ตอนที่ 531 ไม่ยอมหย่า

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 531 ไม่ยอมหย่า

หลินม่ายเปิดประตูเข้าไปด้วยความตื่นตระหนก เห็นเคอจื่อฉิงที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย กำลังทุบตีเฉินเฟิงด้วยรองเท้าอย่างรุนแรง

เฉินเฟิงพยายามหลบเลี่ยงพร้อมกับแสดงสีหน้ากระวนกระวาย “พอได้แล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้นซะหน่อย!”

“คุณตั้งใจทำชัด ๆ!” เคอจื่อฉิงพูดพร้อมกับระดมใช้ส้นรองเท้าทุบเขาอีกครั้ง

ครั้งนี้เฉินเฟิงไม่หลบเลี่ยงหล่อนอีก คว้ารองเท้ามาจากมือหญิงสาว แล้วโยนไปที่มุมห้อง

ไม่ว่าหลินม่ายจะมองยังไง เคอจื่อฉิงก็ดูไม่ต่างจากเด็กสาวที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ

เธอปิดประตู มองไปที่เคอจื่อฉิงกับเฉินเฟิงด้วยความสงสัย “พวกคุณทำอะไรกันเนี่ย?”

เคอจื่อฉิงรีบโผเข้าไปหาหลินม่ายราวกับมองเห็นผู้ช่วยชีวิต ฟ้องหลินม่ายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ “ม่ายจื่อ เฉินเฟิงรังแกฉันตอนเมา!”

เฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น ลังเลว่าควรพูดดีหรือเปล่า ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร แต่สีหน้าเขามืดมนอย่างเห็นได้ชัด

หลินม่ายถามด้วยท่าทางสยดสยอง “อย่าบอกนะว่าพวกคุณเมาแล้วเผลอมีอะไรกัน!”

หนุ่มสาวสองคนนี้มึนเมาด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์กันทั้งคู่ มีความเป็นไปได้ว่าอาจทำอะไรเกินเลยกัน

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เธอคงให้อภัยตัวเองไม่ได้เลย เพราะเธอเป็นคนขอร้องให้เฉินเฟิงช่วยมาส่งเคอจื่อฉิงที่บ้าน

ก่อนที่เธอจะพูดจบ เฉินเฟิงและเคอจื่อฉิงก็โพล่งออกมาพร้อม ๆ กัน “คิดบ้าอะไรของเธอน่ะ!”

หลินม่ายมองไปที่เคอจื่อฉิงอย่างงงงวย ถามว่า “ก็คุณบอกว่าเฉินเฟิงรังแกคุณไม่ใช่เหรอ?”

ใครไม่รู้ความหมายของคำว่ารังแกบ้าง ผู้ชายรังแกผู้หญิง ไม่ได้หมายถึงการมีอะไรกันหรือไง?

เคอจื่อฉิงกลอกตาพลางพูดว่า “เฉินเฟิงจับหน้าอกฉัน นั่นไม่เรียกว่ารังแกรึไง?”

หลินม่ายหันขวับมองไปทางเฉินเฟิงด้วยความตกใจทันที ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้!

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกำลังเข้าใจตัวเองผิด เฉินเฟิงจึงไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

เขาอธิบายเพื่อแก้คำครหานั้น “ฉันไม่ได้จับหน้าอกเธอ เมื่อกี้นี้เธอเมามากเกินไป พอเดิน ๆ อยู่ก็เลยสะดุดขาตัวเองล้ม ฉันเห็นว่าเธอกำลังจะหน้าคะมำอยู่รอมร่อ ก็เลยรีบเอื้อมมือไปประคองเธอไว้ ใครจะไปคิดว่ามือมันจะเผลอไปโดนหน้าอกเธอกันล่ะ หลังจากนั้นเธอก็เริ่มทุบตีฉัน…”

หลังจากนั้นเขาก็ย้ำชัดถ้อยชัดคำ “ฉันไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นจริง ๆ!”

เคอจื่อฉิงเชิดคางขึ้นแล้วโต้กลับ “คุณเจตนาทำแบบนั้นชัด ๆ! เป็นไปได้ยังไงที่มือคุณจะเอื้อมมาจับหน้าอกฉันโดยบังเอิญ?”

เฉินเฟิงโกรธมากจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำ “ผมไม่อยากเถียงกับคุณแล้ว พูดอะไรไปคุณก็เชื่อว่าตัวเองถูกเสมอ!”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันอีกครั้งหลังจากพูดจาไม่เข้าหูกัน หลินม่ายก็รู้สึกปวดหัวมาก หันไปพูดกับเคอจื่อฉิงก่อน “อย่างน้อยคุณก็ทุบตีและดุด่าเขาไปแล้วนี่ ถือว่าหายกันแล้ว โอเคไหม?”

เคอจื่อฉิงทำหน้ามุ่ย ลังเลอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นก็พยักหน้าในที่สุด

หลินม่ายโบกมือบอกให้เฉินเฟิงกลับไป

แต่แล้วเคอจื่อฉิงก็ถามหลินม่ายด้วยความกระวนกระวาย “แล้วพรุ่งนี้กับวันมะรืน เฉินเฟิงยังจะพาฉันไปเที่ยวเจียงเฉิงอยู่หรือเปล่า?”

หลินม่ายไม่รู้ว่าตัวเองควรทำหน้าอย่างไรดี “ถ้ายังไปเจอหน้าเขาอีก คิดว่าพวกคุณทั้งสองฝ่ายจะเข้าหน้ากันติดเหรอ?”

เคอจื่อฉิงถามด้วยความงงงวย “ทำไมจะเข้าหน้ากันไม่ติดล่ะ?”

หลินม่ายแหงนหน้ามองเพดาน ลืมสนิทไปเลยว่าเคอจื่อฉิงเป็นคนเข้าใจยาก

เธออธิบายให้อีกฝ่ายฟังด้วยความอดทน “คุณเพิ่งจะทุบตีเขาไปเมื่อกี้นี้เอง แถมคุณยังเป็นฝ่ายผิดด้วย ต่อให้คุณไม่รู้สึกอายที่ต้องเจอหน้าเขา แต่เฉินเฟิงอาจไม่อยากเห็นหน้าคุณอีกก็ได้”

พอเคอจื่อฉิงคิดมาถึงตรงนี้ หล่อนก็หลบตาด้วยความหงุดหงิด

หลินม่ายทนเห็นความผิดหวังของหล่อนไม่ได้ “งั้นฉันจะขอให้เสี่ยวหม่านไปเที่ยวเจียงเฉิงเป็นเพื่อนคุณในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน วันมะรืนฉันว่าง ค่อยพาคุณไปเที่ยวด้วยตัวเองดีไหม?”

เสี่ยวหม่านเป็นชาวเจียงเฉิงโดยกำเนิด แน่นอนว่าคุ้นเคยกับเจียงเฉิงเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นไกด์นำเที่ยว

เคอจื่อฉิงนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะพยักหน้าอย่างไร้ชีวิตชีวา

หลินม่ายเริ่มทำความสะอาดห้องนั่งเล่นที่ข้าวของตกระเนระนาดเพราะการต่อสู้ระหว่างเคอจื่อฉิงกับเฉินเฟิงเมื่อกี้นี้

พอเห็นแบบนั้นเคอจื่อฉิงก็เดินเข้ามาช่วย พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ม่ายจื่อ ฉันขอโทษนะ”

หลินม่ายถอนหายใจ “ไม่เป็นไร”

เพื่อนให้อภัยเพื่อนได้เสมอ

หลังจากจัดระเบียบห้องนั่งเล่นแล้ว หลินม่ายก็บอกให้เคอจื่อฉิงไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และจัดการตัวเองเสียใหม่

ถ้ายังอยู่ในสภาพเดิมแบบนี้ ใครก็ตามที่มาเห็นเข้าคงคิดว่าหล่อนถูกคนรังแกแน่ ๆ

ประมาณห้าโมงเย็น ฟางจั๋วหรานก็โทรมา ขอให้หลินม่ายชวนเคอจื่อฉิงไปที่ภัตตาคารเจียงเฉิงเพื่อรับประทานอาหารมื้อใหญ่

เมื่อสองสาวกำลังจะออกไป โจวฉายอวิ๋นก็กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษหลายใบในมือ

หลินม่ายสอบถามเธอ ถึงรู้ว่าหลังจากเสร็จงานฉลองหมั้น เธอก็ไปช้อปปิ้งกับเสี่ยวหม่าน

มิน่าล่ะตอนที่เฉินเฟิงพาเคอจื่อฉิงมาส่งที่บ้าน บ้านถึงได้ว่างเปล่าไม่มีใครอยู่

ถ้ามีโจวฉายอวิ๋นอยู่ด้วยสักคนหนึ่ง เคอจื่อฉิงกับเฉินเฟิงคงไม่พังห้องนั่งเล่นแบบเมื่อกี้นี้แน่

ความเสียหายก็อย่างเช่น หลอนทำถ้วยชาตกแตกไปสองสามใบ ส่วนหินลายดอกเบญจมาศที่ฟางจั๋วหรานเอามาฝากเธอจากจั่งซาก็บิ่นตรงมุมไปเช่นกัน ทำให้เธอเสียดายไม่น้อย

เคอจื่อหล่างและหลิวหย่งเจียงเองก็ได้รับเชิญจากฟางจั๋วหราน ให้ไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกันที่ภัตตาคารเจียงเฉิงหลังจากพบอาจารย์แล้ว

เคอจื่อหล่างเป็นคนสุภาพมาก ทันทีที่เจอหน้าหลินม่าย เขาก็รีบขอบคุณที่เธอช่วยดูแลเคอจื่อฉิง

หลินม่ายยิ้มพร้อมตอบกลับ “พี่ใหญ่เคอไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกค่ะ จื่อฉิงต่างหากที่ช่วยอะไรฉันตั้งเยอะแยะ ในขณะที่ฉันยังไม่ทันได้ตอบแทนหล่อนเลย”

เคอจื่อฉิงพูดแย้ง “เราต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อย่าพูดจาเหมือนฉันเป็นคนนอกเด็ดขาด”

เมื่อกินอาหารกันไปได้ครึ่งทาง เคอจื่อหล่างบอกว่าเขาวางแผนจะกลับไปที่กว่างโจวในวันพรุ่งนี้ และขอให้เคอจื่อฉิงกลับไปพร้อมกันกับเขา

เคอจื่อฉิงกลับส่ายหน้า บอกว่าหล่อนยังอยากเที่ยวเล่นในเจียงเฉิงสักสองวัน

เคอจื่อหลางจึงพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับหลิวหย่งเจียง “นายเองก็อยากอยู่เที่ยวในเจียงเฉิงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปกับน้องสาวฉันล่ะ?”

ยังไม่ทันที่หลิวหย่งเจียงจะตอบกลับอะไร เคอจื่อฉิงก็โพล่งขัดจังหวะขึ้นมาก่อน “งั้นพรุ่งนี้ฉันกลับกว่างโจวพร้อมพี่ชายเลยดีกว่า”

หลิวหย่งเจียงได้ยินแบบนั้นก็ลอบถอนหายใจออกมาทันที

ในขณะที่หลินม่ายและคนหนุ่มสาวกำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ฟางเว่ยกั๋วกับภรรยาของเขาก็คุยเรื่องหย่าขาดจากกันอีกครั้ง

ครั้งนี้ฟางเว่ยกั๋วไม่ได้พูดปากเปล่า เขายังเตรียมเอกสารการหย่าร้างมาด้วย

หวังเหวินฟางมองไปที่เอกสารการหย่าร้างบนโต๊ะกาแฟ พูดจาเยาะเย้ย “ถ้าคุณอยากหย่านักก็หย่าไปสิ ถ้าฉันไม่เห็นด้วยซะอย่าง คุณจะทำอะไรได้?”

ฟางเว่ยกั๋ววางรูปถ่ายใบหนึ่งไว้ตรงหน้าหล่อน “คุณยังกล้าที่จะไม่เห็นด้วยอยู่หรือเปล่า?”

หวังเหวินฟางก้มมองไปที่รูปถ่ายใบนั้น ฉับพลันเสียงหัวใจเต้นโครมครามก็ดังขึ้นในหัวหล่อน

รูปถ่ายตรงหน้าเป็นรูปในขณะที่หล่อนเดินเข้าไปในโรงแรมม่านรูดกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง

ทั้งสองแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน เข้าไปในห้องทีละคน จากนั้นก็เดินออกจากห้องทีละคน

ถึงแม้ภาพถ่ายตรงหน้าจะไม่มีภาพที่ไม่เหมาะสมเลยสักภาพเดียว แต่จากมุมมองของภาพถ่ายที่ตรงไปตรงมาเหล่านี้ พอรวมกันแล้วก็สามารถอธิบายทุกอย่างได้

หล่อนไม่คาดคิดว่าก่อนที่หล่อนจะหาหลักฐานการนอกใจของฟางเว่ยกั๋วมาได้ เขากลับมีหลักฐานการนอกใจของหล่อนอยู่ในกำมือ

เขาเริ่มสงสัยหล่อนตั้งแต่เมื่อไรกันนะ?

สีหน้าของฟางเว่ยกั๋วยังดูสงบ ยื่นเอกสารการหย่าทั้งสองฉบับไปตรงหน้าหล่อน จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อคุณอธิบายไม่ได้ก็เซ็นใบหย่าซะ”

หวังเหวินฟางพยายามขอร้องอย่างน่าสมเพช “เว่ยกั๋ว ได้โปรดยกโทษให้ฉันเถอะนะ เขากับฉัน… แค่ครั้งเดียว”

ฟางเว่ยกั๋วถามกลับด้วยความชิงชังรังเกียจ “การนอกใจหนึ่งครั้งกับการนอกใจหนึ่งร้อยครั้งมันต่างกันตรงไหน? แถมผู้ชายคนนี้ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของผมด้วย! อีกอย่าง ผมจะเชื่อใจได้ยังไงว่าพวกคุณเคยมีอะไรกันแค่ครั้งเดียว”

หวังเหวินฟางพูดด้วยความเสียใจ “ใครใช้ให้คุณมาแอบสะกดรอยตามฉันกันล่ะ ฉัน… ฉันแค่นัดเจรจากับศัตรูของคุณเท่านั้นเอง… ไม่นึกเลยว่าจะทำให้คุณเข้าใจผิด วันหลังฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”

ฟางเว่ยกั๋วไม่ใจอ่อนเลยสักนิด “เซ็นซะ จะไม่มีคำว่าวันหลังอีก!”

หวังเหวินฟางโต้กลับด้วยความโกรธ “ทีคุณยังเคยนอกใจฉันตั้งหลายครั้ง ทำไมฉันนอกใจคุณแค่ครั้งสองครั้งคุณถึงทำเป็นทนไม่ได้?”

ฟางเว่ยกั๋วสวนกลับด้วยความมั่นใจ “ไหนล่ะหลักฐาน? คุณบอกว่าผมนอกใจหลายครั้ง งั้นก็แสดงหลักฐานมาสิ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการพ่นเลือด”

หวังเหวินฟางโกรธมากจนหน้าอกสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง พูดชัดถ้อยชัดคำ “ฉันนี่ไงหลักฐาน! ตอนที่อาเฉียนป่วยหนัก คุณก็นอกใจหล่อนมาหาฉัน!”

ฟางเว่ยกั๋วแค่นเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างดูถูกเหยียดหยาม “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปโพนทะนาให้โลกรู้ซะสิ ให้ทุกคนรู้ไปเลยว่าทุกวันนี้ที่คุณเชิดหน้าชูตาเป็นคุณนายได้ เพราะคุณเคยทำอะไรที่น่าอับอายอย่างการทำลายชีวิตครอบครัวของเพื่อนสนิท แล้วยัดเยียดตัวเองเข้าไปอยู่แทนที่หล่อน!”

ใบหน้าของหวังเหวินฟางซีดขาวราวกับหิมะ “คุณ… คุณ… คุณหมายความว่ายังไง?”

“เมื่อก่อนคุณเคยสั่งให้ใครบางคนเขียนจดหมายปลอม ๆ ระหว่างอาเฉียนกับม้าไม้ไผ่ของหล่อนขึ้นมา แล้วคุณก็ฉวยโอกาสนี้เข้ามาปลอบใจผมไม่ใช่หรือไง? ผู้หญิงดอกบัวขาวแบบคุณจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดเลยเหรอ?”

แน่นอนว่าหวังเหวินฟางเข้าใจดี

อาเฉียน แม่ของฟางจั๋วหรานมักจะรำพึงให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างหล่อนฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าเธอไม่เจอหน้าม้าไม้ไผ่คนนั้นมานานหลายปีแล้ว แต่ฟางเว่ยกั๋วก็มักจะหึงหวงเขาอยู่เสมอ

หลังจากที่หวังเหวินฟางได้ยินแบบนั้น หล่อนก็วางแผนบางอย่างอยู่ในใจ

จากนั้นก็หาใครสักคนมาปลอมลายมือ เขียนจดหมายโต้ตอบระหว่างอาเฉียนกับม้าไม้ไผ่ของหล่อน

แผนการทั้งหมดเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แม้แต่ฟางเว่ยกั๋วผู้ชาญฉลาดยังไม่พบข้อบกพร่องใด ๆ

เวลานั้นฟางเว่ยกั๋วรู้สึกเสียใจมาก เมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่เขารักอย่างสุดหัวใจลอบติดต่อกับชายอื่น

ฟางเส้นสุดท้ายขาดผึงเมื่อเขาเห็นว่าเนื้อความในจดหมายของอาเฉียนที่ส่งถึงม้าไม้ไผ่คนนั้นเขียนไว้ว่า พวกเขาทั้งสองคงไม่สามารถรักกันได้ในชาตินี้ แต่หวังว่าจะสามารถรักกันได้ในชาติหน้า นี่ทำให้หัวใจของเขาแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี

หวังเหวินฟางใช้โอกาสนี้เข้าหาด้วยความอ่อนโยน บอกว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกเขาทุกอย่าง ภายนอกหล่อนดูเหมือนพยายามจะเกลี้ยกล่อมให้ฟางเว่ยกั๋วและอาเฉียนปรับความเข้าใจกัน แต่ในความเป็นจริงกลับยุแยงตะแคงรั่วอยู่เบื้องหลัง

เป็นผลให้ฟางเว่ยกั๋วแปรเปลี่ยนจากความรักเป็นความแค้น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาค่อย ๆ พังทลายลง

ถ้าอย่างนั้นฟางเว่ยกั๋วรู้ได้อย่างไรกันว่าตอนนั้นหล่อนเป็นคนวางแผนการทั้งหมด?

หวังเหวินฟางแสร้งทำหน้ามุ่ยพร้อมพูดว่า “ฉันไม่เคยทำอะไรอย่างที่คุณพูดเลยสักครั้ง หยุดใส่ร้ายคนอื่นได้แล้ว!”

ฟางเว่ยกั๋วพูดเสียงเย็นชา “ผู้สมรู้ร่วมคิดที่ช่วยคุณปลอมจดหมายบอกความจริงทั้งหมดให้ผมรู้ก่อนที่เขาจะตาย คุณยังมีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม?”

“ฉันไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิดอะไรทั้งนั้น ผู้ชายคนนั้นอาจคิดร้ายกับฉันเลยจงใจลอบกัดฉันก็ได้ ใครจะไปรู้!”

หวังเหวินฟางแสดงความขุ่นเคืองด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจัง ราวกับหล่อนเชื่อสนิทใจว่าคำโกหกของตัวเองเป็นความจริง

ฟางเว่ยกั๋วแค่นเสียงตะคอก “คุณรู้ดีแก่ใจว่ามันจริงหรือไม่จริง ผมไม่อยากโต้เถียงกับคุณให้เสียเวลาแล้ว ดังนั้นผมแนะนำให้คุณเซ็นใบหย่าซะ เราสองคนจะได้หย่าขาดจากกันอย่างมีศักดิ์ศรี”

หวังเหวินฟางทุบหม้อข้าวตัวเอง “แล้วถ้าฉันไม่เซ็นล่ะ?”

“งั้นก็เตรียมตัวรอรับผลที่ตามมาได้เลย” หลังจากฟางเว่ยกั๋วพูดจบ เขาก็เดินออกจากบ้านไป

หวังเหวินฟางแทบหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความโกรธ

ทันใดนั้นหล่อนก็รู้สึกว่าไม่สามารถตอบคำถามตัวเองได้เลย หลังจากหล่อนพยายามอย่างหนักและงัดเล่ห์เหลี่ยมทั้งหมดออกมาใช้ พอตัวเองได้แต่งงานกับฟางเว่ยกั๋วแล้ว หล่อนได้อะไรบ้าง?

ความสุข ภาพลักษณ์ หรือการได้แก้แค้นอาเฉียน?

แต่ความสุขและภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่คงอยู่แค่ชั่วคราว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้แก้แค้นอาเฉียน คงเป็นผลกรรมที่สวรรค์ลงโทษมากกว่า

หล่อนเดาไม่ผิด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือผลกรรม

ในเวลานั้น หล่อนแอบเอาจดหมายปลอมของอาเฉียนแทรกไว้ในหนังสือเล่มโปรดของอีกฝ่าย

จากนั้นหล่อนก็เปิดเผยสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เมื่อฟางเว่ยกั๋วมาเห็นเข้า ทำให้เขารู้สึกไม่ดีต่ออาเฉียนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ไม่นานมานี้ ตอนที่หล่อนเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ กระเป๋าของหล่อนซึ่งทรงตัวไม่อยู่ก็ร่วงลงจากโต๊ะข้างเตียง ข้าวของในกระเป๋ากระจัดกระจายไปกับพื้น

ซองถุงยางอนามัยใช้แล้วท่ามกลางข้าวของเหล่านั้น ทำให้คนเขลาอย่างฟางเว่ยกั๋วตาสว่าง

ทุกสิ่งถูกกำหนดไว้ล่วงหน้านานแล้ว ความชั่วที่หล่อนเคยทำไม่สามารถปิดบังไปตลอดได้ แค่ยังไม่ถึงเวลา เมื่อมันถูกเปิดเผยก็สมควรแล้วที่หล่อนได้รับผลกรรมนั้น

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง ของที่แย่งคนอื่นมามักอยู่ได้ไม่นานหรอก

ไหหม่า(海馬)