ตอนที่ 497 พบสหายเก่าในเมืองหลวง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 497 พบสหายเก่าในเมืองหลวง

จู่ ๆ หมินอ๋องก็นึกถึงแกงเครื่องในแพะที่ ‘บุตรสาว’ ตุ๋นในวันนั้นขึ้นมา กลิ่นหอมเตะจมูก แม้แต่พระองค์ก็ยังอดน้ำลายไหลไม่ได้และก็อยากจะเข้าไปขอชิมใจแทบขาด นอกจากนี้ ‘บุตรสาว’ ยังบอกว่านางได้เรียนสูตรอาหารที่มีประโยชน์ในเชิงเป็นยามาจากหมอที่หมู่บ้านคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะบำรุงกระเพาะกับม้ามได้หรือเปล่า…

หลินเว่ยเว่ยที่โดนหมินอ๋องเข้าพระทัยผิดว่าเป็น ‘บุตรสาว’ ในเวลานี้กำลังตามคู่หมั้นออกมาเดินเล่นที่ร้านหนังสือ…ถ้าไม่มีหลินจื่อเหยียนตามมาด้วยก็คงดีกว่านี้ !

เจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนกำลังเลือกกระดาษและแท่งหมึก ส่วนหลินเว่ยเว่ยอยู่หน้าชั้นหนังสือ กำลังเพลิดเพลินอยู่กับหนังสือแปลกตาและหยิบขึ้นมาอ่านอย่างออกรส…แม้ตัวอักษรดั้งเดิมบางตัว นางจะจำไม่ค่อยได้สักเท่าไร แต่ก็เดาความหมายได้ จึงไม่ส่งผลต่อการอ่านของนาง

“ขนมในเมืองหลวงนี้ ข้ากินจนเบื่อจะตายอยู่แล้ว พี่ใหญ่ ท่านว่าเมื่อใดร้านหนิงจี้จะมาเปิดที่เมืองหลวงบ้าง ! ” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังเข้าหูของหลินเว่ยเว่ย เพราะอีกฝ่ายพูดถึง ‘ร้านหนิงจี้’ ทำเอาหลินเว่ยเว่ยอดให้ความสนใจไม่ได้…ร้านหนิงจี้ดังขนาดนี้เลยหรือ ? ดังมาไกลถึงเมืองหลวงแล้ว ?

ต่อจากนั้นเสียงอ่อนโยนของบุรุษคนหนึ่งก็ดังตามมา “ร้านหนิงจี้ไม่ใช่ร้านของข้าสักหน่อย แล้วเจ้าจะมาถามข้าทำไม ? ตั้งแต่กลับจากอำเภอเป่าชิง เจ้ากับหยูเฉิงก็เหมือนคนเสียสติ คนหนึ่งเอาแต่พูดถึงพี่หลิน ส่วนอีกคนก็เอาแต่นึกถึงภาพวาดของปราชญ์ชนบท…”

หืม ? พี่หลิน ? ปราชญ์ชนบท ? คงไม่ได้เป็นคนรู้จักหรอกกระมัง ? หลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ ขยับฝีเท้าและหันไปมอง…

ทันใดนั้นเอง เด็กสาวที่เบื่อกับการเล่นเครื่องทับกระดาษในร้านก็บังเอิญหันมาทางนางเข้าพอดี เด็กสาวตกตะลึงก่อนและพยายามขยี้ตาเพราะไม่อยากเชื่อในภาพตรงหน้า แล้วทันใดนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “พี่หลิน ! ”

หลินเว่ยเว่ยก็มองออกว่าเด็กสาวคือ ติงหลิงเอ๋อร์…นางก็รู้สึกว่าเหตุใดน้ำเสียงเมื่อครู่จึงฟังคุ้นหูเหลือเกิน ตอนที่ติงหลิงเอ๋อร์อยู่ในอำเภอเป่าชิงมักมาที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวบ่อยครั้ง แทบจะเห็นบ้านสกุลหลินเป็นบ้านหลังที่สองของตนอยู่แล้ว !

ตอนที่ติงหลิงเอ๋อร์ต้องกลับมายังเมืองหลวงในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ หลินเว่ยเว่ยก็ตามมายืนส่ง เด็กสาวคนนี้จับมือนางทั้งน้ำตาและเผยท่าทางอยากจะลักพาตัวนางกลับเมืองหลวงด้วยกัน พอกลับมาอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ทั้งสองก็ยังเขียนจดหมายถึงกันตลอด…หืม ? ดูเหมือนนางจะลืมส่งจดหมายแจ้งให้เด็กสาวทราบว่าพวกนางมาทำธุระที่เมืองหลวงไปเลย !

ติงหยูเจินนำตำราและพู่กันที่เลือกไปวางที่โต๊ะจ่ายเงินแล้วหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า พอได้ยินเสียงร้องของน้องสาว เขาก็กลอกตาใส่นางทันที…เอาอีกแล้ว !

“เจ้าอย่าเอาแต่พูดถึงพี่หลิน หยุดพูดชื่อพี่หลินได้แล้ว ! ต่อให้พูดบ่อยเพียงใด ตัวคนก็ไม่มาอยู่ตรงหน้าเจ้าหรอก ! ” หลังจากติงหยูเจินจ่ายเงินเสร็จก็หันกลับมามอง…น้องเล็กหายตัวไปแล้ว !

เด็กคนนี้หนีไปไหนอีกแล้ว ? คราวหน้าต่อให้น้องเล็กอ้อนวอนเพียงใด เขาก็ไม่มีทางพานางออกมาด้วย ! ติงหยูเจินเผยท่าทางว่ามีน้องสาวที่ชอบทรมานพี่ชายอยู่คนหนึ่ง มันช่างน่าเหนื่อยใจเหลือเกิน !

“พี่หลิน คาดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านที่นี่ ท่านมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใด ? ไม่เขียนจดหมายมาบอกข้าบ้าง ? เหตุใดมาถึงเมืองหลวงแล้วไม่มาหาข้าเลย…” ติงหลิงเอ๋อร์เป็นเหมือนนกน้อยที่กำลังมีความสุข นางชวนหลินเว่ยเว่ยสนทนาไม่หยุด ไม่เว้นช่องไฟให้คนอื่นได้พูดบ้าง

ติงหยูเจินเดินรอบชั้นหนังสือก็ไปเห็นเด็กสาวสองคนกำลังจับมือและสนทนากันอย่างสนุกสนาน คนหนึ่งคือน้องสาวของตน ส่วนอีกคนคือ ‘พี่หลิน’ ที่น้องสาวคิดถึงนักหนา

เจียงโม่หานค่อย ๆ เดินเข้ามา หลังทักทายด้วยการพยักหน้าให้ ทั้งสองคนแล้วก็ชวนคุยสองสามประโยค

หลังจากรอให้เด็กสาวหายตื่นเต้นแล้ว หลินเว่ยเว่ยถึงได้ตอบคำถามของนางทีละข้อ “บัณฑิตน้อยของบ้านข้าต้องมาสอบที่เมืองหลวง ข้าจึงมาเป็นเพื่อน พวกเราเพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นาน เดิมทีคิดว่ารอให้ปักหลักได้ดี ๆ ก่อน ค่อยไปหา…คาดไม่ถึงว่าเราจะมีวาสนาต่อกันขนาดนี้ แค่มาซื้อของที่ร้านหนังสือก็ได้เจอกันแล้ว”

“ใช่ ใช่ ! ข้ากับพี่หลินมีวาสนาต่อกันที่สุด ! นี่เรียกว่าพรหมลิขิตพันลี้ใช่หรือเปล่า ? ” ติงหลิงเอ๋อร์มีความสุขจนฉีกยิ้มยิงฟันตาหยี

เหมือนว่าติงหลิงเอ๋อร์จะคิดอะไรบางอย่างออก นางกลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง “พี่หลิน ท่านมาเมืองหลวงแล้ว ร้านหนิงจี้ก็มาเปิดสาขาที่เมืองหลวงด้วยหรือเปล่า ? ”

“ร้านหนิงจี้เป็นร้านที่ข้ากับหุ้นส่วนอีกคนเปิด ข้าคนเดียวตัดสินใจไม่ได้หรอก…” หลินเว่ยเว่ยรู้ตัวว่าไม่ใช่คนที่อีกฝ่ายคิดถึงมากที่สุด แต่เป็นขนมและของกินแปลกใหม่แสนอร่อยในร้านหนิงจี้ต่างหาก

ติงหลิงเอ๋อร์ยิ้มพลางเขย่าแขนนางไปมา “ฝีมือของพี่หลินดีขนาดนี้ ไม่เปิดร้านหนิงจี้ก็เปิดร้าน ‘หลินจี้’ เองได้ ! พอถึงเวลานั้นข้าจะต้องกลายเป็นลูกค้าขาประจำที่จงรักภักดีต่อท่านแน่นอน ทั้งยังจะแนะนำพี่น้องคนอื่นให้มาอุดหนุน ‘ร้านหลินจี้’ ของท่านด้วย”

เห็นไหมเล่า ! ยังบอกว่าไม่คิดถึงฝีมือนางได้หรือ ? หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า “ไม่ว่าร้าน ‘หนิงจี้’ หรือ ‘หลินจี้’ ก็ต้องรอให้บัณฑิตน้อยสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิเสร็จสิ้นก่อน จากนั้นถึงจะตัดสินใจได้…”

“จริงด้วย…” ติงหลิงเอ๋อร์เริ่มเศร้าทันที ถ้าคู่หมั้นของพี่หลินสอบจิ้นซื่อไม่ผ่าน พวกนางก็ต้องกลับบ้านเกิด และแม้จะสอบติดก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในเมืองหลวง !

หลินเว่ยเว่ยเห็นเด็กสาวมีสภาพเหมือนลูกสุนัขทำกระดูกหาย จึงรีบปลอบว่า “แม้จะไม่เปิดร้าน ‘หลินจี้’ แต่เจ้าอยากกินขนมอะไรและขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าก็จะทำให้เจ้ากิน ! ”

“จริงด้วย จริงด้วย ! ” เด็กสาวกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง “ไม่ว่าพี่หลินทำอะไร ข้าก็ชอบกินหมด ! ! ”

“เชิญชวนไม่สู้การบังเอิญมาพบกัน อีกประเดี๋ยวถ้าน้องหลิงเอ๋อร์ไม่มีอะไรต้องทำก็กลับไปที่บ้านเช่าพร้อมกันสิ ข้าจะทำของอร่อยให้เจ้ากิน ! ” หลังมาถึงเมืองหลวงแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ไม่ได้ลงมือทำขนมอย่างจริงจังเลยสักครั้ง ด้านหนึ่งเป็นเพราะไม่มีเตาอบ มีข้อจำกัดมากมาย และอีกด้านหนึ่งคือโดนเรื่องของหมินอ๋องส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ

ช่วงสองวันมานี้ ทางฝั่งหมินอ๋องไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เลย น่าจะไม่คิดเอาความกับเด็กสาวชาวป่าชาวเขาตัวเล็ก ๆ อย่างนางกระมัง ? ต้องทำของอร่อยสักหน่อยเพื่อให้รางวัลแก่กระเพาะตนเอง

“ดีเลย ดีสุด ๆ ไปเลย ! ข้ามาเป็นเพื่อนพี่ใหญ่ซื้อตำราสองสามเล่ม ต่อจากนี้ไม่มีอะไรให้ทำแล้วจึงมีเวลาไปนั่งเล่นที่บ้านพี่หลินพอดี” ติงหลิงเอ๋อร์ขานรับอย่างมีความสุข

มุมปากของติงหยูเจินกระตุกสองสามครั้ง ใครมาเป็นเพื่อนใครกันแน่ ? เป็นใครที่อ้อนวอนขอให้เขาซึ่งกำลังอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือพานางออกจากบ้าน ? เป็นใครที่เขากำลังเลือกตำราอยู่เมื่อครู่แล้วกระตุ้นให้เขาเลือกเร็ว ๆ หน่อยเพื่อจะได้ไปเป็นเพื่อนนางเลือกเครื่องประดับ ? เป็นใครที่บอกว่าตัวเองจะเลือกเครื่องประดับและเสื้อผ้าสองสามชุด พอถึงงานฉลองดอกเบญจมาศก็จะทำให้เด็กสาวที่นางไม่ชอบหน้าต้องพ่ายแพ้ ? ในเวลานี้กลับบอกว่าว่าง เฮอะ เฮอะ ! สตรีนางนี้ ฉายาของเจ้าคือ ‘ฉลาดพลิกลิ้น’ !

เด็กสาวทั้งสองเดินจับมือกันออกจากร้านหนังสือพลางปรึกษากันอย่างมีความสุขว่าจะทำขนมอะไร จนลืมว่ามีพี่ชายคนนี้อยู่และทอดทิ้งคู่หมั้นกับน้องชายไปอย่างสิ้นเชิง บุรุษสามคนที่โดนทอดทิ้งก็หันมามองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาต้องเดินตามไปอย่างยอมรับชะตากรรม

หลินเว่ยเว่ยพูดว่า “พวกเราเพิ่งหาบ้านเช่าได้เอง ยังไม่ทันสร้างเตาอบ ได้แค่ทำแบบนึ่งเท่านั้น ถ้าอย่างไร…เราทำเค้กพุทราแดงกันดีหรือเปล่า ! ”

“อื้อ พี่หลินตัดสินใจได้เลย” ทันใดนั้นติงหลิงเอ๋อร์ก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วถามว่า “พี่หลิน ท่านมีขนมที่เหมาะกับคนสูงอายุบ้างหรือเปล่า ? ข้าอยากเรียนทำให้ท่านย่ากิน ! ”

ติงหลิงเอ๋อร์เติบโตมาข้างกายท่านย่า นางจึงรักท่านย่ามากเหลือเกิน บัดนี้ท่านย่ามีอายุมากแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งล้มป่วย ช่วงนี้กระเพาะอาหารยังไม่ค่อยดีอีก นางจึงอยากทำขนมให้ท่านย่าเองกับมือ เพื่อให้ท่านได้เจริญอาหารขึ้นอีกหน่อย