นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 378 การแข่งขัน 1

“ข้าก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้” โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า

“หมายความว่าอย่างไร” ไป๋ยี่เซวียนซักถาม

โจวกุ้ยหลานลูบแขนเสื้อของตัวเอง หวนรำลึกความทรงจำถึงเรื่องต่างๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

“ทั้งหมดนี้มันบังเอิญเกินไป การค้าของพวกเรามีปัญหาไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังทุกด้านอีกด้วย หากบอกว่าไม่มีใครคอยผสมโรงอยู่เบื้องหลัง ข้าไม่เชื่อ”

“ความหมายเจ้าคือ พี่ข้ารึ”

ไป๋ยี่เซวียนเป็นคนที่พูดชี้เพียงเล็กน้อยก็เข้าใจ อีกทั้งยังไม่ต้องเลี่ยงใช้คำกับโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานมองพินิจเขาอย่างละเอียด วิเคราะห์ความเป็นพี่น้องระหว่างเขากับไป๋ยี่เฉินในใจ แล้วจึงเปิดปากว่า “บางที เจ้าควรนึกถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้ดี ถึงอย่างไร ของเดิมพันของพวกเจ้าทั้งสองในตอนนี้ คือทั้งตระกูลไป๋”

ตระกูลนี้ร่ำรวยเพียงใด ใครบ้างไม่รู้ แม้แต่ฮ่องเต้ ก็จับตามองตระกูลพวกเขา

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หากโจวกุ้ยหลานต่อไปอีกคงไม่ดี เพราะสุดท้ายอย่างไรพวกเขา ก็ยังเป็นพี่น้องกัน

ส่วนไป๋ยี่เฉินความประทับใจของเขาที่มีต่อนางก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร

ไม่เพียงหยิ่งยโสเท่านั้น นางรู้สึกเพียงว่า คนคนนี้เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม แต่บุคคลนี้ก็เป็นคนอันตรายเช่นกัน

โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นจากเก้าอี้ ถอยหลังไปสองก้าว แล้วพูดต่อว่า “ช่วงนี้เจ้ารีบไปหาว่าที่ใดมีร้านตีเหล็กที่เหมาะสมเถอะ กระป๋องโค้กพวกเราเหลือไม่เยอะแล้ว ช่วงนี้ ข้าจะให้พวกเขาดื่มโค้กฟรีที่ร้าน เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมา”

ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้า “เรื่องในร้าน ต่อจากนี้ล้วนให้เจ้าตัดสินใจ”

โจวกุ้ยหลานก็พยักหน้า หันกายออกจากห้องไป

ห้าวันต่อมา ผู้คนที่มากินอาหารที่ร้านไก่ทอดผิ่นเว่ย ล้วนได้รับโค้กฟรีหนึ่งชาม แทนที่จะใช้กระป๋อง กลับใช้ชามเครื่องเคลือบ ใช้งานเสร็จ ก็ให้คนทำความสะอาดโดยเฉพาะ

ด้วยเหตุนี้ การค้าก็ค่อยๆ ดีขึ้นมา

ส่วนคำพูดอื่นๆ โจวกุ้ยหลานไม่ได้พูดอะไรสักคำ เพียงแต่บอกทุกคนว่า ก่อนหน้านี้ที่นางดูแลจนเกิดปัญหา ก่อให้เกิดปัญหากระป๋องโค้ก ตอนนี้ขอโทษด้วย

ชั่วพริบตา ก็เข้าสู่หน้าหนาว และเวลาหนึ่งปีก็กำลังจะผ่านไป บางครั้งโจวกุ้ยหลานก็ได้ยินผู้คนพูดถึงเรื่องสงครามที่มณฑลหยวนเหอ

ได้ยินว่าอ๋องตวนองอาจกล้าหาญ แม้แต่องค์ชายรองจื่อเฉิงซึ่งอายุเพียงแปดขวบก็เสนอความคิดไว้ไม่น้อย ทั้งกล้าหาญและมีไหวพริบ สงครามนี้คงจะสงบลงก่อนปีใหม่จะมาถึง แล้วพวกก่อจลาจลคงถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว

ในใจโจวกุ้ยหลานราวกับมีก้อนหินกดอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวเหล่านี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะยืนนิ่งตั้งใจฟัง

ร้านไก่ทอดผิ่นเว่ยนี้เปิดสี่สาขาแล้ว โค้กก็ขายดีมากเช่นกัน ไม่รู้ว่าไป๋ยี่เซวียนซื้อบุรุษดีๆ หลายคนมากจากที่ใด ทั้งกำยำล่ำสัน และมีพละกำลังล้นเหลือ โจวกุ้ยหลานจึงมอบหมายพวกเขาให้ทำโค้ก

เพียงพริบตา ก็ถึงเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ ช่วงเวลานี้ กิจการของร้านค้าสงบสุขไม่ประสบปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น เงินที่พวกเขาหาได้ ก็ทวีคูณขึ้นหลายเท่าตัว

วันแรม 8 ค่ำเดือนสิบสอง เป็นช่วงการแข่งขันของสำนักบัณฑิตต่างๆ

โจวกุ้ยหลานวางแผนทุกอย่างไว้เป็นพิเศษ ตามไปเข้าร่วมกับพวกคนสำนักบัณฑิตหนานซาน

ตลอดทาง พวกเมิ่งเจียงล้วนท่องบทกวีโบราณต่างๆ อย่างประหม่า

แม้แต่อาจารย์ที่เดินนำหน้า ก็เหยียดหลังตรงยิ่งกว่าเมื่อก่อน

เมื่อเห็นพวกเขาเช่นนี้ โจวกุ้ยหลานโบกมือ “พวกเจ้าจะประหม่าไปทำไม ก็แค่การแข่งขันหนึ่ง พวกเจ้าไม่ใช่ว่าไม่เคยชนะมาก่อน”

“เจ้าจะไปรู้เรื่องอะไร นี่เป็นการต่อสู้เพื่อชื่อเสียง!”

อาจารย์หันกลับมาอย่างไม่พอใจ กล่าวกับนาง

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “อาจารย์ แม้ชื่อเสียงของท่านจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็มีศิษย์ไม่มากนัก ประหม่ากันเกินไป อีกเดี๋ยวหากผิดพลาดไปคงแย่แล้ว”

“เป็นเพราะข้าไม่ต้องการรับคนธรรมดาสามัญพวกนั้น ไม่อย่างนั้น ผู้คนไม่น้อยต้องคุกเข่าขอร้องข้าให้รับพวกเขาแล้ว!”

“หากพวกข้าแพ้ ก็ต้องขออภัยชื่อเสียงของอาจารย์แล้ว” ขณะเมิ่งเจียงพูด ยังยืดอกเล็กๆ ของตนอย่างภาคภูมิใจ

“อาจารย์ พูดขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ชื่อเสียงเจ้าเลย สรุปแล้วตัวตนของเจ้าเป็นใครกัน”

โจวกุ้ยหลานหันไปสนทนากับอาจารย์

“เจ้าอยากรู้ไปทำไม สตรีน่ะ ช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรก็พอ” อาจารย์ตะคอกเย็นชา ตอบกลับไป ก็ไม่สนทนากับโจวกุ้ยหลานอีก

โจวกุ้ยหลานเบะปาก “เป็นตาเฒ่า(พูดล้อเล่นเท่านั้น)ที่ไม่น่ารักเลย”

หลังจากมีปากเสียงกันสองสามคำเช่นนี้ ทุกคนก็ผ่อนคลายไม่น้อย

เมื่อพวกเขาไปถึงหน้าประตู โจวกุ้ยหลานถึงพบว่าชื่อที่เขียนบนแผ่นป้าย คือสำนักบัณฑิตไป๋ลู่

ช่างเป็น…โลกนี้มันกลม(นั่นคือ บุคคลที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตไม่ปรารถนาที่จะพบกันแต่เวรกรรมก็บันดาลให้พบกันจนได้ ซึ่งไม่มีทางที่จะเลี่ยงได้)

แต่ดูบุคลิกลักษณะของสำนักบัณฑิตนี้ การก่อสร้างตึกรามสวยงาม ลูกศิษย์ข้างใน ทั้งมีอาจารย์มาดขรึม ดูแล้วต่างก็ไม่ธรรมดา

แล้วมองทางตัวเอง อาจารย์หลังค่อม รองเท้าที่สวมใส่อยู่ตรงนี้มีรู ตรงนั้นมีรอยปะชุน ดูแล้วช่างซอมซ่อจริงๆ

ส่วนพวกลูกศิษย์นั้น เพราะเสื้อผ้าบุนวมที่โจวกุ้ยหลานสั่งทำให้พวกเขาก่อนหน้านี้ พวกเขาจึงพอไปวัดไปวา ไม่ได้อับอายต่อหน้าเครื่องแบบสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ เพียงแต่รองเท้า…อ๊ะ ไม่พูดดีกว่า

หลังจากนี้ ต้องซื้อรองเท้าให้พวกเขาคนละสองคู่…

โจวกุ้ยหลานใคร่ครวญในใจ เดินไปข้างหน้า พบว่ามีผู้คนไม่น้อยทักทายอาจารย์ อาจารย์ก็ตอบกลับแต่ละคนหนึ่งประโยค สุภาพกับคนโดยรอบ แต่ไม่ได้กระตือรือร้น

ตลอดทางมานี้ เจอกับสำนักบัณฑิตถึงสิบกว่าแห่ง นางถึงพบว่า สถานะของอาจารย์นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อพบเห็น จะต้องคำนับ แม้แต่อาจารย์เคราขาวบางคน ก็เรียก “ท่านเจิ่ง” ด้วยความเคารพ

เพิ่งนั่งลงที่ที่นั่งของสำนักบัณฑิตพวกเขา ก็มีลูกศิษย์สำนักบัณฑิตไป๋ลู่ส่งกาน้ำชามาให้ทันที ตามติดมาด้วย ลูกศิษย์คนที่สอง ถือถาดที่มีแก้วสิบกว่าใบ แล้ววางตรงหน้าพวกเขาทีละใบ ทั้งยังช่วยพวกเขารินน้ำให้เรียบร้อย

โจวกุ้ยหลานเหลือบมองแก้วชาเข้มข้นใบนั้น จากนั้นส่ายหัวไปมาทันที ไม่ได้ดื่ม นางคนธรรมดาคนหนึ่ง ดื่มชาเข้มข้นเช่นนี้ไม่ไหวหรอก

คนอื่นๆ ได้กลิ่นชานี้ ก็อดไม่ได้ ทยอยยกแก้วขึ้นมา จิบอึกหนึ่ง จากนั้นแต่ละคนต่างแสดงสีหน้าพึงพอใจ

พวกเขาก็ลิ้มรสแต่ละแก้วเช่นนี้ เพลิดเพลินกันทั่วหน้า

โจวกุ้ยหลานไม่มองพวกเขา หันหน้าไป ก็เห็นบุรุษที่มีท่าทางเหมือนบัณฑิตกำลังเดินเข้ามาทางนี้

เครื่องหน้างดงาม หล่อเหลาผุดผ่อง ดวงตาฉ่ำวาว พลิ้วไหวดุจสายลม

แต่ละย่างก้าว สง่างามอย่างยิ่ง

โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ช่างงดงามไม่มีผู้ใดเปรียบ

เกรงว่าลูกศิษย์ที่นี่ ด้านกิริยาท่าทาง คงจะด้อยกว่าบุรุษคนนี้มาก

โจวกุ้ยหลานถอนหายใจ อยากดูว่าพวกเมิ่งเจียงจะถูกจู่โจมหรือไม่ ก็เห็นพวกเขาแต่ละคนดวงตาเปล่งประกาย ใบหน้าแดงระเรื่อแฝงความใคร่รู้

ช่างเป็นความงามที่ทำให้คนพลาดพลั้งจริงๆ …

โจวกุ้ยหลานเก็บสายตาคืนมาอย่างเงียบๆ พาลูกที่ยังไม่รู้ความสองคนนั่งลงกับที่ ก็ได้ยินเมิ่งเจียงแผดเสียง “หลิวห้าวหราน!”

ทำไมนางรู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหนมาก่อน

ไม่ทันที่นางจะนึกออก ก็เห็นท่านเจิ่งตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “นั่งลง!”

พวกเมิ่งเจียงตกใจมากจนเกือบกระโดดขึ้นมา เก็บสายตากลับ นั่งลง ก้มหน้า การกระทำเสร็จสรรพในอึดใจเดียว แล้วไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย