งหมดเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในกรง และสหายร่วมเผ่าของท่านก็ยังเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันอยู่ไม่ใช่หรือ?”

แน่นอนว่าไม่!

ไป๋ชิวหรานกล่าวในใจ

เช่นเดียวกับหมูที่ถูกกักขังไว้ในบ้าน กับหมูป่าที่อยู่ในป่า แม้ว่าลักษณะของมันจะคล้ายคลึงกัน แต่พวกมันอยู่คนละสายพันธุ์อย่างแน่นอน!

“เอาล่ะ! ข้าพูดทุกสิ่งหมดสิ้นแล้ว เจ้าสามารถออกไปได้ทันทีหากต้องการ และสามารถไปรายงานต่อมหาเทพหุ่นกลได้เสมอ”

ชายชราโบกมือ

“อย่างไรแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรจากการพูดกับกำแพง หลังจากพิธีบรรลุแล้ว คนรุ่นใหม่เช่นพวกเจ้าก็คงจะรู้จักเพียงมหาเทพหุ่นกลเท่านั้น”

“ข้ายังมีคำถามอื่นอีก!”

ไป๋ชิวหรานไตร่ตรองก่อนจะถามว่า

“แล้วท่านได้รับความรู้ทางประวัติศาสตร์เหล่านั้นมาจากไหนหรือ?”

ชายชราลากร่างกายของเขาไปที่เตียงตรงมุมห้องขังอย่างเงียบ ๆ

เมื่อเห็นว่าเขาไม่กล่าวอะไรต่อ ไป๋ชิวหรานหยุดชะงักไปชั่วคราว และไม่คิดจะรบกวนอีกฝ่าย

เสียงประกาศจากหุ่นเชิดจักรกลภายในห้องตรวจสอบดังขึ้น บางทีพวกเขาอาจจะเห็นว่าไป๋ชิวหรานหยุดอยู่หน้าห้องขังนี้นานเกิดไป จึงมีคำถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้นหรือไม่

ไป๋ชิวหรานลอบขำขันในใจ จากนั้นจึงปิดห้องขังแล้วจากไปพร้อมกับถังรั่วเวย

“ท่านอาจารย์!”

ขณะที่ทั้งสองกำลังควบคุมให้ร่างหุ่นเชิดจักรกลเดินไปตามเส้นทาง ถังรั่วเวยก็กล่าวขึ้นผ่านสัมผัสเทวะ

“ท่านคิดว่าเขากล่าวความจริงหรือไม่?”

“ส่วนใหญ่แล้วเป็นจริง… อย่างน้อยที่เขาเข้าใจอยู่ตอนนี้ก็เป็นความจริง!”

ไป๋ชิวหรานกล่าวตอบ

“เขาทราบทุกสิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ของตนเอง และรู้ดีว่าหลังจากที่เผ่าพันธุ์ของตนเองได้เข้าสู่พิธีบรรลุแล้ว พวกเขาจะถูกโซ่ตรวนผนึกความคิดให้มีความจงรักภักดีต่อมหาเทพหุ่นกลโดยสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงไม่โกหกเพื่อหลอกลวงเรา… เพราะรู้ดีว่าการโกหกไม่มีประโยชน์ใดกับชาวอารยธรรมหลันผีที่ถูกจัดการให้กลายเป็นหุ่นกล”

“หากเป็นเรื่องจริง จักรพรรดิเซียนซู่หัว… นี่คือสิ่งที่จักรพรรดิเซียนซู่หัวสร้างขึ้นหรือ!?”

“มันกลายเป็นสิ่งเลวร้าย หรือเขาไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์ของมันให้รอบคอบ ทุกสิ่งจึงผิดพลาดไปหมด”

ไป๋ชิวหรานตอบโดยไม่ต้องคิด

“หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาห้าหมื่นปีแล้ว และมันเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ เราจึงต้องค้นหาอีกครั้ง หลังจากเราได้พบกับเชลยแห่งแดนเซียนแล้ว เราค่อยกล่าวถึงเรื่องนี้ต่อ”

ไป๋ชิวหรานเลือกที่จะไม่พูดถึง และถังรั่วเวยก็ไม่ได้ถามอะไรอีก แต่หญิงสาวทราบดีแก่ใจว่าหลังจากที่อาจารย์ของตนทราบถึงสถานการณ์ของที่แห่งนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปล่อยมันผ่านไป

นี่ไม่ใช่แค่เพราะความเข้าใจ เมตตาในจิตใจของเขา แต่สิ่งที่สำคัญก็คือตราประทับที่ไป๋ชิวหรานผนึกไว้ในใจของตัวเขาเอง

เห็นได้ชัดว่าจิตวิญญาณของมหาเทพหุ่นกลในปัจจุบันนี้ขัดขวางความก้าวหน้าของสิ่งมีชีวิต และทำลายอารยธรรมนับไม่ถ้วนภายในโลกวัตถุ ดังนั้นแล้วสำหรับไป๋ชิวหราน สิ่งนี้คือศัตรูตัวฉกาจที่เขาต้องปราบปราม

  

เขตแดนจิตสำนึก ณ แนวหน้าของป้อมปราการแดนเซียน

เรือลำหนึ่งล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวเข้าสู่เมืองเซียนอันงดงามนี้อย่างเงียบเชียบ

มันร่อนลงจอดบนพื้นผิวของโลก ก่อนจะปรากฏเปลวเพลิงสีเงินพุ่งออกจากไอพ่นเครื่องยนต์ ความเร็วของยานค่อย ๆ ลดลงและหายไป จากนั้นพลันมีโคลนสีเงินไหลออกมาจากช่องว่างของยาน

ของเหลวจำนวนมากไหลไปบนพื้นผิวของเขตแดนจิตสำนึก และค่อย ๆ ควบแน่นกลายเป็นโคลนสีเงิน สัญลักษณ์สีทองขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนเรือเปล่งประกายลำแสงสีทองเจิดจ้า

หลังจากอักขระเหล่านั้นปรากฏขึ้น เรือเหาะทั้งหมดก็ทำลายตนเองด้วยเพลิงไร้ลักษณ์! ส่วนประกอบทั้งหมดกลายเป็นลำแสงสีทองระเบิดกระจัดกระจายออกไปทุกทิศทาง!!

โคลนสีเงินกระเพื่อมเล็กน้อย ปลดปล่อยจิตสัมผัสของตนเองและขยายออกไปในเมืองเซียนกว้างใหญ่ตรงหน้า

ในเวลานี้ ตาข่ายปกป้องเขตแดนจิตสำนึกถูกเปิดออก และประตูของเมืองเซียนก็ยังเปิดทิ้งไว้เช่นกัน เพราะเรือเหาะจากแดนเซียนขนาดใหญ่มากมายจะต้องผ่านประตูเหล่านี้ต่อเนื่อง ทั้งหมดคือเสบียงที่ถูกส่งมาจากท่าเรือของแดนเซียนกลาง!

หลังจากโคลนสีเงินพุ่งพล่านอยู่บนพื้นผิวของเขตแดนจิตสำนึก ทันใดนั้น มันหลอมรวมกลายเป็นเรือเล็กจิ๋วและพุ่งออกไปยังกองเรือของเมืองเซียน! มันค่อย ๆ หลอมตนเองเข้ากับเรือเหล่านั้นอย่างลับ ๆ แล้วแทรกซึมเข้าสู่ส่วนลึกของเรืออย่างแนบเนียน!

หลังจากที่พลังเดือดพล่านพุ่งออกมาจากอักขระใต้เรือใหญ่ มันแผดเผาวัสดุของเรือ ก่อนที่โคลนสีเงินจะแทรกเข้าแทนที่ไปตามพื้นผิวและในที่สุดมันก็แผ่ขยายกิ่งก้านไปจนถึงด้านฟ้าและพบเจอวัสดุมากมายนับไม่ถ้วน!

เมื่อเรือใหญ่เข้าสู่ท่าเรือแล้ว ของเหล่านั้นจะถูกขนออกจากเรือ และส่งไปยังโกดังเก็บของโดยเหล่าเซียนพร้อมสินค้าอื่น ๆ หลังจากที่คนในโกดังออกไปหมดสิ้น พวกมันกลายเป็นแมลงตัวน้อยบินออกไปทางหน้าต่าง และลอบร่อนลงบนหลังของเหล่าเซียน

พวกมันติดตามเหล่าเซียนมาจนถึงส่วนลึกด้านในสุดของป้อมปราการเมืองเซียน จนเข้าใกล้กับรอยแตกของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนกลายเป็นหยดน้ำใสหลบซ่อนตัวจากสัมผัสรับรู้ของเหล่าเซียนอย่างเงียบงัน ก่อนจะหลอมรวมร่างกายของตนฝังเข้าไปในกระบี่บินด้วยการแปรเปลี่ยนตนเองเป็นโลหะเบา

เมื่อเหล่าเซียนผ่านการตรวจสอบเพื่อเข้าสู่เมืองเซียนแล้ว ของเหลวที่เกาะติดอยู่ใช้ความสามารถในการปลอมแปลง ก่อนจะเจาะผ่านความทรงจำของคนผู้นั้นอย่างเงียบ ๆ จากนั้น… เมื่อเหล่าเซียนเข้าสู่ป้อมปราการอีกด้านของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ หลังสภาพแวดล้อมปลอดภัยไร้ผู้สัญจรแล้ว โคลนสีเงินก็จะสร้างความตกตะลึงให้กับเขา เพราะมันจะก่อตัวเองให้กลายเป็นคนผู้นั้นขึ้นมาอีกหนึ่งคน

จากนั้นมันจะผนึกเซียนผู้นั้นไว้ในรอยแตกของช่องว่าง ก่อนจะพาดกระบี่บินไว้บนหลัง และเดินตามกองยานของเมืองเซียนกลับสู่ใจกลางเมืองเซียนได้อย่างง่ายดาย!

หลังจากมาถึงใจกลางเมืองเซียนแล้ว พวกมันจึงเลียนแบบสิ่งที่เซียนเหล่านั้นเคยกระทำมาก่อน เจ้าหน้าที่เซียนระดับล่างถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นว่ามีตนเองอีกคนปรากฏขึ้น!! แต่มันก็สายไป เพราะได้มุ่งหน้าเข้าสู่ราชวังเซียนกลางไปเสียแล้ว!

ภายในป้อมปราการชั้นสูงของราชวังใจกลางเมืองเซียน… จักรพรรดิเซียนเล่อเจิ้นเทียนกำลังจัดการกับงานกองโต โคลนสีเงินที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นเซียนในชุดเต็มยศเดินเข้ามาทำความเคารพเขา และลอบสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ

ในที่สุดมันก็ได้พบเจอกับผู้ปกครองภายในเมืองยิ่งใหญ่แห่งนี้!!