บทที่ 484 สิ่งล่อใจของกู้เสี่ยวหวาน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 484 สิ่งล่อใจของกู้เสี่ยวหวาน

บทที่ 484 สิ่งล่อใจของกู้เสี่ยวหวาน

ฮูหยินสวีตื่นเต้น ดวงตาของนางจับจ้องไปกู้เสี่ยวหวานอย่างสื่อความหมาย แต่เมื่อครุ่นคิดอย่างรอบคอบ หากจะรอให้กู้เสี่ยวหวานโตขึ้น ก็ยังต้องใช้เวลาอีกสองสามปี ถึงเวลานั้นสวีเฉิงเจ๋อก็จะมีอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว

ในเมืองหลิวเจีย ชายหนุ่มวัยยี่สิบปีที่ยังไม่ได้แต่งงาน คนอื่นจะคิดอย่างไร

ฮูหยินสวีทั้งกังวลทั้งคาดหวัง สวีเฉิงเจ๋อโตขึ้นทุกวัน วัน ๆ ยุ่งแต่งานจนหัวหมุน แม้อยากพูดคุยกับเขาสองสามประโยคยังแทบจะหาเวลาไม่ได้ ถ้าสามารถสู่ขอลูกสะใภ้กลับมาได้เร็ววัน ภายในระยะเวลาสองปี ตนเองคงจะได้อุ้มหลาน แล้วในวันนี้…

ฮูหยินสวีตั้งหน้าตั้งตารอคอย และโหยหาลูกสะใภ้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้การแล้ว พรุ่งนี้นางจะต้องหาแม่สื่อที่ไว้ใจได้ มองหาว่าสาวใดในเมืองนี้ยังไร้คู่ครองอยู่บ้าง

แต่หากจะให้ดี ถ้ามีลูกสะใภ้อย่างกู้เสี่ยวหวานที่ตนทั้งรักและเอ็นดู นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

ฮูหยินสวีคิดกับตัวเอง ยิ่งมองก็ยิ่งคิดว่ากู้เสี่ยวหวานงดงามขึ้นเรื่อย ๆ หากแต่ในใจก็ยังมีความเสียใจ

เฮ้อ ถ้ารอให้โตกว่านี้อีกหน่อยก็คงจะไม่เป็นอะไร!

ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุข แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ

กู้เสี่ยวหวานนั่งถัดจากฮูหยินสวี ทั้งสองสนทนากันอย่างเบิกบาน และในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น นางก็พบว่าฮูหยินสวีมองตนเองราวกับตกอยู่ในภวังค์ ท่าทางประเดี๋ยวมีความสุข ประเดี๋ยวเสียใจ ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใด

“ฮูหยินสวี ท่านเป็นอะไรหรือ?” ครั้นเห็นฮูหยินไม่เอ่ยสิ่งใดมาเนิ่นนาน กู้เสี่ยวหวานจึงถามด้วยน้ำเสียงกังวลใจอย่างสุดซึ้ง

สติของฮูหยินฟื้นคืนมา พลันรู้สึกว่าตนเองยั้งสติไม่อยู่ หากแต่ย่อมเป็นเรื่องปกติเมื่อบุตรชายโตขึ้น ในฐานะผู้เป็นแม่จำเป็นต้องมองหาลูกสะใภ้ไว้ให้เขา

ฮูหยินสวีจับมือกู้เสี่ยวหวานด้วยความรัก และกล่าวด้วยความสงสาร “ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่คิดว่ามันน่าเสียดาย!”

“น่าเสียดาย?” กู้เสี่ยวหวานถามอย่างงงวย

“นั่นสินะ…” ขณะที่ฮูหยินสวีกำลังจะปริปาก สายตาพลันเหลือบเห็นว่าม่านถูกเปิดออก เมื่อกู้หนิงอันก้าวเข้ามาเห็นกู้เสี่ยวหวานก็ร้องตะโกนอย่างดีใจ “ท่านพี่…” จากนั้นก็มองไปที่ลูกสมุนของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือนั่งตัวตรงแด่ว “พี่ใหญ่ฉิน”

ฉินเย่จือพยักหน้าและส่งยิ้มให้เขา

หลังจากที่กู้หนิงอันทักทายฮูหยินสวี ก็วิ่งมาหยุดข้างกู้เสี่ยวหวาน ยื่นอยู่เงียบ ๆ ดวงตากลมโตสดใสเป็นประกาย

ฮูหยินสวีมองไปที่เด็กสองคน หัวใจพลันมีความสุขอย่างไร้เหตุผล “เสี่ยวหวาน ไปกินข้าวเย็นกันเถอะ!”

กู้เสี่ยวหวานรีบส่ายหัวปฏิเสธ “ฮูหยินสวี ข้าซาบซึ้งในความกรุณาของท่าน เพียงแต่ว่าที่บ้านยังมีเรื่องบางอย่างรอให้ข้ากลับไปจัดการ เกรงว่าหลังมื้อเย็นท้องฟ้าก็จะมืดสนิท ทำให้เดินทางลำบาก!”

ฮูหยินสวีไม่รู้เกี่ยวกับทักษะศิลปะการต่อสู้ของฉินเย่จือ หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว จึงกล่าวว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าจะไม่รั้งเจ้าเอาไว้แล้ว เดินทางกลางค่ำกลางคืนไม่ปลอดภัยนัก พวกเจ้าไปเถอะ ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่มืด รีบกลับบ้านเถอะ!”

สิ้นประโยคของฮูหยินสวี ก็หันไปสั่งสาวใช้สองสามประโยค สาวใช้คนนั้นก็พยักหน้าและวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ออกมาข้างนอก ฉินเย่จือก็เดินไปเตรียมเกวียน หลังจากขึ้นเกวียนวัวเรียบร้อย ครั้นกำลังจะบอกลาฮูหยินสวีก็เห็นว่านางกำลังถืออะไรบางอย่างอยู่ และส่งมันให้กู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร ดังนั้นจึงปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ฮูหยินสวี ข้ารับไว้ไม่ได้!”

นางไม่ถามว่าสิ่งใดอยู่นั้น กลับกันเมื่อมีคนมอบสิ่งของให้กลับไม่ต้องการมัน

ฮูหยินสวีเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานอย่างชมเชย “รับไม่ได้อะไรกัน! ข้าจะให้เจ้า! ของสิ่งนี้ไม่ได้มีราคาสูง เพียงแต่ไม่นานมานี้ อดีตลูกศิษย์ของอาจารย์เจ้ามาเยี่ยม เดิมทีคิดว่าเฉิงเจ๋อแต่งงานแล้ว และนำผ้าสีชมพูลูกท้อผืนนี้มามอบให้กับภรรยาของเฉิงเจ๋อด้วย เสิงเจ๋อผู้นี้นับอะไรกับลูกสะใภ้ แค่สู่ขอหญิงสาวกลับมายังทำให้ข้าไม่ได้เลย” ฮูหยินสวีกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ราวกับว่าโกรธเคืองสวีเฉิงเจ๋อ และรู้สึกว่าลูกชายของตนไม่ดีพอ

“ผ้าสีชมพูลูกท้อผืนนี้ไม่เหมาะกับข้า เจ้ารับเอาไว้เถอะ!” หลังจากพูดอย่างนั้น ฮูหยินสวีก็วางห่อผ่าลงบนเกวียนวัวโดยไม่รอให้กู้เสี่ยวหวานปฏิเสธ

แล้วขยับห่างออกไป

“ฮูหยินสวี ข้ารับผ้าผืนนี้เอาไว้ไม่ได้จริง ๆ ท่านเก็บไว้ให้คนที่ท่านอยากให้จริง ๆ เถิด!” หากฮูหยินสวีไม่บอกที่มาที่ไปของผ้าผืนนี้ นางอาจจะแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ทว่านางกลับพูดออกมาหมดเปลือก ผ้าสีชมพูลูกท้อผืนนี้ ลูกศิษย์ของสวีเซียนหลินนำมามอบให้กับภรรยาของสวีเฉิงเจ๋อ

นี่…กู้เสี่ยวหวานจะรับไว้ได้อย่างไร

กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าฮูหยินสวีหมายถึงอะไร ผ้าผืนนี้เต็มไปด้วยเรื่องราว เป็นได้หรือไม่ที่อีกฝ่ายจะนำผ้าผืนนี้มาทดสอบตนเอง?

แต่จะทดสอบนางเพื่ออะไร? นางเป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบขวบ!

กู้เสี่ยวหวานทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย นางกระโดดลงจากเกวียนเร็วรี่พร้อมกับหยิบห่อผ้าผืนนั้นขึ้นมาก้าวเข้าไปหาฮูหยินสวีอีกครั้ง และพูดอย่างเคร่งขรึม “ฮูหยินสวี ข้ารับสิ่งนี้ไม่ได้จริง ๆ ถ้ามันเป็นเพียงสิ่งของธรรมดา ข้าคงไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจของท่าน เพียงแต่ว่าผ้าผืนนี้…ยิ่งกว่านั้นสีชมพูลูกท้อนี้เหมาะกับสาวสูงวัยเท่านั้น ผิวของข้าคล้ำเล็กน้อย เกรงว่าใส่แล้วจะไม่น่ามอง และทำให้ความสวยของผ้าผืนนี้ลดลง” สิ้นประโยคของกู้เสี่ยวหวาน และก่อนที่ฮูหยินสวีจะได้พูดแย้ง กู้เสี่ยวหวานก็ดันสิ่งของกลับเข้าไปในอ้อมแขนของฮูหยินสวี แล้วขึ้นไปบนเกวียนวัวโดยไม่หันกลับมามอง

กู้เสี่ยวหวานไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก ฉินเย่จือส่งเสียง ตวัดแส้ และวัวก็กรีดร้องเดินออกไป

ฮูหยินสวีมองดูผ้าในมือของตน หัวใจก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย

ผ้าผืนนี้ไม่ได้มาจากลูกศิษย์ของสวีเซียนหลิน นางซื้อมันมาจากร้านหรูอี้เพื่อมอบให้กู้เสี่ยวหวาน อย่างไรก็ตามเพียงแต่ตนไม่มีข้ออ้างดี ๆ และเมื่อคิดถึงการตัดสินใจเลือกสะใภ้ของสวีเฉิงเจ๋อ ฮูหยินสวีก็คิดถึงเรื่องดังกล่าวได้โดยไม่ได้ตั้งใจ และต้องการทดสอบกู้เสี่ยวหวาน

ถ้ากู้เสี่ยวหวานอยู่ต่อ แสดงว่านางอาจจะสนใจเฉิงเจ๋อของตัวเอง

แต่ถ้านางไม่อยู่ก็แสดงว่ากู้เสี่ยวหวานไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย

ฮูหยินสวีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่หลังจากคิดดูแล้วก็คิดออกอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานปีนี้เพิ่งจะอายุเท่าไร? นางจะไปคิดเช่นนั้นได้อย่างไร หรือนางแค่รู้สึกว่ามันไม่ดีที่จะยอมรับของของคนอื่น

และนี่ไม่ใช่สิ่งที่ตนชอบมาตลอดเกี่ยวกับเด็กคนนี้ไม่ใช่หรือ?