ตอนที่ 543 ไยถึงโลภทรัพย์ขนาดนี้

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 543 ไยถึงโลภทรัพย์ขนาดนี้?

พอเห็นว่าเขายังมีแก่ใจมาบ่นจุกจิกเรื่องนี้ ก่วนฟางอี๋คิดๆ ไปก็ว่าถูก ราชาหมีขนทองเชียว ความแข็งแกร่งทางกายภาพมิใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาจะเทียบได้ นางจึงเลิกสนใจเขาไปก่อน

มีเสียงสวบสาบแว่วมาจากด้านหลัง หยวนฟางหันกลับไปมอง เห็นเพียงว่ามือสังหารคนหนึ่งเปล่งเสียงครวญครางพลางขยับตัว พยายามลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เป็นมือสังหารที่ถูกเขาพุ่งชนคนนั้น

หยวนฟางมองซ้ายมองขวาทันที กลิ้งตัวคลานออกปด้านข้าง หยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าหาทันที

เกิดเสียงดังสวบ! มือสังหารคนนั้นเพิ่งจะยันตัวลุกขึ้นนั่งก็ล้มลงไปอีกครั้ง ถูกหยวนฟางแทงกระบี่เสียบอก

หยวนฟางชักกระบี่ออก จ้วงแทงอีกครั้ง ชักออกแล้วก็จ้วงแทงอีก

จ้วงแทงอยู่หลายครั้งจนกระทั่งอีกฝ่ายนอนแน่นิ่งไป หยวนฟางถึงได้ยันกระบี่หอบหายใจอยู่ตรงนั้น โลหิตไหลย้อยออกมาจากปากจมูก ช้ำในไม่เบาเลย

หยวนฟางทรุดตัวนั่งลงด้านข้าง หลังจากนำยารักษาออกมาใช้ เขายื่นมือออกไปคลำร่างมือสังหารอีกครั้ง หากคลำพบสิ่งของจำพวกตั๋วแลกเงินก็จะยัดใส่แขนเสื้อตนทันที

ก่วนฟางอี๋พูดไม่ออกเลบย

หลังผละจากลุงเฉิน ก่วนฟางอี๋ก็ค้นหาสวี่เหล่าลิ่วและเหล่าสือซานไล่ๆ กัน ต่างบาดเจ็บสาหัสหมดสติไป นางทำการรักษาไปทีละคน

สุดท้ายถึงไปตามหาหยวนกัง ครั้งนี้หยวนกังบาดเจ็บสาหัสกว่าตอนอยู่ในแดนความฝัน สลบหมดสติ มีโลหิตปริมาณมากไหลออกมาจากปากจมูก สองแขนบิดเบี้ยวเสียรูปทรงไป

พบว่ายังมีลมหายใจอยู่ ก่วนฟางอี๋หยิบลูกกลอนสมานฟ้าออกมา ขณะที่กำลังจะป้อนให้ จู่ๆ หยวนกังก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนาง

“ไม่จำเป็น” หยวนกังเอ่ยเสียงอ่อนระโหย ทว่ายังคงนิ่งสุขุม

ก่วนฟางอี๋ไม่เข้าใจ “เจ้าบาดเจ็บสาหัสมาก”

หยวนกังกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ช่วยดัดกระดูกของข้ากลับเข้าที่ก็พอ”

ก่วนฟางอี๋ร้องชิ ไม่เอาก็ตามใจ นางเก็บยาลูกกลอนไป แต่ยังคงช่วยดัดกระดูกแขนสองข้างของเขาให้เข้าที่

ถึงหยวนกังไม่บอกนางก็จะทำให้อยู่ดี มิเช่นนั้นแขนบิดเบี้ยวไปเช่นนี้ใช้เพียงยาลูกกลอนก็ไม่มีประโยชน์

ช่วงที่ดัดแขนสองข้างกลับเข้าที่ ลมหายใจของหยวนกังถี่กระชั้นขึ้นมา เจ็บจนเหงื่อตก

หลังจากดัดแขนเข้าที่จัดวางราบบนพื้น หยวนกังที่มีเหงื่อโซมหน้าหลับตาลง ลมหายใจค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเป็นจังหวะขึ้น เริ่มมีหมอกแดงไหลเข้าออกระหว่างปากจมูก ค่อยๆ มีก้อนกลมปูดขึ้นมาตรงหน้าท้อง เคลื่อนตัวขึ้นลง

ก่วนฟางอี๋เฝ้ามองด้วยความฉงนอยู่พักหนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ก็ไม่ได้เฝ้าอยู่ตลอด นางลุกขึ้นหันกลับไป ทะยานไปหาทางฝั่งหนิวโหย่วเต้า ไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป เว้นระยะห่างเล็กน้อยแล้วมองไป

หนิวโหย่วเต้าหันมามองนาง เอ่ยถาม “เจ้าปลอดภัยดีกระมัง?”

ก่วนฟางอี๋จ้องมองอิ๋นเอ๋อร์ ทั้งโกรธทั้งกลัว “จะปลอดภัยได้อย่างไร? ข้ามียันต์กระบี่สวรรค์ทั้งหมดสามแผ่น ใช้ไปแล้วสองแผ่น ทั้งหมดล้วนเสียไปกับนาง ไหนจะอาการบาดเจ็บของพวกลุงเฉินอีก หากมิใช่เพราะข้ามีลูกกลอนสมานฟ้าช่วยกู้ชีพ เกรงว่าคงไม่รอดกันหมด ลูกกลอนสมานฟ้าที่เสียไป ไหนจะยันต์เบิกบรรพตเหล่านั้นนี้ บัญชีนี้จะชดใช้กันอย่างไร?”

นางโยนความผิดทั้งหมดไปให้อิ๋นเอ๋อร์

หนิวโหย่วเต้าชี้ขึ้นบนนภา “ล้วนเป็นของเจ้าทั้งสิ้น”

ก่วนฟางอี๋เงยหน้ามอง ผงะไป บนฟ้ามีวิหคยักษ์สิบตัวบินวนเวียนอยู่ ในกลุ่มนั้นมีอินทรีแดงนักล่าอยู่สามตัว นางอดะพริบตาปริบๆ ไม่ได้

“พูดจาเสียน่าฟัง แต่ไปเจ้าคิดจะจัดการอย่างไรก็ยังจัดการไปตามใจอยู่ดีมิใช่หรือ” ก่วนฟางอี๋แค่นเสียงใส่

หนิวโหย่วเต้าสั่งการ “รีบเก็บกวาดใหรียบร้อย ดูว่ายังมีผู้รอดชีวิตหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิต กำจัดศพทำลายหลักฐานซะ”

ก่วนฟางอี๋หมุนตัวกวาดมองคำนวณขอบเขตการไล่ล่ารอบทิศของอิ๋นเอ๋อร์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมาเอ่ยถามอีกครั้ง “ต้องการให้เปิดดูหน้าพวกเขา สืบประวัติที่มาหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าช่วยสลายพลังปีศาจในร่างอิ๋นเอ๋อร์พร้อมกับเอ่ยไปด้วย “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น หอจันทร์กระจ่างตอบสนองว่องไวกว่าพวกเรามาก พอคนพวกนี้ขาดการติดต่อไประยะหนึ่ง หอจันทร์กระจ่างจะตัดขาดเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาทันที ไม่มีทางสืบพบข้อมูลอันใดและไม่มีเวลาพอให้เสียต่อไปแล้ว หากหลังจากนี้ติดต่อกับทางนี้ไม่ได้ หอจันทร์กระจ่างต้องส่งคนมาตรวจสอบแน่นอน ดังนั้นอย่าโอ้เอ้ เร่งมือเข้า!”

ก่วนฟางอี๋คิดๆ ดูก็เป็นเช่นนี้จริงๆ จึงทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังเก็บกวาดรอบข้างเรียบร้อยแล้ว ในบรรดามือสังหารมีคนรอดชีวิตมาได้ไม่น้อยเลยจริงๆ แต่ก็บาดเจ็บสาหัสไปกว่าครึ่ง

ก่วนฟางอี๋ค้นพบเงื่อนงำที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ผู้ใดก็ตามที่ต่อต้านหรือเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ล้วนถูกอิ๋นเอ๋อร์สังหารทิ้ง แต่คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ต่อตายกลับไม่ถึงตาย

นางกับหยวนกังเป็นกรณียกเว้น ตัวนางเป็นเพราะใช้พลังของยันต์กระบี่คุ้มกาย ส่วนหยวนกัง สมรรถภาพร่างกายวิปริตเกินไปแล้ว

คนที่ไม่ตายยังคงต้องจัดการตามที่หนิวโหย่วเต้าบอก ปล่อยให้รอดไปไม่ได้ ดังนั้นจึงถูกก่วนฟางอี๋สังหารทิ้ง!

ภายใต้แสงตะวันรอน หนิวโหย่วเต้าคลายมือออกแล้ว

อิ๋นเอ๋อร์กลับสู่สภาพเดิมแล้วนางลืมตามองเขา ยังคงเอ่ยเรียกด้วยสีหน้าใสซื่อไร้เดียงสา “เต้าเต้า!”

หนิวโหย่วเต้าถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองทำอะไรลงไป”

อิ๋นเอ๋อร์มีสีหน้าฉงน

หนิวโหย่วเต้าชี้ทุ่งหญ้ารอบข้างที่กระจุยกระจายเละเทะ อิ๋นเอ๋อร์เหลียวมองจากนั้นก็หันกลับมามองเขา ท่าทางงุนงงไม่เข้าใจ

หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออกเลย ไม่รู้ควรจะว่าอย่างไรกับนางดี

ทันใดนั้นเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มองเห็นวิหคยักษ์ที่บินวนอยู่บนฟ้าบินเกาะกลุ่มกันเข้ามา ทยอยร่อนลงด้านข้าง

ก่วนฟางอี๋กระโดดลงมา อวดแหวนกระดิ่งสิบวงที่อยู่บนสองมือให้ดู สีหน้าตื่นเต้น ได้กำไรมหาศาลจะไม่ให้นางดีใจก็ยากแล้ว

แต่พอมองเห็นอิ๋นเอ๋อร์ก็ดีใจไม่ออกแล้ว

หนิวโหย่วเต้าหันมองดวงตะวันที่กำลังจะลาลับฟ้า ยกมือขึ้นปลดเสื้อคลุม ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกต่อหน้าก่วนฟางอี๋ที่มองมาด้วยสายตาฉงน จากนั้นก็ยกแขนเสื้อขึ้นจ่อตรงปลายจมูกแล้วสูดดม

ไม่ได้กลิ่นแปลกปลอมใดๆ เลย จากนั้นก็ยกส่องแสงตะวันตรวจสอบดู ตรวจสอบในจุดที่จำได้ว่าอวี้ชางเคยสัมผัส

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ตรงบริเวณแขนเสื้อในจุดที่อวี้ชางเคยสัมผัส มีคราบมันเลื่อมสะท้อนแสงให้เห็นนิดๆ ราวกับมีรอยเปื้อนขี้ผึ้งซึมอยู่จางๆ

“มีอะไร?” ก่วนฟางอี๋ถาม

“ข้าก็คิดอยู่ว่าแปลกๆ ทั้งที่โดยสารวิหคพาหนะมา แล้วจับพิกัดเข้าขัดขวางอย่างแม่นยำเช่นนี้ได้อย่างไร เกือยจะพลาดท่าเสียแล้ว อวี้ชางเล่นลูกไม้กับตัวข้า ตาเฒ่าคนนี้ลูกไม้แพรวพราวนัก เล็ดรอดผ่านสายตาข้าไปได้” หนิวโหย่วเต้าสสะบัดมือเล็กน้อย เสื้อคลุมแหลกสลายกลายเป็นผงปลิวตามลมไป

ก่วนฟางอี๋ถาม “แล้วตอนนี้จะเอาอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “อีกฝ่ายทราบแล้วว่าพวกเราจะไปหอไร้ขอบเขต เพราะฉะนั้นไปหอไร้ขอบเขตไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาใดขึ้นระหว่างทางอีกหรือไม่ จะให้พึ่งพานางก็ไม่อาจฝากความหวังไว้กับนางได้” เขาพยักเพยิดไปทางอิ๋นเอ๋อร์

ก่วนฟางอี๋พยักหน้ารับด้วยเข้าใจเป็นอย่างดี ราชินีปีศาจตนนี้แม้จะเก่งกาจนัก แต่จะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาตอนไหนกลับเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย พอแผลงฤทธิ์ขึ้นมาแล้วน่ากลัวยิ่งกว่ามือสังหารที่ศัตรูส่งมาเสียอีก โจมตีหมดไม่แบ่งแยกว่าเป็นมิตรหรือศัตรู

มือสังหารอย่างน้อยก็ยังพอป้องกันได้ แต่หากเผชิญหน้ากับราชินีปีศาจตนนี้จะไม่มีแม้แต่โอกาสป้องกันเลย

นางไม่ได้มียันต์กระบี่สวรรค์ไว้ใช้ปกป้องตัวมากมายถึงเพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่กล้ารับประกันด้วยว่าหลังราชินีปีศาจตนนี้โจมตีเสร็จจะยอมรามือหรือไม่ หากว่าโจมตีซ้ำเข้ามาอีก ยันต์กระบี่สวรรค์ก็ปกป้องนางไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่อาจฝากความหวังไว้กับราชินีปีศาจตนนี้ได้จริงๆ

อิ๋นเอ๋อร์ดูจะไม่ทราบเลยว่าเอ่ยถึงตนอยู่ ก้มหน้าดึงอาภร์ณ์ของตนขึ้นมาเป็นระยะๆ สอดนิ้วลอดรูบนเสื้อคล้ายจะสงสัยว่าเสื้อขาดได้อย่างไร

“ไม่ไปหอไร้ขอบเขตแล้วจะไปที่ใด? อีกฝ่ายความไม่มีทางยอมเมตตารามือไป”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ให้พวกเขาไปหาสถานที่ซ่อนตัวก่อน ส่วนพวกเราจะกลับไปที่เมืองหลวงแคว้นฉี ไปคิดบัญชีไปตาเฒ่าอวี้ชางคนนั้นกัน”

ก่วนฟางอี๋เบิกตากว้าง “กลับเมืองหลวงแคว้นฉี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “บ้าหรือ? เจ้าวางใจเถอะ ไม่ได้บ้า ก่อนหน้านี้ยังไม่แน่ใจเต็มที่ ยังคิดอยู่ว่าอยากหาสถานที่ปลอดภัยสักแห่งเพื่อตั้งหลัดกก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ในเมื่อแน่ใจแล้ว เช่นนั้นก็ปะทะกันซึ่งๆ หน้าเลยดีกว่า ได้รับแล้วไม่ตอบกลับนับว่าเสียมารยาท…หยวนฟางกำลังทำอะไรอยู่?” สายตาเขาจ้องมองไปที่หยวนฟางซึ่งกำลังวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนทุ่งหญ้าแม้ว่าจะเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกก็ตาม

ก่วนฟางอี๋หันไปมองเล็กน้อย “เขาบอกว่าเรื่องทำลายซากศพยกให้เป็นหน้าที่เขาได้เลย เขาบอกว่าเขาสมณะ ต้องการสวดส่งคนตายไปสู่สุขคติ”

สู่สุขคติหรือ? หนิวโหย่วเต้าสงสัย “สมณะหรือ? คิดจะหลอกใครกัน เขาจะจิตใจขนาดนี้เชียวหรือ?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ดูเหมือนจะค้นหาทรัพย์สินที่ติดตัวศพน่ะ ขนาดบาดเจ็บก็ยังใส่ใจของเหล่านั้นอีก เพื่อสิ่งนี้แล้วเขามานะไม่ย่อท้อไม่สนใจอาการบาดเจ็บเลย ข้ายอมใจเขาเลยจริงๆ ปกติแล้วข้าก็ไม่ยักยอกหักเงินเขาเลย อีกทั้งไม่เห็นว่าเขาจะเอาเงินไปใช้ทำอะไร แล้วไยถึงโลภทรัพย์ขนาดนี้เล่า?”

“ฮ่าๆ! เป็นเช่นนี้จริงๆ” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

จากนั้นทางนี้ก็ดำเนินการอพยพอย่างรวดเร็ว พาตัวทั้งสี่คนที่บาดเจ็บสาหัสขึ้นหลังวิคยักษ์ ถึงจะมีวิหคยักษ์มากมาย ทั้งสามคนก็สามารถใช้พลังควบคุมดูแลได้

หลังออกห่างจากที่นี่ไปก็ไปเสาะหาหุบเขาเร้นลับแห่งหนึ่งเพื่อซ่อนตัว

ทั้งกลุ่มสูญเสียช่องทางสื่อสารกับโลกภายนอกไปแล้ว ปีกทองในกรงที่เหล่าสือซานพกติดตัวมาถูกอิ๋นเอ๋อร์ซัดปีกโจมตีจนเละเป็นเนื้อบดไปแล้ว ถูกซัดตายหมด จำเป็นต้องสร้างช่องทางสื่อสารขึ้นมาใหม่

หลังจากจัดแจงคนที่เหลือเรียบร้อยแล้วก็ทิ้งหยวนฟางไว้คอยดูแลคนอื่นๆ

หยวนฟางรู้สึกเหมือนแบกรับภาระหน้าที่อันหนักหนาขึ้นมาในทันใด “เต้าเหยี่ย พวกท่านจะไปไหนขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไม่ต้องถามและไม่ต้องคาดเดา เฝ้าดูแลพวกเขาให้ดีก็พอ”

หยวนฟางเอ่ยอย่างค่อนข้างขลาดกลัว “เต้าเหยี่ย หากท่านกับหงเหนียงไปแล้ว ทางนี้มีแต่คนบาดเจ็บในสภาพเช่นนี้ ข้าคนเดียวเกรงว่าจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง หากว่าคนของหอจันทร์กระจ่างไล่ตามมา ข้าต้านไม่อยู่นะขอรับ!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าตัดขาดเบาะแสในการสืบค้นของพวกเขาแล้ว น่าจะหาตัวพวกเจ้าไปพบอีก หากตามมาจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องขัดขืน ปล่อยให้พวกเขาจับไปได้เลย จับไปได้ไม่นานเดี๋ยวพวกเขาก็ต้องปล่อยแล้ว”

หยวนฟางสับสนไม่เข้าใจ

หนิวโหยวเต้าไม่ได้พูดมากอีก ขึ้นวิหคพาหนะตัวหนึ่งฝ่ารัตติกาลจากไปพร้อมกับหงเหนียง…

เมฆาครึ้มปกคลุมเหนือเมืองหลวงแคว้นฉีมีฝนตกปรอยๆ

เข้าช่วงกลางดึกแล้ว

ณ ป่าไผ่ภายในสวนไม้เลื้อย ภายในศาลาผีเสื้อจันทราตัวหนึ่งเกาะอยู่บนคานให้แสงสว่าง อวี้ชางยืนยกมือไพล่หลังอยู่ในศาลา ยืนนิ่งเงียบมานานมากแล้ว มองสายฝนที่ไหลหยดลงมาจากชายคา สภาพจิตใจไม่ต่างจากสภาพอากาศในยามนี้

ตู๋กูจิ้งทะยานกายฝ่าละอองฝนเข้ามา ยังไม่ทันเปิดปากเอ่ย อวี้ชางก็ชิงถามขึ้นมาก่อน “ยังไม่มีข่าวอีกหรือ?”

ตู๋กูจิ้งตอบว่า “ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน ณ จุดซุ่มโจมตีที่กำหนดไว้แล้ว สายสืบค้นพบสถานที่ต่อสู้แล้วขอรับ”

อวี้ชางหันกลับมา “ข้าถามว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร”

สีหน้าของตู๋กูจิ้งค่อนข้างตึงเครียด “ไม่ทราบว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร หนิวโหย่วเต้าน่าจะค้นพบแล้วว่าถูกวางลูกไม้ไว้กับตัว ตอนนี้ตัดขาดเบาะแสในการสะกดรอยตามแล้ว คนที่อยู่ทางหอไร้ขอบเขตก็ไม่พบร่องรอยการไปเยือนของหนิวโหย่วเต้า กองกำลังที่พวกเราส่งไปก็หายตัวไปหมด ติดต่อไม่ได้แม้แต่คนเดียว สถานการณ์มิสู้ดีเลยขอรับ”

อวี้ชางถามด้วยความร้อนใจ “ติดต่อไม่ได้แม้แต่คนเดียวงั้นหรือ? ไม่ส่งข่าวกลับมาเลยสักคนงั้นหรือ?”

ตู๋กูจิ้งส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ ขาดการติดต่อไปอย่างสมบูรณ์”

อวี้ชางตกใจ “เป็นไปไม่ได้ กองกำลังลอบสังหารที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ ต่อให้ข้าออกโรงด้วยตัวเอง ต่อให้มีตัวข้ามากกว่าหนึ่งคนออกโรงพร้อมกันก็ไม่มีทางที่จะสกัดต้านทั้งหมดได้ สถานการณ์ผิดปกติ ด้วยระดับพลังของคนกลุ่มนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะหนีไม่รอดเลยสักคน? คงไม่ใช่ว่ามีเจ้าศักดาคนใดคน หนึ่ง ออกโรงด้วยตัวเองกระมัง? แต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”

ตู๋กูจิ้งเอ่ยยังใช้ความคิด “อาจารย์ จิตใจอันเหี้ยมหาญของมนุษย์น่ากลัวยิ่งกว่าสภาวะ ไอ้สารเลวหนิวเจ้าเล่ห์ อาจจะเดาแผนของพวกเราออก วางกับดักที่พวกเราไม่ทราบไว้ พวกเราอาจจะตกหลุมพรางของเขาเข้าแล้วขอรับ”

บรรยากาศเงียบสงัด สองศิษย์อาจารย์เงียบงัน มีเพียงเสียงพิรุณที่โปรยปรายอยู่ด้านนอก…

………………………………………………………………………………………..