เล่ม 1 ตอนที่ 139-1 บิดากับบุตรสาว การต่อสู้ ณ หอหลิงจือ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 139-1 บิดากับบุตรสาว การต่อสู้ ณ หอหลิงจือ

เดือนเจ็ด วันที่สิบสอง วันดาวคุณธรรมเป็นวันดีฤกษ์มงคล เหมาะกับการจัดงานเลี้ยง แต่งงาน สู่ขอ หมั้นหมาย บวงสรวง ขอพร

จวนเอินปั๋ววุ่นวายตั้งแต่เช้ากับการปัดกวาดจวน ปลูกดอกไม้พันธุ์ไม้ ประดับโคมและแถบผ้าหลากสี จวนปั๋วไม่ได้ครึกครื้นเช่นนี้มานานแล้ว บ่าวรับใช้ทั้งหลายเต็มไปด้วยความคึกคัก

หญิงรับใช้เฒ่าในห้องครัวยกเข่งวัตถุดิบสดใหม่บนรถลงมาทีละใบ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหญิงรับใช้วัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนคนหนึ่ง เสื้อผ้าของนางงดงาม เส้นผมแปรงจนมันเงา ปักปิ่นเงินฝังลายทองเล่มหนึ่ง บนใบหูประดับต่างหูทอง มือที่ยกขึ้นแตะเครื่องประดับบนเรือนผม เผยให้เห็นกำไลทองแวววาวบนข้อมือ

หญิงรับใช้เฒ่ามองอย่างตกตะลึงในความงามครู่หนึ่งก็รีบวางเข่งลง แล้วก้าวเข้าไปทักทาย “พี่หลิน!”

หลินมามายิ้มเรียบๆ “ฮูหยินรองให้ข้ามาดูว่าฝั่งพวกเจ้าเตรียมการเป็นเช่นไรแล้ว แขกที่เชิญมาในงานเลี้ยงวันนี้ล้วนเป็นคนสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ห้ามมีสิ่งใดผิดพลาด”

หญิงรับใช้เฒ่าเอ่ยประจบ “โธ่ ท่านวางใจเถิด งานเลี้ยงฉลองของท่านโหว พวกเราย่อมไม่กล้าเลินเล่อ! ใส่ใจกันทุกคน! ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดแน่นอน!”

หลินมามายังไม่วางใจ นางมองรถขนวัตถุดิบกับเข่งวัตถุดิบที่อยู่ด้านข้าง “นี่คือวัตถุดิบของวันนี้หรือ”

“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้เฒ่าเปิดเข่งทีละใบ “เข่งนี้คือปลาเป็นๆ เข่งนี้คือไก่ เข่งนี้คือเนื้อหมูสด เพิ่งเชือดแล้วส่งมาจากตลาด แล้วยังมีนี่ ท่านดู ล้วนเป็นอาหารทะเลที่ขนมาจากทางใต้!”

หลินมามาไม่สนใจเนื้อไก่ เป็ด ปลา พวกนั้นที่ได้กินในยามปกติ แต่เป่าฮื้อ ปลิงทะเล หูฉลาม กระเพาะปลา ปูและกุ้งทะเล หอยสารพัดชนิดกับปลาหมึกพบเจอได้ค่อนข้างน้อย หลินมามาจึงดูอย่างละเอียด

หญิงรับใช้เฒ่าเขี่ยปูทะเลที่ทั้งอ้วนทั้งเนื้อแน่นสองสามตัว แล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ยังเป็นอยู่ทั้งนั้น ท่านวางใจเถิด!”

“แล้วนี่คือสิ่งใด” หลินมามาถามถึงเนื้อที่วางแยกอยู่ต่างหากเข่งหนึ่ง สีเนื้อเหมือนจะต่างจากเนื้อหมู

หญิงรับใช้เฒ่าตอบว่า “นี่คือเนื้อลา!”

เนื้อลาเป็นของดี ไม่ใช่กล่าวกันว่าบนสวรรค์มีเนื้อมังกร บนพสุธามีเนื้อลาหรือไร

ในที่สุดหลินมามาก็ขานตอบอย่างพึงพอใจแล้วเข้าไปในห้องครัว ตรวจสอบวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารทีละอย่างจนครบ แล้วกำชับเรื่องความสะอาดของบริเวณรอบด้านอย่างใส่ใจ จากนั้นยังกำชับกำชาอีกว่า “…เก็บกิริยาท่าทางไม่เรียบร้อยพวกนั้นของพวกเจ้าเสีย แขกที่มาในจวนเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ธรรมดา หากรับใช้ดี ท่านโหวมีหน้ามีตา พวกเราก็มีเกียรติไปด้วย อีกอย่างพวกเราล้วนเป็นบ่าวของจวนโหวแล้ว ย่อมต้องทำงานอย่างในจวนโหว อย่าทำตัวเป็นคนต้อยต่ำไม่เคยเห็นโลก ทุกคนจงกระตือรือร้นสิบสองส่วน ผู้ใดกล้าเกียจคร้าน ข้าจะถลกหนังมันผู้นั้น!”

ทุกคนขานรับอย่างนอบน้อม

หลินมามากลับเรือนหลักอย่างพึงพอใจ หลังจากหวังมามาตาย นางก็เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว มีหน้ามีตาเหลือล้นอย่างแท้จริง!

ในเรือนหลัก สวีซื่อกำลังตรวจสอบเรื่องคณะละครกับตานจวี๋

ตานจวี๋ยิ้ม “เวทีสร้างเสร็จแล้วเจ้าค่ะ อยู่ในสวนปี้กุ้ย ต้นกุ้ยสี่ฤดูที่พวกเราปลูกไว้กำลังบานสะพรั่ง เล่นละครที่นั่น รับรองว่าพวกฮูหยินกับคุณหนูจะต้องชอบ!”

“อืม” สวีซื่อจิบน้ำชาคำหนึ่งอย่างเนิบช้า “จำไว้ต้องบอกคณะละครว่าอย่าเล่นละครเศร้าโศก ต้องเล่นบทละครรื่นเริง นี่เป็นการฉลองที่นายท่านได้แต่งตั้งเป็นโหว ไม่ใช่งานอย่างอื่น”

ตานจวี๋ยยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “บ่าวกำชับหัวหน้าคณะแล้วเจ้าค่ะ”

สวีซื่อวางถ้วยชาลง “บอกอีกหน”

“เจ้าค่ะ!” ตานจวี๋ขานรับ

“ซิ่งจู๋!” สวีซื่อตะโกนเรียกทางประตู

ซิ่งจู๋หอบเสื้อผ้าหลายชุดเดินเข้ามาคำนับ “ฮูหยิน”

สวีซื่อถามอย่างวางอำนาจ “เสื้อผ้าของนายท่านกับคุณหนูใหญ่ทำเรียบร้อยแล้วหรือ”

ซิ่งจู๋หอบเสื้อผ้าเดินมาข้างหน้า “ตอบฮูหยิน ทำเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ร้านปักผ้าเพิ่งให้คนส่งมา เชิญฮูหยินตรวจดู”

เสื้อผ้าชุดบนสุดเป็นของเฉียวเย่ว์ซาน ทำจากผ้าไหมกลิ่นสุคนธ์อันล้ำค่า หรูหรางดงาม ฝีเข็มละเอียดประณีต รูปแบบชุดก็ทันสมัยเหมาะสมทั้งยังไม่เสียความสุขุม สวีซื่อพึงพอใจยิ่งนัก แล้วเมื่อหันไปดูกระโปรงสีขาวพิสุทธิ์ตัวนั้นที่อยู่ด้านล่าง เนื้อผ้าที่ทำจากไหมน้ำแข็งราวกับก้อนเมฆ เบาจนเหมือนไร้น้ำหนัก แขนเสื้อกับชายกระโปรงปักลายเมฆหลากสีดูเสมือนหนึ่งมีชีวิต เมื่อขยับไหวเบาๆ ก็เป็นประกายหลากสี ประหนึ่งเทพธิดาแห่งอาทิตย์อัสดงผู้เหยียบย่างมากับสายลม

กระโปรงชุดนี้หากสวมอยู่บนร่างของบุตรสาว จะต้องทำให้บุตรสาวงามจนทุกคนตะลึงแน่นอน

สวีซื่อลูบกระโปรงแล้วคลี่ยิ้ม “ลูกข้าต้องทนก้มหน้ามานาน ถึงเวลาได้เชิดหน้าแล้ว”

ไม่ใช่เพียงซีเอ๋อร์ของนางจะได้ล้างอายที่ถูกอัครมหาเสนาบดีถอนหมั้น แม้แต่นางกับนายท่านรองก็จะตัดขาดกับ ‘ชื่อเสียงฉาวโฉ่’ ที่เคยเข้าคุก นับจากวันนี้เป็นต้นไป นางอยากดูซิว่าผู้ใดยังจะกล้าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาอีก

เทียบกับการได้รับแต่งตั้งเป็นโหว สวีซื่อสนใจว่าสามีของนางก้าวไปถึงความสำเร็จที่สามีของเสิ่นซื่อก้าวไปไม่ถึงมากกว่า พี่ใหญ่ร้ายกาจอีกเท่าใดก็ได้รับสืบทอดตำแหน่งปั๋วเท่านั้น แต่สามีของนางกลับอาศัยความสามารถของตนจนได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นหย่งเอินโหว

นับจากนี้ จะไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่านางเทียบเสิ่นซื่อไม่ได้แล้ว!

วันเดียวกันนั้นบนภูเขาก็ครึกครื้นอย่างยิ่งเช่นกัน เฉียวเวยพาลูกกลับมาในหมู่บ้าน ข่าวที่บิดาแท้ๆ ของนางมาหากระจายออกไปอย่างเงียบๆ ทั้งหมู่บ้านซีหนิวต่างรู้แล้วว่าบิดากับบุตรสาวได้กลับอยู่พร้อมหน้ากัน

พอได้ยินว่าบิดาของเฉียวเวยตกระกำลำบากเร่ร่อนอยู่ข้างนอกมาสิบกว่าปีกว่าจะตามหานางพบ ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็สงสารมากทีเดียว

แล้วเฉียวเวยยังมาเป็นอีสุกอีใสจนเกือบจบชีวิตอีก ชาวบ้านทั้งหลายยิ่งรู้สึกว่าบิดากับบุตรสาวคู่นี้ช่างมีชีวิตลำบากนัก

อากุ้ยทำงานฝีมือได้เล็กน้อย เขากับหลัวหย่งจื้อจึงนำไม้ที่เหลือจากโรงงานมาต่อเป็นตู้สมุนไพร วางไว้ในห้องของเฉียวเจิง

ปี้เอ๋อร์ไปตลาดซื้อฟูกกับเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม

เสื้อตัวนั้นเป็นเสื้อผ้าไหมฝู่โฉว สีน้ำเงินเข้ม แขนเสื้อแคบ ทำงานสะดวก นี่เป็นเนื้อผ้าที่แพงที่สุดที่จะซื้อได้จากตัวเมือง แม้เทียบกับร้านผ้าในเมืองหลวงจะไม่มีค่าให้เอ่ยถึง แต่สำหรับเฉียวเจิงผู้ไม่ได้สวมเสื้อผ้าใหม่มาไม่รู้กี่ปีแล้วก็ยังล้ำค่าอย่างยิ่ง

เฉียวเจิงดีใจมาก

เฉียวเจิงเดิมทีก็รูปโฉมหล่อเหลาอยู่แล้ว เมื่อเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดเข้ากับรูปลักษณ์ก็ดูเด็กลงอีกสิบปี ท่านป้าท่านน้าทั้งหลายในหมู่บ้านต่างเคลิบเคลิ้มจนเหม่อลอย แม้แต่ป้าหลัวมองหนเดียวก็ไม่กล้ามองอีก ดวงหน้าแก่ชราแดงก่ำ

“ท่านตา ท่านงามนัก!” วั่งซูเงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ ชมอย่างตกตะลึงในความงาม

นี่ไม่ใช่คำโกหก นางรู้สึกว่าท่านตารูปงามมากจริงๆ งามจนเกือบจะเท่ากับท่านลุงหมิงแล้ว!

เฉียวเจิงผู้ถูกเรียกว่าท่านตาดีใจเป็นที่สุด เขาย่อตัวลงมาหยิกใบหน้าน้อยๆ ของวั่งซู แล้วหันไปมองจิ่งอวิ๋นผู้เยือกเย็นสุขุมที่อยู่ด้านข้าง “จิ่งอวิ๋น ท่านตาสวมเสื้อตัวนี้แล้วหล่อเหลาหรือไม่”

จิ่งอวิ๋นพยักหน้า “หล่อเหลาขอรับ”

“ท่านแม่ของพวกเจ้าซื้อมา ท่านตาก็รู้สึกว่าหล่อเหลาเช่นกัน” เฉียวเจิงก้มหน้ามองเสื้อตัวใหม่ ดวงตาฉายความปิติยินดีอย่างปิดไม่มิด เสื้อผ้าที่ลูกสาวซื้อให้ สวมใส่สบายนัก! “ข้าจะไปให้ท่านแม่ของพวกเจ้าดู”

พูดจบ เฉียวเจิงก็เดินไปห้องของเฉียวเวยเหมือนจะอวดสมบัติ

เฉียวเวยกำลังทวนเงินค่าจ้างของคนงานอยู่กับชีเหนียง “คิดตามวัน หนึ่งวันสามสิบอีแปะ ทำเต็มหนึ่งเดือนก็คือหนึ่งตำลึง หากมีผู้ใดจะไม่ทำงานแล้วต้องแจ้งล่วงหน้า จะได้ไม่ทำให้ปริมาณการผลิตลดลง ส่วนเงินเดือนก็ยังให้เขาตามเดิม”

ชีเหนียงกล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดไม่ทำหรอกเจ้าค่ะ ปีภัยแล้ง แม้แต่ข้าวทุกคนก็ยังไม่มีจะกิน มีงานที่หาเงินได้สักงานก็ต้องขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาล้วนติดค้างเงินอยู่ หากจะไปก็ต้องคืนเงินก่อนถึงจะไปได้”

ชีเหนียงฉลาด สุขุม จิตใจดีแต่ไม่ดีจนเป็นแม่พระ อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ อ่อนนอกแข็งใน ทำงานพิถีพิถัน อยู่กับผู้ใดก็ทำงานด้วยกันได้ ความสามารถในการคบหาผู้คนกับเสน่ห์ส่วนตัวล้วนเหนือกว่ามาตรฐานอย่างมาก หากอยู่ในยุคปัจจุบัน เหมาะจะเป็นพนักงานฝ่ายบุคคลดีเด่นเหลือเกิน

แต่โรงงานในช่วงตั้งต้นคงต้องลำบากพนักงานฝ่ายบุคคลทำงานควบหลายตำแหน่งหน่อยแล้ว

“ยัยหนู!” หมอพเนจรฉีกยิ้ม ปรากฏตัวตรงประตู

เฉียวเวยกุมหน้าผาก

ชีเหนียงลุกขึ้นยืน แย้มยิ้มคำนับ “นายท่าน ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหรือเจ้าคะ เหมาะยิ่งนัก ดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง!”

“ลูกสาวซื้อให้!” เฉียวเจิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

เฉียวเวยอ้าปากค้าง “ข้าซื้อตั้งแต่เมื่อ…”

ชีเหนียงกระแอม แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฮูหยินตาแหลมยิ่ง ตอนผ่านร้านผ้าระหว่างทางกลับจากเมืองหลวงนางก็ถูกใจชุดนี้เข้า แต่ที่ตัวไม่ได้พกเงินมาจึงกลับมาบ้านแล้วให้ปี้เอ๋อร์ออกไปอีกรอบ”

เฉียวเวยตวัดสายตามาประหนึ่งคมมีด

ชีเหนียงรู้สึกเก้อกระดาก จึงหยิบสมุดบัญชีแล้วเอ่ยยิ้มๆ “วันนี้จัดงานเลี้ยงต้อนรับนายท่าน พร้อมกับฉลองที่เจ้านายหายจากโรคภัย ข้าจะไปดูสักหน่อยว่ามีเรื่องใดให้ช่วยงานหรือไม่”

ชีเหนียงออกจากห้อง เฉียวเจิงเดินมาตรงหน้าลูกสาวแล้วหมุนตัวโอ้อวดหลายรอบ

เฉียวเวยไม่มองเขา ก้มหน้าคิดบัญชี

แต่เดิมก็ไม่ใช่เสื้อที่นางซื้อ ชีเหนียงตัดสินใจเองโดยพลการให้ปี้เอ๋อร์เลือกมาชุดหนึ่ง

เฉียวเจิงไม่รู้ว่าลูกสาวไม่สนใจเขา สิ่งใดที่เขาไม่ต้องการเห็น เขาล้วนมองไม่เห็นทั้งสิ้น เขายิ้มพลางเกาะอยู่กับโต๊ะ แล้วมองลูกสาวอย่างประจบ “ยัยหนู เจ้าดู ข้าสวมแล้วหล่อเหลาหรือไม่”

“อืม หล่อเหลายิ่ง” เฉียวเวยไม่เงยหน้าขึ้นมาสักนิด

เฉียวเจิงเอ่ยอีกว่า “เจ้ายังไม่ได้ดูเลย”

เฉียวเวยเงยหน้าขึ้นอย่างจนปัญญา แล้วตวัดสายตาดูแวบหนึ่ง “ตอนนี้ข้าดูแล้ว”

เฉียวเจิงคิดครู่หนึ่งก็ล้วงเหรียญทองแดงหลายเหรียญออกมาจากอกเสื้อ “ให้เจ้า”

เฉียวเวยมองเขาอย่างประหลาดใจ “ให้เงินข้าทำอันใด” แล้วยังให้มาน้อยเช่นนี้ นางท่าทางเหมือนขาดแคลนเงินจำนวนเท่านี้หรือ

เฉียวเจิงตอบเสียงเบา “นี่เป็นค่ารักษาที่ข้าหามาได้เมื่อวาน หมู่บ้านพวกเจ้ามีเด็กคนหนึ่งชื่อเอ้อร์โก่วจื่อ เขาเป็นอีสุกอีใสเหมือนกัน ใกล้จะตายอยู่แล้ว แต่ข้ารักษาจนหายดี มารดาของเขาจึงให้ข้ามาสิบอีแปะ”

สิบอีแปะยังไม่พอค่าตรวจของหมอในตัวเมืองเสียด้วยซ้ำ แต่สำหรับบ้านของเอ้อร์โก่วจื่อ เกรงว่าคงเป็นเงินเก็บทั้งหมดแล้ว

เฉียวเวยจับพู่กัน เขียนบัญชีอีกหนึ่งรายงาน “ในเมื่อมอบให้ท่าน ถ้าเช่นนั้นท่านก็เก็บไว้สิ ไม่จำเป็นต้องมอบให้ข้า”

เฉียวเจิงจึงบอกอย่างเต็มไปด้วยเหตุผล “ข้าเป็นพ่อของเจ้า ข้าต้องเลี้ยงดูเจ้าสิ เงินของข้าย่อมต้องมอบให้เจ้า”

เฉียวเวยบีบนิ้วมือ “ข้าจะไปห้องครัวทำอาหาร”

ในห้องครัวปี้เอ๋อร์กับป้าหลัวเพิ่งล้างผักเสร็จ ชีเหนียงนวดแป้งอยู่บนโต๊ะ เมื่อเห็นนางเข้ามาก็แย้มยิ้มเอ่ยทักทาย

ป้าหลัวเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน “อาการป่วยของเจ้ายังไม่หายดีเสียหน่อย เข้ามาในห้องครัวทำไม รีบกลับไปพักที่ห้อง”

เฉียวเวยจึงตอบว่า “ข้าหายดีแล้ว หากนั่งอยู่ในห้องต่อคงขึ้นรากันพอดี”

นางเป็นคนที่อยู่ว่างไม่ได้ หากไม่ป่วยจนไม่รับรู้เรื่องราวก็จะต้องหางานอะไรทำเล็กๆ น้อยๆ

ป้าหลัวกลับคิดว่านางต้องการตอบแทนบุญคุณบิดาด้วยตนเองจึงไม่สะดวกพูดอะไรอีก นางชี้ไก่เป็นๆ ในตะกร้าแล้วว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าเชือดไก่ก็แล้วกัน”

ไก่ตัวนี้เป็นแม่ไก่จากบ้านของป้าหลัว แม้แต่ตอนวันเกิดของหลัวหย่งจื้อ ป้าหลัวยังตัดใจเชือดไม่ลง แต่วันนี้กลับหิ้วมันขึ้นเขามาด้วย

เฉียวเวยขยับมีดว่องไวยิ่งนัก เชือดคอ รีดเลือด ถอนคน ควักเครื่องใน เฮือกเดียวก็เสร็จ

นอกจากไก่เป็นๆ ป้าหลัวยังไปหาเป็ดเป็นๆ ตัวหนึ่งจากบ้านสกุลจ้าวมาด้วย เฉียวเวยจัดการเป็ดจนเรียบร้อยดุจเดียวกัน

ชนบทกินข้าวไม่พิถีพิถันเท่าใดนัก ไก่ เป็ด ปลา หมูได้กินครบก็ถือว่าหรูหราอย่างยิ่งแล้ว ปลาไนเป็นๆ สองตัว หมูสามชั้นอย่างดีหนึ่งชั่งกว่า แล้วเมื่อรวมกับเห็ดกระเพาะแพะหนึ่งชั่งที่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเก็บมา กับกระต่ายป่าที่เฉียวเวยล่ามาได้ตัวหนึ่ง แล้วก็งูอะไรสักอย่างที่เสี่ยวไป๋จับมา รวมไปถึงผลไม้สีแดงลูกโตที่จูเอ๋อร์เด็ดมาอีกหลายลูก มือเย็นอันพรั่งพร้อมมื้อหนึ่งก็ออกจากเตา

มื้อเย็นจัดโต๊ะอยู่ในห้องโถง

เฉียวเจิงมองอาหารหอมฉุยเต็มโต๊ะ แล้วอ้าปากหุบไม่ลงอย่างตกตะลึง “นี่…นี่ยัยหนูเป็นคนทำหมดเลยหรือ”

ป้าหลัวเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ใช่น่ะสิ อาหารที่เสี่ยวเฉียวทำชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแปดหมู่บ้านสิบลี้!”

เฉียวเจิงเร่ร่อนมาสิบกว่าปี จดจำรสชาติอาหารที่ผ่านการปรุงไม่ได้มานานแล้ว อาหารเหล่านี้แม้หน้าตาจะดูคุ้นเคย แต่เรียกชื่อไม่ถูก

ป้าหลัวแนะนำอาหารที่เฉียวเวยทำอย่างภาคภูมิใจทีละอย่างจนครบ ไก่ผัดเกาลัด เป็ดย่าง ปลาไนราดน้ำเต้าซี่ เนื้อน้ำแดงใส่หูหลัวปัว น้ำแกงลูกชิ้นเนื้อกับเห็ดกระเพาะแพะ เนื้อกระต่ายหมาล่า เนื้องูผัดแห้ง ผักกาดขาวผัด ยำแตงกวา “….โชคดีที่ใช้โต๊ะของเสี่ยวเฉียว หากเป็นโต๊ะบ้านข้าคงวางไม่หมด!”

เฉียวเจิงตาโตอ้าปากค้าง

“ท่านตาๆ! เห็ดกระเพาะแพะ ข้ากับพี่ชายเป็นคนขึ้นเขาไปเก็บ!” วั่งซูบอกอย่างกระตือรือร้น

เฉียวเจิงลูบศีรษะน้อยๆ ของทั้งสองคนอย่างรักใคร่ “วั่งซูกับพี่ชายเก่งกาจจริงๆ”

วั่งซูเอ่ยต่อว่า “ท่านแม่เป็นคนจับกระต่าย! ท่านแม่มีกรงอยู่อันหนึ่ง มักจะมีกระต่ายมุดเข้าไป! เสี่ยวไป๋เป็นคนจับงู เสี่ยวไป๋ร้ายกาจมาก มันเลี้ยงงูน้อยไว้เยอะแยะ แต่ยังไม่โต งูตัวนี้มันจับมาจากบนเขา!”

ดวงตาคมกริบดั่งใบมีดของเฉียวเวยตวัดฉับมาหา!

เลี้ยงงูอีกแล้ว!

กรงเล็บน้อยของเสี่ยวไป๋ยกขึ้นกุมหัว

วั่งซูหัวเราะคิกคักบอกว่า “จูเอ๋อร์เป็นคนเก็บผลไม้มา!”

จูเอ๋อร์ยืดอกเล็กๆ ของมันอย่างหยิ่งยโส

เฉียวเวยให้จิ่งอวิ๋นเชิญซิ่วไฉเฒ่ามาด้วย ซิ่วไฉเฒ่านั่งติดกับหมอพเนจร หลัวหย่งจื้อ ชุ่ยอวิ๋นกับป้าหลัวนั่งด้วยกัน เด็กน้อยสองคนนั่งอีกด้านหนึ่ง เมื่อเรียกพวกชีเหนียงมา ชีเหนียงก็กระอักกระอ่วนไม่กล้านั่งร่วมโต๊ะ

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ บอกว่า “แค่อาหารมื้อเดียวเท่านั้น ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย เรียกอากุ้ยกับจงเกอร์ แล้วก็เสี่ยวเว่ยมาด้วยเถิด”

ปี้เอ๋อร์จึงตอบว่า “เสี่ยวเว่ยกลับไปแล้วเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยร้องเอ๋คำหนึ่งแล้วถามอย่างฉงน “วันนี้เหตุใดจึงกลับเร็วเช่นนี้ ปกติไม่ใช่กินข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยกลับหรือ”

ปี้เอ๋อร์ตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “ดูเหมือนว่า…พี่สาวที่บ้านของเขาจะป่วย เขารีบกลับไปดูแลพี่สาว”

อีกด้านหนึ่งชีเหนียงปฏิเสธไม่ได้ จึงเรียกอากุ้ยกับจงเกอร์มา

จงเกอร์เล่นกับเด็กน้อยสองคนอย่างเบิกบานใจ

ชีเหนียงกับอากุ้ยก็นั่งลงด้วย

ทุกคนล้วนมองเฉียวเจิง รอให้เขาขยับตะเกียบ เขาเป็นบุรุษในบ้านเจ้านาย หากเขาไม่กิน ผู้ใดก็ไม่กล้ากินก่อน

เฉียวเจิงมองอาหารเต็มโต๊ะ นิ่งตะลึงอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งวางใส่ชามของลูกสาว แล้วคีบเนื้อน้ำแดงสองชิ้นวางในชามของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู

จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูตอบว่า “ขอบคุณท่านตา!”

เฉียวเจิงน้ำตารื้นขอบตาเล็กน้อย

“ท่านตา อาหารที่ท่านแม่ทำอร่อยยิ่งนัก ให้ท่านชิมลูกชิ้นเนื้อ” มือน้อยอันอ่อนเยาว์ของวั่งซูตักน้ำแกงลูกชิ้นเนื้อใส่เห็ดให้เฉียวเจิง “ข้ากับพี่ชายชอบที่สุด”

เฉียวเจิงกินเห็ดกระเพาะแพะคำเล็กๆ รสชาติยอดเยี่ยมจริงดังว่า อร่อยเหมือนกับอาหารที่ชิงเหยาทำไม่มีผิด

ป้าหลัวเห็นหมอพเนจรใกล้จะร้องไห้แล้วจึงคลี่ยิ้มหยิบตะเกียบขึ้นมา “พ่อของเสี่ยวเวย พวกเราคนชนบทไม่พิถีพิถันอะไรนัก กฎเกณฑ์อะไรก็ไม่มี ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ”

เฉียวเจิงพูดอย่างซาบซึ้ง “เป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก” ทั้งครอบครัวได้กินข้าวร่วมโต๊ะย่อมครึกครื้นกว่ากินอย่างเดียวดายมากนัก

ป้าหลัวเอ่ยกับทุกคนว่า “ทุกคนรีบกินเถิด”

ทุกคนจึงลงมือ

ฝีมือทำอาหารของเฉียวเวยยอดเยี่ยม ดีเสียยิ่งกว่าชีเหนียงกับปี้เอ๋อร์ ทุกคนบนโต๊ะจึงกินอย่างเอร็ดอร่อย

ระหว่างนั้นเด็กน้อยทั้งสองคนก็คีบอาหารให้ท่านตาอย่างเอาใจใส่ ทำให้หมอพเนจรซาบซึ้งยกใหญ่

หลังจากกินข้าวเสร็จ หัวหน้าหมู่บ้านก็มาหา

เฉียวเวยเชิญหัวหน้าหมู่บ้านเข้ามาในห้อง “หัวหน้าหมู่บ้าน”

หัวหน้าหมู่บ้านวางแป้งหนักสิบชั่ง น้ำมันงาห้าชั่งในมือลงบนโต๊ะ “บิดาของเจ้ากลับมาแล้ว ข้าไม่มีของดีๆ มาร่วมฉลอง มีแต่ข้าวของเล็กน้อยเท่านี้ อย่ารังเกียจเลยนะ”

เฉียวเวยมองแป้งกับน้ำมันสองกระปุกใหญ่ แล้วตอบว่า “หัวหน้าหมู่บ้านท่านมีน้ำใจเกินไปแล้ว หิ้วข้าวของมามากมายเช่นนี้ จะกินหมดได้อย่างไรเล่า”

“กินหมดสิๆ!” หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มแย้ม “เจ้าเคยให้ใบชาแล้วก็ปลากับข้า ข้าไม่หาโอกาสมอบของคืนให้เจ้าสักหน่อย วันหน้ายังจะมีหน้ามาขอข้าวบ้านเจ้ากินอีกได้อย่างไร”

เฉียวเวยหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ตรงไปตรงมาถึงขั้นนี้ เรียกได้ว่าเป็นคนคบได้คนหนึ่ง

หัวหน้าหมู่บ้านทักทายหมอพเนจรต่อ หมอพเนจรพอจะตระหนักได้แล้วว่าตนสติไม่ดี เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกจึงแสร้งทำเป็นปกติเป็นพิเศษ หัวหน้าหมู่บ้านจึงไม่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายเป็นคนบ้าที่ออกอาการเป็นช่วงๆ คนหนึ่ง แล้วยังชื่นชมอีกฝ่ายว่ามีการศึกษา รอบรู้ มารยาทเพียบพร้อม ไม่เสียทีเป็นนายท่านจากตระกูลใหญ่

เรื่องนอกเหนือจากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านไม่ถามถึง แม้เขาสงสัยใคร่รู้พอสมควรว่าบิดากับบุตรสาวคู่นี้มาจากตระกูลใหญ่ตระกูลใด แล้วตกต่ำมาถึงตรงนี้ได้เช่นไร

หัวหน้าหมู่บ้านจากไปได้ไม่นาน ชาวบ้านทั้งหลายก็ทยอยนำของมามอบให้ ท่านน้าตระกูลจางนำไข่ไก่มาให้ตะกร้าหนึ่ง สะใภ้ตระกูลเหอนำฟักทองมาให้สองลูก บ้านของสวีต้าจ้วงนำเข่งที่พ่อตาสานมาให้หลายใบ (เพราะช่วงนี้ล่าสัตว์ได้ไม่ดีนักจึงไม่มีรายได้นานแล้ว) ครอบครัวตระกูลจ้าวก็นำขนมแป้งข้าวโพดที่ตนเองอบมาให้หลายชิ้น แล้วยังมีคนที่ทำงานในโรงงานต่างก็ทยอยกันนำสิ่งของที่บ้านตนปลูกมามอบให้เช่นกัน บนพื้นจึงมีข้าวของกองเต็มไปหมด

แม้จะไม่ใช่ข้าวของมีค่าอะไร แต่ทุกคนล้วนนำของที่ดีที่สุดออกมามอบให้ เฉียวเวยจดบันทึกไว้ทุกรายการ

ฝั่งจวนเอินปั๋วก็ได้รับข้าวของมากมายเช่นเดียวกัน แขกสูงศักดิ์ที่มาเยี่ยมเยือนแทบจะเหยียบธรณีประตูบ้านตระกูลเฉียวจนแบนราบ แต่ละคนล้วนนำของขวัญล้ำค่ามามอบให้ ไม่ใช่แก้วแหวนงินทองก็เป็นของโบราณหรือภาพอักษร ด้วยกลัวว่าของขวัญจะล้ำค่าไม่พอ แสดงความนับถือและความใส่ใจที่ตนเองมีต่อหย่งเอินโหวที่เพิ่งได้ตำแหน่งมามาดๆ คนนี้ไม่มากพอ

หย่งเอินโหวช่วยองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์ไว้ ย่อมเป็นขุนนางผู้สร้างความชอบของราชวงศ์ต้าเหลียง แม้เป็นโหวด้วยกัน น้ำหนักความสำคัญของเขาก็มากกว่าเล็กน้อย

เฉียวเย่ว์ซานยิ้มแก้มแทบปริรับคำแสดงความยินดีจากคนทั้งหลาย ด้านหลังฉากกันลมสวีซื่อกับบุตรสาวก็ถูกคุณหนูและสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายรุมล้อมดั่งดาวล้อมเดือน

องค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีซ์ยังป่วยอยู่จึงไม่สะดวกออกมาจากวัง แต่เขาก็ส่งทูตเดินทางมากล่าวขอบคุณ แล้วมอบเหยี่ยวไห่ตงชิงสีดำที่หายากอย่างยิ่งให้คู่หนึ่ง

เหยี่ยวไห่ตงชิงตัวหนึ่งขายในตลาดได้หนึ่งพันตำลึงเงิน หากเป็นคู่ตัวผู้กับตัวเมียยิ่งยากจะประเมินค่า

ทุกคนอิจฉาแทบแย่ ตระกูลเฉียวช่างโชคดีอะไรเช่นนี้หนอที่ผูกมิตรกับองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์ได้ ฮ่องเต้ใส่พระทัยความสัมพันธ์กับเผ่าซยงหนีว์เช่นนี้ พระองค์ย่อมโปรดปรานตระกูลเฉียวเป็นพิเศษแน่

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวเย่ว์ซานไม่เลือนหายตั้งแต่เริ่มจวบจวบจนบัดนี้ สวีซื่อกับบุตรสาวไม่ได้มีหน้ามีตามานานแล้ว ไม่ต้องพูดว่าพวกนางกระหยิ่มยิ้มย่องมากเท่าใด

“ช่วยคนป่วยรักษาคนเจ็บก็เป็นหน้าที่ของหมอหลวงอยู่แล้ว กลายเป็นคุณงามความชอบอันยอดเยี่ยมตั้งแต่เมื่อใด” มีคนอิจฉาตาร้อนแค่นเสียงเอ่ยอย่างดูแคลน

สหายเตือนนางว่า “ชู่ เจ้าเบาเสียงหน่อย ตระกูลเฉียวในตอนนี้ไม่ใช่ตระกูลเฉียวก่อนหน้านี้แล้ว ล่วงเกินไม่ได้”

ค่ำคืนอันครึกครื้นผ่านไป เด็กๆ อาบน้ำเข้านอนแล้ว พวกเขานอนหลับอยู่บนเตียงสีทองอร่ามของวั่งซู

เฉียวเจิงนั่งอยู่หน้าเตียงของทั้งสองคนครู่หนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องของเฉียวเวย

เฉียวเวยกำลังพลิกแถบกระดาษข้อความของหมิงซิว นางอยากรู้ว่าตนเองทำอะไรลงไปกันแน่ เหตุไฉนหมิงซิวจึงโมโหเช่นนั้น

นางหยิบแถบกระดาษข้อความของหมิงซิวออกมากางทีละแผ่น

‘ยุ่งอะไรอยู่หรือหัวหน้าพรรคเฉียว กวาดล้างสำนักเรียบร้อยแล้วหรือยัง’

นางตอบว่า ‘กำลังกวาดล้างอยู่ ท่านทำอะไรอยู่หรือ คุณชายหมิง’

‘วันพรุ่งนี้เข้าเมืองหลวงมาสักหน ข้าจะส่งคนไปรับเจ้า’

นางตอบว่า ‘ทำไม’

‘คืนวันพรุ่งนี้มีเทศกาลโคมไฟ เจ้าดื่มเหล้ามาใช่หรือไม่’

คืนนั้นนางดื่มมากเกินไป จำเรื่องเทศกาลโคมไฟไม่ได้อย่างสิ้นเชิง วันต่อมาก็เข้าไปในตัวเมืองหารือเรื่องโรงงานไข่กับเถ้าแก่หรง พบกับหัวหน้าชุยที่มาเร่งสินค้า แล้วยังลงมือวางกับดักสวีซื่ออีก พอกลับมาถึงหมู่บ้านก็ค่ำแล้ว

เขาบอกว่าจะส่งคนมารับนาง เขาคงส่งคนมาจริงๆ แต่น่าเสียดายนางไม่ปรากฏตัวเสียที ผู้อื่นทนรอไม่ไหวจึงกลับไปรายงาน

สิ่งที่เฉียวเวยไม่ทราบก็คือมีจุดหนึ่งที่นางเดาผิด วันนั้นจีหมิงซิวไม่ได้ส่งคนมารับนาง แต่มารออยู่บนเขาด้วยตนเองทั้งวัน

วันนั้นคือเทศกาลชีซี[1]

เฉียวเวยเคาะกะโหลก ใช้ชีวิตมาสองชาติไม่เคยเที่ยวเทศกาลชีซีกับผู้อื่นมาก่อน ลำบากนักกว่าจะมีหนุ่มหล่อต้องการมาเที่ยวเทศกาลกับตนเอง แต่ตนกลับลืมเสียเช่นนี้!

มิน่าหมิงซิวถึงหน้าบูดจมูกเบี้ยว ตาค้อนควักใส่ตนเอง หากเป็นนางที่ถูกปล่อยให้รอเก้อ นางก็คงโกรธเหมือนกัน แต่นางไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เป็นเพราะดื่มมากไปแท้ๆ…

“ยัยหนู”

เสียงของเฉียวเจิงขัดความคิดของเฉียวเวย

เฉียวเวยเก็บกระดาษข้อความเข้าไปในกล่องบุผ้าไหมแล้วใส่กุญแจ นางปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติแล้วมองเฉียวเจิง ถามอย่างมีมารยาทและเหินห่าง “ดึกเช่นนี้แล้วมาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ”

เฉียวเจิงอ้าปาก “บิดาของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู…”

“อย่าถามถึงบิดาของเด็กๆ” ตอนนี้นางยังคิดไม่ออกว่าจะบอกอย่างไร

เฉียวเจิงยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่พูด เจ้ารีบพักผ่อนหน่อยเถิด” กล่าวจบก็หมุนตัวออกจากห้อง แต่แล้วจู่ๆ ก็เลี้ยวกลับมา “ข้าอาจจะ…”

“อาจจะอะไร” เฉียวเวยถาม

“…ไม่มีอะไร” เฉียวเจิงยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้านอนเถิด”

เฉียวเวยพยักหน้า

เฉียวเจิงปิดประตู

ลูกสาวไม่ชอบเขา เขาสัมผัสได้

[1]ชีซี คือเทศกาลแห่งความรักของคนจีนในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด ตามตำนานวันนี้เป็นวันที่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าคู่รักที่ถูกพรากจากกันจะได้พบหน้ากันในรอบหนึ่งปี