บทที่450 ข้ายังอยากเห็นเจ้าเก็บศพให้ไท่จื่ออยู่

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่450 ข้ายังอยากเห็นเจ้าเก็บศพให้ไท่จื่ออยู่

“หากเจ้าไม่อยากได้ข้าก็บังคับ!” หยุนถิงตะคอกอย่างเย็นชา

“อย่าเลย หายากนักที่คนขี้เหนียวเช่นเจ้าจะยอมให้เงินเยอะขนาดนี้ ข้าไม่ขอเกรงใจแล้ว!” ฟู่อี้เฉินเก็บตั๋วเงินนั้นเข้าในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง

ครั้งที่แล้วตอนงานเลี้ยงวันเกิดของแม่ทัพเฒ่าฟู่ เขาแพ้หยุนถิงไปเยอะมาก น่าอายยิ่งนัก ตอนนี้เป็นเรื่องยากที่จะชนะเงินของหยุนถิง ฟู่อี้เฉินก็ต้องดีใจอยู่แล้ว

แม้หยุนถิงจะบอกว่าแต่ละคนสามารถเข้าร่วมได้เพียงรอบเดียว แต่ฟู่อี้เฉินก็ยอมไม่ได้อยู่แล้ว จึงจงใจให้คนรับใช้หลายสิบคน ผลัดกันเอาไก่ไปเข้าร่วมการแข่งขัน

ไม่รู้ว่าวันนี้หยุนถิงเหยียบขี้หมาหรือเปล่า กลับแพ้มาหลายรอบติดต่อกัน ตั๋วเงินที่ให้ออกไปมีถึงร้อยตำลึง หมื่นตำลึงเลยทีเดียว

ฟู่อี้เฉินกำลังนับตั๋วเงินอย่างดีใจ “วันนี้ข้ารวยแล้ว ดีมากเลย!” ทันใดนั้นก็มีคนเตะเขาอย่างแรงจากด้านหลัง

“อ๊าก!” ฟู่อี้เฉินร้องลั่น และล้มลงกับพื้น

“ให้ตายเถอะ ไอ้สารเลวคนไหนกล้าเตะก้นของข้า!” ฟู่อี้เฉินแยกเขี้ยวยิงฟันสาปแช่งด้วยความเจ็บปวด หันหลังไปมองข้างหลัง

หยุนถิงยื่นมองเขา “เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าโกงต่อหน้าข้า!”

ฟู่อี้เฉินเดิมทีที่โกรธยิ่งนัก ก็รู้สึกอายอย่างมากในทันที “หยุนถิง นี่เจ้าพูดอะไรกัน เหตุใดข้าถึงไม่เข้าใจ?”

“กล้าโกงยังไม่กล้ายอมรับ หลงเอ้อตีเขาแรงๆเลย!”

ในความเป็นจริงหยุนถิงไม่ได้สนใจตั๋วเงินเหล่านั้น แต่โกรธที่ฟู่อี้เฉินอวดฉลาด จึงใช้ฟู่อี้เฉินเชือดไก่ให้ลิงดู

“ขอรับ!”

หลงเอ้อต่อยและเตะอย่างไร้ความปรานี เจ็บจนฟู่อี้เฉินร้องด้วยความเจ็บปวด ทำเอาทุกคนกลัวไปหมด และรีบถอยหลัง

หยุนถิงเห็นฟู่อี้เฉินถูกตีจนหน้าบวมเหมือนหัวหมู จึงค่อยบอกให้หลงเอ้อหยุด “ข้าเกลียดการโกงที่สุด ฟู่อี้เฉินหากต่อไปเจ้ายังทำแบบนี้อีก ข้าเห็นเจ้าครั้งหนึ่งก็ตีเจ้าครั้งหนึ่ง!”

“หยุนถิงไอ้บ้าเอ๊ย ข้าจะไม่สามารถประนีประนอมกับเจ้าได้โดยเด็ดขาด สักวันหนึ่งข้าจะให้เจ้าได้เจอดีแน่!” ฟู่อี้เฉินพูดอย่างโกรธเคือง

“ได้ ข้ารอไว้!” หยุนถิงกล่าวจากนั้นหันหลังและจากไป

คนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันไป และข่าวที่หยุนถิงตีฟู่ซื่อจื่อนั้นก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วในทันที เพียงไม่นาน คนทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้กันหมดแล้ว

ระหว่างทางกลับ หลงเอ้อถามด้วยความงงงวยเล็กน้อย “ซื่อจื่อเฟย วันนี้ข้าลงมือหนักไปหน่อยหรือเปล่า?”

“ช่วงนี้ข้าได้ใจคนมากเกินไป สำหรับซื่อจื่อ ข้า และฝ่าบาทและต่างก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรกัน ในเมื่อวันนี้ฟู่อี้เฉินมาเจอกับข้าพอดี แน่นอนว่าก็ต้องใช้เขากู้ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่ดื้อด้านและหยิ่งยโสของข้าคืน!” หยุนถิงตอบ

“อย่างงี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้งข้าน้อยไปต่อยเขาสักสองสามหมักดีหรือไม่?” หลงเอ้อถาม

“ไม่ต้อง ฟู่อี้เฉินคนเดียวไม่พออยู่แล้ว ต้องคิดถึงวิธีอื่นดู”

ดังนั้นหยุนถิงจึงพาหลงเอ้อไปที่ที่เล่นการพนัน และต่อยคุณชายของหานเฉิงเซี่ยง จากนั้นก็ไปที่ร้านสุรา จากนั้นก็พบกับองค์หญิงเจ็ดที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายพอดี แค้นเก่าแค้นใหม่ หยุนถิงสั่งสอนนางจนเหลือเพียงเสื้อตัวเดียว ทำเอาองค์หญิงเจ็ดเสียหน้าและสาบานว่าจะหั่นหยุนถิงให้เป็นชิ้นๆ

เมื่อฝ่าบาทในพระราชวังได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกประหลาด นัยน์ตาเย็นยะเยือก

“ฝ่าบาท เหตุใดจู่ๆคุณหนูหยุนถึงได้กำเริบเสิบสานและโอหังอวดดีเยี่ยงนี้ นี่ไม่เหมือนการกระทำของนางเลย?” ซูกงกงถามด้วยความสับสน

“ไม่เหมือนการกระทำของนาง เจ้ารู้จักนางดีมากหรือ?” ฝ่าบาทถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

คำเดียว ทำเอาซูกงกงตกใจแทบตาย คุกเข่าลงกับพื้น “ฝ่าบาทโปรดยกโทษให้บ่าวด้วย เป็นบ่าวที่พูดพลั้งปากไปเอง บ่าวงี่เง่า ฝ่าบาทได้โปรดลงโทษบ่าวด้วย!”

“ดูเจ้าสิ ขี้ขลาดเยี่ยงนี้ หากเจ้ามีสมองหนึ่งในสิบของหยุนถิง ข้าก็สามารถพึ่งพาได้ ไม่จำเป็นต้องหนักใจเช่นนี้!” ฝ่าบาทกลอกตาใส่เขา

ฉลาดดั่งฝ่าบาท จะมองความคิดของหยุนถิงไม่ออกได้อย่างไร นางทำให้คนอื่นเกลียด และสร้างศัตรูเช่นนี้ เพียงแค่ไม่อยากอำนาจสูงกลบนายได้ใจคนเท่านั้น

ในเมื่อนางกระทำเหมาะกับกาลเทศะมากเช่นนี้ แน่นอนว่าฝ่าบาทเองก็ไว้ใจอยู่แล้ว

……………..

แคว้นชางเยว่

หยางเฟยสวมชุดหรูหราของพระราชวัง และนำกลุ่มนางกำนัลและมามาตรงไปที่ห้องนอนของหมิงเฟย

เมื่อมองดูหมิงเฟยที่หน้าซีดขาว และอ่อนแออย่างมากบนเตียง ห้องทั้งห้องก็มีบรรยากาศที่ตึงเครียด ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดใจและน่าเบื่อ

ดวงตาแสนสวยของหยางเฟยเต็มไปด้วยความได้ใจและดูถูกเหยียดหยาม แต่ใบหน้าก็แสร้งทำเป็นกังวล

“พี่หมิงเฟย ทำไมสุขภาพของเจ้ายังไม่ดีขึ้น ชีวิตตัวประกันสิบปีของไท่จื่อหมดลงแล้ว ว่ากันว่าจักรพรรดิแห่งแคว้นต้าเยียนได้สั่งให้คนส่งไท่จื่อกลับมาแล้ว พี่ต้องดีขึ้นเร็วๆนะ! ”

หมิงเฟยรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดใบหน้าที่ซีดขาวก็มีรอยยิ้มขึ้น เนื่องจากตื่นเต้นเกินไป จึงไออย่างรุนแรง

“เหนียงเหนียง ท่านรีบดื่มยา!” สาวรับใช้น้อยที่อยู่ข้างๆ รีบนำยามาให้ทันที

หมิงเฟยเอื้อมมือไปรับ และดื่มอึกใหญ่ “ใช่ ข้าต้องรีบหายดี ไม่ช้าเย่เอ๋อร์ก็จะกลับมาแล้ว ข้าจะให้เขาเห็นข้าในสภาพเช่นนี้ไม่ได้”

มุมปากของหยางเฟยโค้งเย้ยหยัน และโน้มตัวเข้าไปใกล้หมิงเฟย “พี่หมิงเฟย ข้าคาดหวังเวลาที่พวกเจ้าสองแม่ลูกได้พบกันยิ่งนัก มันจะทำให้คนซาบซึ้งเพียงใด เพียงแต่ว่าข้าได้ยินมาว่า ที่แคว้นต้าเยียนส่งกลับมานั้นเป็นชางหลันเย่จริง แต่ไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นศพ!”

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ชามยาในมือของหมิงเฟยก็ร่วงลงกับพื้น

“เจ้า เจ้าพูดอะไรนะ เจ้าพูดอีกรอบ?” หมิงเฟยเบิกตากว้างด้วยความไม่น่าเชื่อ

“ข้าบอกว่า ลูกชายที่เจ้ารอคอยมานานถึงสิบปีนั้นได้ตายไปแล้ว ที่แคว้นต้าเยียนส่งกลับมานั้นเป็นศพหนึ่งศพ ศพของชางหลันเย่ พี่หมิงเฟยเจ้าคงปวดใจ ผิดหวัง และเสียใจมากสินะ

สิบปี เจ้าตั้งหน้าตั้งตารอมาสิบปี และจะได้พบกับลูกชายเร็วๆ นี้ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นศพหนึ่งศพ โชคชะตาช่างกลั่นแกล้งคนจริงๆเลย ข้าเห็นอกเห็นใจเจ้ายิ่งนัก! เสียงแหลมและบาดหูของหยางเฟยดังก้องไปทั่วห้องโถง

สีหน้าของหมิงเฟยซีดขาว “ไม่ ไม่ใช่เรื่องจริง ต้องเป็นเจ้าพูดจาเหลวไหลแน่ๆ?”

“เชอะ หากพี่ไม่เชื่อ ก็รอเก็บศพให้ไท่จื่อเถอะ นับดูเวลาแล้วศพคงจะถูกส่งกลับมาภายในห้า หกวันนี่แล้ว ข้าตั้งตารอช่วงเวลานี้มากจริงๆเลย!” หยางเฟยหัวเราะเยาะเย้ย

หมิงเฟยมองดูท่าทางที่ได้ใจเช่นนั้นของนาง จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บหน้าอกยิ่งนัก โกรธจนเป็นลม เลือดออกมาเต็มปาก ในทันที

“เหนียงเหนียง เหนียงเหนียงท่านเป็นอย่างไรบ้าง เด็กๆ !” เยว่ลิ่งสาวรับใช้ตะโกนอย่างเป็นห่วง

“เด็กๆ หมิงเฟยไม่สบายและเป็นลมไป รีบไปเชิญหมอหลวงมาเร็ว หมิงเฟยต้องรักษาร่างกายไว้ให้ดี ไม่งั้นใครจะเก็บศพให้ไท่จื่อ ฮ่าฮ่าฮ่า!” หยางเฟยจากไปพร้อมกับเย้ยหยัน

สาวรับใช้ที่ประตูรีบไปเชิญหมอหลวงทันที ในห้องโถงใหญ่เหลือเพียงหมิงเฟยที่เป็นลมไปกับเยว่ลิ่ง

เยว่ลิ่งหายจากความตื่นตระหนกและกังวล เมื่อเห็นว่าหยางเฟยและคนอื่นๆ จากไป จึงรีบเอาขวดยาออกมาจากอกทันที เทยาเม็ดหนึ่งออกมาแล้วป้อนให้หมิงเฟย

ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้านายอยู่ที่ใด นับเวลาดูแล้วก็ใกล้ถึงแล้ว

ขณะที่เยว่ลิ่งกำลังคิด ทันใดนั้นก็มีเหงาหนึ่งแวบเข้ามาในห้อง เยว่ลิ่งปกป้องอยู่ตรงหน้าของหมิงเฟยโดยสัญชาตญาณ และเมื่อนางเห็นผู้ที่มาอย่างชัดเจน เยว่ลิ่งก็ดีใจยิ่งนัก และรีบทำความเคารพทันที

“เยว่ลิ่งคำนับเจ้านาย!”

“ลุกขึ้นเถอะ แม่ของข้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ชางหลันเย่ถามอย่างเย็นชา