ตอนที่ 364 เส้นทางที่แขกผู้ทรงเกียรติกลับชาติมาเกิด (2)
จากนั้น หัววัวก็เรียกเกวียนวัวแบบเปิดโล่งที่แสนสบายและให้หลี่ฉางโซ่วและจิ่วจิ่วนั่งบนนั้นโดยมีตัวเขาเองและหน้าม้าเคียงข้างพวกเขา
พวกเขายังสั่งให้มีคณะคุ้มกันอีกกลุ่ม และมุ่งหน้าไปยังเมืองเฟิงตูอย่างสบายๆ ไม่เร่งรีบ…
วัวแก่ที่ลากเกวียนไม่ใช่สัตว์วิญญาณธรรมดาเช่นกัน มันขับเกวียนออกไปในเมฆมืดดำและบินไปอย่างรวดเร็ว
หลี่ฉางโซ่วคิดว่ายมทูตเกี่ยววิญญาณน่าสนใจทีเดียว ในด้านลักษณะนิสัยแล้ว หัววัวจะหยาบคาย ส่วนหน้าม้าจะละเอียดพิถีพิถัน
หัววัวนั่งขัดสมาธิบนเกวียนวัว พูดคุยกับหลี่ฉางโซ่วอย่างกันเอง
หน้าม้าขยับเก้าอี้ไปนั่งที่ด้านหลังของเกวียนวัว และเตรียมผ้าห่มคลุมหน้าตักไว้สำหรับจิ่วจิ่ว ผู้ฝึกบำเพ็ญสตรีในชุดกระโปรงสั้น
เมื่อหัววัวหมดคำพูด หน้าม้าก็เริ่มพูดคุยอย่างอบอุ่นมั่นใจและอิสระ เขาพูดคุยกับหลี่ฉางโซ่วในเรื่องชีวิตและศิลปะ แม่น้ำและภูเขาอันยิ่งใหญ่ในแดนยมโลกเพื่อไม่ให้เงียบอย่างน่าอึดอัดใจ
จิ่วจิ่ว ซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังหลี่ฉางโซ่วอดจะพึมพำไม่ได้
“เสี่ยวฉางโซ่ว พวกเขาเป็นคนจากแดนยมโลกที่เจ้าพูดถึงว่าสนิทกันใช่หรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วนึกถึงผีสาวห้าร้อยคนและตอบว่า “ความสัมพันธ์ของเรานับว่าไม่เลวนัก พวกเขามีบางอย่างจะขอสหายอีกคนของข้า จึงพยายามเอาใจพวกเรา ความจริงแล้ว ทั้งสองคนนี้เป็นนักรบเผ่าเวทที่ติดตามต้าเต๋อโฮ่วถู่ พวกเขามีอำนาจและได้รับแต่งตั้งจากเต๋าสวรรค์ให้เป็นนักบวช พวกเขาควรค่าเป็นสหายขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จู่ ๆ จิ่วจิ่ว ก็มีสีหน้าดูซับซ้อน…เกินกว่าจะพรรณนาได้
ในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็ค้นพบว่า แม้หัววัวและหน้าม้าจะไม่มีตำแหน่งสูงนัก แต่สถานะของพวกเขาในเผ่าเวทนั้นน่าจะไม่ธรรมดาเลย…
เมื่อทั้งสองคนพาพวกเขาไปด้วยตัวเองพร้อมกัน การเดินทางก็ราบรื่น
เมื่อเข้าสู่เมืองเฟิงตูที่สง่างามและมืดมน บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็โค้งคำนับให้พวกเขาในขณะที่อดจะแอบมองดูพวกเขาไม่ได้
มนุษย์และปีศาจที่มาเมืองเฟิงตู เพื่อจัดการงานต่างๆ ทุกคนต่างก็จับสังเกตคนกลุ่มนี้อย่างสงสัยใคร่รู้
ในเวลานี้ บรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญผีและผู้ฝึกบำเพ็ญหยินจำนวนมากในเมืองเฟิงตูก็เผยท่าทีเคารพยำเกรงให้เห็นเช่นกัน
บางครั้ง พวกเขาก็เพียงต้องมีคือเกวียนวัวที่ดูน่าทึ่งเท่านั้น
ในขณะที่เกวียนโยกเยกไปมาเบา ๆ พวกเขาก็มาถึงพื้นที่ต้องห้ามของเมืองเฟิงตูในเขตใจกลางเมือง
หลังจากผ่านค่ายกลขนาดใหญ่ไปสองสามค่ายกล เขาก็เห็นลักษณะที่แท้จริงของสถานที่นี้
มีตำหนักใหญ่โอ่อ่าหลายสิบแห่งลอยอยู่ในอากาศ และระหว่างตำหนักก็เชื่อมต่อกันด้วยโซ่สีดำที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้ง พวกมันก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลหนึ่ง
ภายใต้ตำหนักทั้งสิบหลังในใจกลางเมืองเฟิงตูนี้ มีหลุมเป็นวงกลมลึกสุดหยั่งที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบลี้
มีเกาะอมตะอีกแห่งหนึ่งลอยอยู่เหนือหลุมกลมนั้น และมีแผ่นวงกลมขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มด้วยลำแสงดวงอาทิตย์
ด้านล่างของหลุมลึก เต็มไปด้วยหมอกโลหิต ดูเหมือนว่าจะมีหุบเหวไร้ที่สิ้นสุดอยู่ด้านล่าง และยังคงได้ยินเสียงวิญญาณกรีดร้องมากมายนับไม่ถ้วน…
ที่นี่คือ ตำหนักยมราช ดินแดนแห่งสังสารวัฏ และขุมนรกสิบแปดชั้น
มีร่างจำนวนมากบินอยู่รอบ ๆ ตำหนักยมราช และเหล่าทูตก็บินลงมาส่งดวงวิญญาณไปยังสถานที่ที่ควรไป…
หลี่ฉางโซ่วและคนอื่นๆ ไปที่ตำหนักยมราช ด้านบน พวกเขาไม่ได้ไปที่ห้องโถงหลัก แต่ไปซ่อนตัวอยู่ตรงมุมหนึ่ง…
สังสารวัฏยังต้องแบ่งออกเป็นขั้นตอนเช่นกัน มีหัววัวและหน้าม้าอยู่ที่นี่ และแน่นอนว่า สามารถลดขั้นตอนเหล่านี้ได้
หน้าม้าเชิญผู้พิพากษาแห่งแดนยมโลกมาทันที
ตำแหน่งเทพของผู้พิพากษาในแดนยมโลกนั้นสูงกว่าระดับของหัววัวและหน้าม้าเล็กน้อย แต่เมื่อได้พบหัววัวและหน้าม้าแล้ว เขาก็ยังค่อนข้างให้เกียรตินับถือ
หลี่ฉางโซ่วระบุตัวตนของเขาอย่างระมัดระวังว่าผู้พิพากษาคนนี้เคยเข้าร่วมพิธีเทพทะเลเมื่อก่อนหน้านี้…
หัววัวถูมือใหญ่ของเขา พลางยิ้มและถามว่า “ฉางโซ่ว แล้วอาจารย์ป้าอยู่ที่ใดหรือ? ”
“ที่นี่ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วหยิบขวดกระเบื้องออกมาและปล่อยวิญญาณของวิญญาณต้นไม้ออกมา วิญญาณต้นไม้ตัวน้อยขดตัวเป็นลูกทรงกลมในฝ่ามือของหลี่ฉางโซ่ว
ผู้พิพากษาหยิบพู่กันเหล็กและตำราโบราณออกมา นี่คือภาพฉายของสมบัติแห่งเต๋าสวรรค์ ตำราแห่งความเป็นตายและพู่กันของผู้พิพากษา ซึ่งใช้ได้เฉพาะเหล่าผู้พิพากษาทุกระดับในตำหนักยมราชเท่านั้น
ตามที่หลี่ฉางโซ่วเข้าใจ ตำราแห่งความเป็นตายและพู่กันของผู้พิพากษาเป็นชุดของ ‘ระบบ’ ไม่ใช่สมบัติธรรมดาสองอย่าง
ผู้พิพากษาใช้พู่กันเหล็กแตะดวงวิญญาณของวิญญาณต้นไม้เบาๆ และถ้อยคำบรรทัดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนตำราแห่งความเป็นตาย
จากนั้นผู้พิพากษาก็อธิบายอย่างอดทนว่า “ชาตินี้ไม่มีบาป ชาติที่แล้ว ได้สะสมบุญและทำความดี บุญยิ่งใหญ่กว่ากรรม ชาติหน้า ก็น่าจะได้เข้าสู่วิถีมนุษย์” แต่ชีวิตค่อนข้างวุ่นวาย เป็นหลุมเป็นบ่อ[1]เล็กน้อย
“เปลี่ยนส่วนนี้ได้หรือ?” หลี่ฉางโซ่วรีบถาม “หากพอทำได้”
“ได้ เช่นนั้น ข้าจะพยายามช่วยปรับชะตากรรมของนางให้อย่างเต็มที่”
จากนั้น ผู้พิพากษาก็พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอีกสองประโยค
แม้เขาจะไม่อาจเปลี่ยนถ้อยคำเขียนไปแล้วในตำราแห่งความเป็นตายได้ แต่ก็ยังสามารถเขียนประโยคต่อท้ายว่า “หากเผชิญเรื่องร้าย จะกลายเป็นดี และจะได้พบกับผู้มีคุณในภายหน้า” ซึ่งนั่น เทียบเท่ากับการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของนาง
หัววัวถามว่า “เรายังทำอะไรอื่นได้อีกหรือไม่? ต้องทำทุกอย่างให้อาจารย์ป้าทั้งหมด!”
“เรายังสามารถกำหนดได้ว่านางจะไปเกิดที่ใด” ผู้พิพากษายิ้มและกล่าวว่า “ถึงแม้จะต้องเสียบุญไปบ้าง แต่พวกเราทุกคนก็ไม่ใช่คนนอก และคนผู้นี้ก็หาได้ชั่วร้ายไม่ เรายังสามารถปรับเปลี่ยนบางอย่างได้เล็กน้อย”
“เช่นนั้นก็ทำเลย!” หัววัวโบกมือและผู้พิพากษาก็ใช้พู่กันเขียนทันที
แม้ว่าตามกฎแล้ว หลี่ฉางโซ่วและจิ่วจิ่วจะดูตำราแห่งความเป็นตายไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถเหลือบมองข้างๆ และเห็นบางอย่างโดยบังเอิญได้เป็นครั้งคราว…
ไม่ช้า ชุดคำสั่งสำเร็จรูปในการกลับชาติมาเกิดของอาจารย์ป้าก็เสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว
ผู้พิพากษายังชี้แจงว่า “ตำราแห่งความเป็นตายน่าจะมีประโยชน์ต่อมนุษย์เท่านั้น แต่หากมนุษย์เริ่มฝึกบำเพ็ญและเริ่มก้าวไปบนวิถีเซียน ตำราแห่งความเป็นตายก็จะทำให้กฎห้ามในตำราแห่งความเป็นตายอ่อนแอลงไปมากกว่าครึ่ง”
หลี่ฉางโซ่วขอบคุณผู้พิพากษาและมอบของกำนัลชิ้นใหญ่ที่เตรียมไว้ให้เขา ผู้พิพากษามองไปที่หัววัวและหน้าม้าแล้วเผยรอยยิ้มพร้อมกับรับมันมา
เมื่อได้ยืนยันชะตาชีวิตในชีวิตหน้าของดวงวิญญาณและได้รับการไปเกิดใหม่ในทันที หัววัวและหน้าม้าก็พาหลี่ฉางโซ่วและจิ่วจิ่วออกจากตำหนักยมราช
พวกเขาเบี่ยงไปทางด้านข้างทาง และขึ้นไปเกาะอมตะด้วยหลุมลึก
เกาะอมตะแห่งนี้พิเศษยิ่ง ทันทีที่เขามาถึงที่นี่ แสงและเงาต่อหน้าเขาก็เปลี่ยนไป และจักรวาลก็พลิกผันเข้าสู่ความโกลาหล ทิวทัศน์โดยรอบ ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นกัน…มีปฐมสหัสโลกธาตุ[2]ซ่อนอยู่ที่นี่!
มีแผ่นจานสีรุ้งสดใสขนาดมหึมาอยู่ที่ปลายสิ้นสุดของโลกใบเล็กแห่งนี้…
เหล่าทูตแห่งแดนยมโลกจำนวนมากกำลังยุ่งวุ่นวายไปทั่วทุกที่ พวกเขาพาวิญญาณที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ไปที่หอวั่งเซียง[3] ดูหินซานเซิง[4] จากนั้นไปที่สะพานไน่เหอ[5]เพื่อดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง[6] แล้วส่งพวกเข้าสู่สังสารวัฎ
นั่นคือ กระบวนการแห่งสังสารวัฎ
ยังมีวิญญาณแท้มากมายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่ในสถานที่ต่างๆ เช่น บางครั้งคราว หิ่งห้อยในราตรีแห่งคิมหันต์ ก็จะถูกแผ่นสังสารวัฏหกวิถีดึงดูด และล่องลอยไปหา…
นี่คือการกลับชาติมาเกิดของวิญญาณแท้ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากการกลับชาติมาเกิดของวิญญาณ
หัววัวและหน้าม้าพาพวกเขาสองคนกระโดดไปต่อแถวและเดินตรงไปยังหอวั่งเซียงที่ซึ่งผีกลุ่มหนึ่งรีบหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว
ส่วนใหญ่ของวิญญาณเหล่านั้น ล้วนมึนงงและไม่มีโอกาสจะแสดงความคิดเห็น ทันใดนั้น ก็มีลำแสงสีเหลืองอ่อนพุ่งมาจากหอวั่งเซียง แล้วห่อหุ้มวิญญาณของวิญญาณต้นไม้
ร่างของวิญญาณต้นไม้ค่อยๆ สลายไป แล้วกลายเป็นร่างเดิมของวิญญาณแท้ จากนั้นก็ก่อตัวขึ้นเป็นสตรีสาวงดงามในชุดกระโปรงหลัว[7]…
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยสับสน นางมองที่หอวั่งเซียง และเห็นเพียงต้นไม้เก่าแก่ที่กำลังจะเหี่ยวเฉาแล้ว
จากนั้น สตรีผู้นั้นก็ถูกลำแสงดึงมาแล้วบินไปที่หินซานเซิงข้างๆ นางยืนเงียบ ๆ บนหินซานเซิง ชั่วขณะหนึ่งและเห็นชีวิตก่อนหน้านี้ของนาง… ผ่านไปครู่หนึ่ง สตรีสาวก็มีน้ำตาคลอเบ้าและหันไปมองหลี่ฉางโซ่วและจิ่วจิ่ว
นางกระซิบเบา ๆ ว่า “ขอบใจ…ขอบใจมาก…”
“ศิษย์น้องจิ่ว ฉางโซ่ว…ขอบใจมาก…”
นางน่าจะได้เห็นหลี่ฉางโซ่วในชีวิตเมื่อเป็นวิญญาณต้นไม้และได้เรียนรู้ชื่อของหลี่ฉางโซ่ว
หลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับให้นางในขณะที่จิ่วจิ่วยิ้มให้ว่านเจียงอวี่ และแอบเช็ดหางตาของนาง
เป็นลมเข้าตาไม่ใช่ว่านางกำลังร้องไห้นะ
หัววัวและหน้าม้าก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกัน และกล่าวทักทายว่า “สายแล้ว รีบไปเกิดใหม่เร็วเข้าเถิด อย่าปล่อยให้ความตั้งใจและน้ำใจดีของสหายต้องเสียไป”
ว่านเจียงอวี่โค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่วอีกครั้งโดยมีหัววัวและหน้าม้าคอยคุ้มกัน ขนาบข้างซ้ายขวา และส่งนางไปยังสะพานไน่เหอ
เมื่อข้ามสะพานไน่เหอแล้วก็มาถึงยายเมิ่ง และยายเมิ่ง ก็ตักน้ำแกงให้นางหนึ่งชาม
ในยามนั้น หัววัวก็พึมพำในขณะที่ยายเมิ่งมือสั่น ทำให้น้ำแกงส่วนใหญ่ในมือของนางหกออกมาและตกลงไปในถังไม้ จึงทำได้เพียงปล่อยให้ว่านเจียงอวี่ดื่มน้ำแกงไปเพียงครึ่งเดียว…
เมื่อร่างของว่านเจียงอวี่ถูกลำแสงที่ปล่อยออกมาจากแผ่นสังสารวัฎหกวิถี นางก็หายไปอย่างรวดเร็ว และหลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกโล่งใจได้ในที่สุด
จากนี้ต่อไป เขาจะไปที่สถานที่เกิดใหม่ของอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่และจัดเตรียมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ไว้คอยปกป้องนาง…
หือ?
หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะไปมอง แล้วเห็นจิ่วจิ่วเอียงศีรษะ เอนกายพิงไหล่เขาเบา ๆ และถอนหายใจออกมาอย่างสะเทือนอารมณ์
…………………………………………
[1] อุปมาดั่งชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ต้องล้มลุกคลุกคลาน ระหกระเหิน มีดีมีร้าย ไม่ราบรื่น
[2] โลกขนาดเล็ก
[3] หรือหอทอดอดีตเป็นหอดินที่สูงอยู่ในแดนยมโลก ซึ่งเมื่อเดินข้ามสะพานไน่เหอไปก็จะพบหอวั่งเซียง เป็นสถานที่ที่วิญญาณที่จะไปเกิดใหม่ มองลงดูโลกครั้งสุดท้ายและชีวิตล่าสุดก่อนจะไปเกิดใหม่
[4] หรือที่รู้จักกันในนามหินสามชาติ เป็นหินอยู่ริมแม่น้ำวั่งชวนหรือที่รู้จักกันในนามแม่น้ำลืมเลือน ซึ่งหินซานเซิงจะบันทึกเรื่องราวในชาติก่อนและชาตินี้ของเรา
[5] สะพานไน่เหอจะอยู่เหนือแม่น้ำวั่งชวน เป็นเขตแดนในการเริ่มต้นกลับชาติมาเกิดใหม่
[6] เป็นน้ำต้มจากแม่น้ำวั่งชวน ดื่มแล้วจะทำให้ลืมทุกอย่างก่อนกลับชาติมาเกิดใหม่
[7] ชุดกระโปรงผ้าไหมบางๆ