บทที่ 540 คนรู้จักเก่า

หลังจากที่องค์หญิงจิ้งชูสาปแช่งจินเซ่อแล้ว นางจึงได้คุยกับถังหลี่ถึงเรื่องราวในในวังหลัง เป็นเรื่องซุบซิบทั่วไป ว่าบุตรสาวของใครเข้าวัง นางบำเรอของวังไหนไม่ถูกกันบ้าง ต่อสู้แบบลับหรือเปิดเผยอย่างไร? ถังหลี่ถามถึงไทเฮาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ข้าไม่สนิทกับเสด็จย่า ข้าเคยพบกับนางไม่กี่ครั้ง”

องค์หญิงจิ้งชูตอบ

เมื่อตอนที่นางเป็นเด็ก นางได้บังเอิญเข้าไปในตำหนักพุทธาวาสของไทเฮา เสด็จย่าเป็นหญิงชราที่ใจดี ชอบกอดนางและเอาใจนางให้ขนมอร่อยๆ แก่นางเสมอ แต่เสด็จพ่อไม่ชอบให้นางไปหาท่านย่า นางจึงไม่ค่อยได้ไปบ่อยนัก แม้จะเป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ แต่นางก็รู้ดีว่าห้ามทำในสิ่งที่เสด็จพ่อไม่โปรด พระพี่เลี้ยงเคยเตือนนางเอาไว้ว่า

หากเสด็จพ่อไม่โปรดนางอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างที่นางเคยได้รับจะกลายเป็นอดีตไปจนหมด

เมื่อนางได้เจอเสด็จย่าอีกครั้ง แววตาของนางว่างเปล่า นางเลอะเลือนพูดจาแปลกๆ อย่างเช่น “หลานชาย เจ้ากลับมาแล้ว” พร้อมกับอ้าแขนและมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วองค์หญิงจิ้งชูรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที

“อาจื่อ ท่านเห็นไทเฮามีพระอาการเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?”

“สี่ห้าปีมาแล้วล่ะ” องค์หญิงจิ้งชูตรัส “เมื่อก่อนเสด็จย่าดูเป็นปกติดี ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้”

ทั้งคู่เดินไปรอบๆ จากนั้นจึงได้กลับมายังโถงนั่งเล่นอีกครั้ง กู้หวนจิ่นยังนั่งรออยู่

“อาจื่อ ท่านอยากกินอาหารกลางวันกับข้าไหม?”

“ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากเห็นหน้าใครบางคน” องค์หญิงจิ้งชูชี้ไปที่กู้หวนจิ่น

“ดีสิ! จะได้ไม่เปลือง” กู้หวนจิ่นเอ่ยทันควัน

“เจ้า!” องค์หญิงจิ้งชูโมโหเขาแทบตาย นางไม่ได้กินเยอะจะไปสิ้นเปลืองอะไร! หญิงสาวหายใจเข้าออกติดๆ กันสองครั้ง จากนั้นจึงได้ยิ้มให้ถังหลี่

“ข้ากลับก่อนนะ” นางโน้มตัวเข้าไปกระซิบใกล้ๆ “เจอกันใหม่ครั้งหน้า” หวังว่าจะไม่เจอคนน่ารังเกียจเช่นนี้อีก

หลังจากที่องค์หญิงจิ้งชูเสด็จกลับไปแล้ว ถังหลี่หันไปมองพี่ชายของตน

“พี่สาม ท่านต้องสุภาพกับผู้อื่นให้มากกว่านี้”

“น้องสาว คนบางคนเกิดมาเป็นศัตรูกัน เข้ากันไม่ได้” กู้หวนจิ่นตอบอย่างเอ้อระเหย แต่แฝงไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ว่าแต่เจ้าให้เด็กนั่นจับมือถือแขนได้อย่างไร? น้องเขยข้าเห็นเข้าจะเป็นเรื่องเสียเปล่าๆ”

“พี่สาม ท่านพูดอะไร? นางเป็นผู้หญิง”

“ผู้หญิง!” กู้หวนจิ่นตกใจ อดคิดถึงหน้าอกของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้….นั่นช่างแบนราบเหลือเกิน!

“ไม่ใช่แค่ผู้หญิง หากยังเป็นคนรู้จักของท่านด้วย!” พี่สามของนางจำเรื่องราวต่างๆ ในชาติที่แล้วได้ เขาเคยมีความสัมพันธ์กับองค์หญิงจิ้งชูมาก่อน

“นาง…นางคือใครกัน?” กู้หวนจิ่นจำไม่ได้ว่าตนเองเคยไปรู้จักตัวซวยเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?

“องค์หญิงจิ้งชู”

“องค์หญิงจิ้งชูหรือ?” กู้หวนจิ่นแทบจะกระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้

เป็นนาง?

ชาติที่แล้ว เขาเคยต้องคุ้มกันองค์หญิงไปแต่งงานที่ซยงหนู ในความทรงจำของเขา องค์หญิงเป็นคนที่สง่างาม และสงบนิ่ง นางดูเศร้าสร้อยหดหู่ตลอดทั้งวัน ใช่แล้ว! จะให้นางมีความสุขได้อย่างไรหากต้องไปแต่งงานกับพวกฮันเช่นนั้น

นางสวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว กู้หวนจิ่นจึงไม่เคยเห็นนางเลย ทั้งคู่ไม่ค่อยจะพูดจากันมากเท่าใดนัก

จนกระทั่งเขาได้เข้าไปยังแคว้นซยงหนู ส่งองค์หญิงไว้ที่สถานีพัก ได้พบกับท่านข่านฮัน เมื่อเสร็จภารกิจเขาจึงจะได้กลับได้กลับต้าโจว

“ใต้เท้ากู้ ท่านอยากอยู่ต่ออีกสักวันไหม?” นางถามมีแววอ้อนวอนอยู่ในน้ำเสียง เขารู้สึกได้ถึงความกลัวขององค์หญิง นางจะไม่กลัวได้อย่างไร? นางเป็นแค่หญิงอ่อนแอ นางจะต้องอยู่ในแคว้นที่ต่างทั้งวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับข่านฮันที่ร่ำลือว่าโหดร้ายอีกด้วย

กู้หวนจิ่นจึงอยู่ในแคว้นซยงหนูอีกสองสามวัน ในงานจัดเลี้ยงต้อนรับ เขาจึงได้พูดเป็นนัยว่า ฮ่องเต้แห่งต้าโจวให้ความสำคัญกับองค์หญิงเป็นอย่างมาก และขอให้ท่านข่านดูแลองค์หญิงให้ดี ต่อมาเขาได้ข่าวว่านางอยู่ในแค้วนซยงหนูไม่ราบรื่นนัก น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาไร้อำนาจ ต่อมาเขาได้เสียชีวิตลงจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางหลังจากนั้น

เขาไม่คิดเลยว่าองค์หญิงที่ดูร่าเริงสดใส และตรงไปตรงมาและมีชีวิตที่สุขสบายถึงเพียงนี้จะมีชะตาชีวิตแบบนั้นไปเสียได้

การต่อว่านางเช่นนั้นเป็นสิ่งที่น่าละอายแก่ใจ กู้หวนจิ่นคิดถึงชีวิตของนางในชาติที่แล้ว ก็ได้แต่สงสารอยู่ในใจ

“หากเจอนางครั้งหน้า ข้าจะไม่ใจร้ายกับนางอีก!” เขาพึมพำออกมา

………..

องค์หญิงจิ้งชูกลับไปยังพระราชวัง เมื่อได้พูดคุยถึงไทเฮาแล้ว นางก็อดคิดถึงท่านไม่ได้ ตอนที่นางยังเด็กเสด็จย่าพระทัยดีกับนางมากจริงๆ แม้จะได้พบเจอเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นนางจำได้ว่าเสด็จย่าชอบดอกท้อ

องค์หญิงจิ้งชูเสด็จพระราชดำเนินไปเมื่อเห็นกิ่งท้อในสวนกำลังบานสะพรั่ง นางจึงหักกิ่งดอกท้อสองสามกิ่งมา

เมื่อนางมาถึงนอกตำหนักพุทธาวาส จึงได้พบกับนางกำนัลที่อยู่ข้างกายเสด็จย่า

“แม่นมฉู่ ท่านช่วยมอบของสิ่งนี้ให้เสด็จย่าด้วยได้หรือไม่?”

แม่นมฉู่เอื้อมมือไปหยิบกิ่งดอกท้อง

“องค์หญิงพระทัยดีเพคะ” แม่ฉู่มององค์หญิงจิ้งชูที่เสด็จกลับไป สีหน้าของนางเปลี่ยนเล็กน้อย

ในวังหลวงแห่งนี้ ผู้คนมักเหยียบปีนป่ายขึ้นที่สูง ประจบประแจงยกยอปอปั้น ไม่ค่อยมีใครจะสนใจที่จะมาเยือนตำหนักของไทเฮา เพราะรู้ดีว่าสถานะในวังหลวงของนางไม่สู้ดีนัก แม้กระทั่งองครักษ์ดูแลความปลอดภัยก็ไม่มีเช่นกัน

แม่นมฉู่เดินเข้าไปยังด้านใน หยิบแจกันแล้วเทน้ำลงไปปักกิ่งดอกท้อเอาไว้

สายพระเนตรของไทเฮาจับจ้องที่กิ่งดอกท้อ สีพระพักตร์สับสน จากนั้นพระนางจึงสรวลออกมา

“อาฉิง อาฉิง เอากิ่งท้อมาให้ย่าหรือ?”

สีหน้าของแม่นมฉู่เปลี่ยนสี นางมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง

“ไทเฮาเพคะ องค์หญิงจิ้งชูเป็นคนนำกิ่งดอกท้อมาถวายเพคะ”

“จิ้งชู?” ไทเฮาเอียงพระศอทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็ดูเหมือนจำไม่ได้

“จิ้งชูเป็นใคร?” นางส่ายพระพักตร์อย่างแรง เกาพระเศียรไปพร้อมกัน

“ไทเฮาอย่าคิดอีกเลยเพคะ” แม่นมฉู่โน้มตัวไปใกล้ พูดปลอบโยนพระนางเบาๆ ราวกับปลอบเด็กน้อย ในที่สุดพระนางจึงได้สงบลง แม่นมฉู่ถอนหายใจ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ไทเฮาเลอะเลือนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกพระนางแค่หลงลืม จำผู้คนได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ผ่านไปไม่กี่ปีก็จำใครไม่ได้อีกเลย

ดูเหมือนฝ่าบาทเองจะปล่อยปละละเลย ไม่ให้แม้กระทั่งหมอหลวงมาตรวจพระอาการเสียด้วยซ้ำ แม้แต่บ่าวรับใช้คนเก่าแก่ที่เคยมีก็ล้วนแล้วแต่ถูกกำจัดออกไปจนแทบไม่เหลือ ผู้ที่มาแทนใหม่ล้วนแล้วแต่เป็นข้ารับใช้ที่องค์หญิงใหญ่เป็นผู้จัดหามาทั้งสิ้น

ถ้าไม่ใช่เพราะไทเฮาทรงคลุ้มคลั่งอาละวาดยามที่ไม่เห็นนางแล้ว หรือแม้กระทั่งไม่มีใครทำให้พระนางสลบอารมณ์ลงได้ องค์หญิงใหญ่คงไม่คิดจะเก็บนางเอาไว้เช่นกัน

แม่นมฉู่หวีพระเกศาให้ไทเฮา นางทำได้แต่เพียงมองดูไทเฮาเลอะเลือนคุ้มดีคุ้มร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ

นางจะทำอย่างไรดี?

ตระกูลเดิมของไทเฮาล้วนอ่อนแอไม่มีใครเป็นหลักให้พึ่งพิงได้ ที่อยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้เป็นเพราะน้ำพระทัยที่ทรงเมตตากรุณาที่ได้สะสมเอาไว้ในครั้งก่อน…

ไทเฮาของนางเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?

หัวใจของแม่นมฉู่เต็มไปด้วยความเปรี้ยวฝาดอย่างยากที่จะระงับเอาไว้ได้