ตอนที่ 502 ยังทำตัวไม่เอาไหน
“ท่านอ๋อง อย่าเอาแต่ทอดพระเนตรสิเพคะ ! เสวยอาหาร เสวยได้เลย ! ” หลินเว่ยเว่ยมีความเป็นเจ้าบ้านอย่างสูง นางชวนแขกกินอาหารอย่างอบอุ่น “ท่านอ๋องเสวยอาหารรสเผ็ดได้หรือเปล่า ? ลองชิมแกงหมูสามชั้นสิเพคะ…”
หมินอ๋องเป็นชาวภาคเหนือ ปกติไม่เสวยของเผ็ด ขณะทอดพระเนตรแกงหมูสามชั้นสีแดงฉาน ก็คีบหมูสามชั้นขึ้นมาเสวยอย่างอดใจไม่ไหว หมูสามชั้นเนื้อนุ่ม รสชาติเผ็ดหอมสดชื่น พระองค์อดไม่ได้ที่จะชื่นชม “เผ็ดและหอมสดชื่น ทั้งยังนุ่มลิ้น กู่เหนียงทำอาหารเก่งมาก ! ”
“ท่านอ๋องตรัสชมเกินไปแล้วเพคะ ลองชิมหมูตุ๋นน้ำแดงสิเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยใช้ตะเกียบที่เอาไว้สำหรับคีบอาหาร คีบหมูตุ๋นใส่ชามของหมินอ๋อง
หมินอ๋องอารมณ์ดีขึ้นมาทันที… ‘บุตรสาว’ คีบอาหารให้พระองค์ ! เป็นเด็กน้อยที่ช่างเอาใจจริง ๆ ด้วย ! เวลากินข้าวด้วยกัน เจ้าตัวแสบที่ตำหนักก็รู้จักแต่คีบอาหารใส่ปากตัวเอง ไม่เคยสนใจว่าฟู่หวางชอบเสวยอะไร !
“อร่อย ! อร่อยกว่ากินในร้านอาหารเสียอีก ! ” หมูตุ๋นน้ำแดงจานนี้ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมไฟหรือการปรุงรสก็กำลังพอดีทั้งสิ้น กอปรกับบุตรสาวคีบให้อีก จึงเป็นธรรมดาที่จะอร่อยกว่าเดิม !
“ถ้าอร่อยก็เสวยเยอะ ๆ เลยเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยก็คีบหมูตุ๋นน้ำแดงให้ตัวเอง อืม ! พอเอามากินคู่กับข้าวขาวจากมิติน้ำพุวิญญาณแล้ว การกินข้าวก็เป็นความสุขได้ดีเลย
หลังได้ชิมอาหารทั้งหมดบนโต๊ะแล้ว หมินอ๋องก็คุมตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป ขณะเพลิดเพลินกับอาหารก็ไม่ลืมที่จะสังเกตสิ่งที่บุตรสาวชอบกิน ฮ่า ฮ่า ! เป็นบุตรสาวของพระองค์จริง ๆ แม้แต่ด้านอาหารการกินก็ยังเหมือนกัน…ไม่มีเนื้อ ไม่มีความสุข !
หลังจากหมินอ๋องเสวยมื้ออาหารแสนงดงามที่บ้าน ‘บุตรสาว’ แล้ว ขากลับยังห่อขนมซานเย่าฝูหลิงกลับไปหนึ่งกล่องเต็ม ๆ พระองค์แบ่งขนมออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกให้คนสนิทนำไปให้มารดาและภรรยาได้ลองชิม อีกส่วนหนึ่งก็นำเข้าวังด้วยพระองค์เอง
เมื่อองครักษ์ของวังหลวงเห็นพระองค์ก็ไม่แสดงท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด…ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้หมินอ๋องสามารถเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ ส่วนหมินอ๋องก็แทบจะเห็นวังหลวงเป็นตำหนักส่วนตัวอยู่แล้ว ขอแค่พำนักอยู่ในเมืองหลวง มีวันใดบ้างที่ไม่เข้าวัง เรียกว่าวันใดไม่มาเยือนก็จะทำให้ข้าราชบริพารรู้สึกแปลกใจมาก !
“ฝ่าบาท วันนี้รู้สึกอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ ? ” ตัวหมินอ๋องยังมาไม่ถึง ทว่าเสียงก็ดังเข้ามาในห้องทรงพระอักษรแล้ว
ฮ่องเต้หยวนชิงวางพู่กันลง ก่อนจะตรัสกับหมินอ๋องว่า “เข้าใจว่าเจ้ากำลังตั้งตารอคอยได้พบบุตร แต่ก็ไม่ควรมาเร่งเจิ้นทุกวันแบบนี้”
“ไม่ใช่แค่ตั้งตารอคอยได้พบบุตร แต่เป็น ‘บุตรสาว’ พ่ะย่ะค่ะ ! ” ต่อจากนั้นหมินอ๋องก็วางกล่องอาหารบนโต๊ะอ่านฎีกาของฮ่องเต้หยวนชิง“กระหม่อมนำมาให้พระองค์โดยเฉพาะ ขนมซานเย่าฝูหลิงช่วยบำรุงม้ามและกระเพาะอาหารได้ ! ”
“เจ้าไปหยิบของมาจากบ้านนางหนูหลินอีกแล้วหรือ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงหยิบขนมซานเย่าฝูหลิงรูปทรงดอกเหมยขึ้นมาทอดพระเนตร…ทั้งสีและกลิ่นไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ?
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือได้ผลจริง ๆ เพราะหลังจากเสวยเค้กพุทราแดงนั้นเข้าไปแล้ว พระอามาศัยก็รู้สึกดีขึ้นมากและเริ่มอยากอาหารขึ้นมาบ้าง ไม่รู้ว่าขนมซานเย่าฝูหลิงนี้จะให้ผลลัพธ์เดียวกันหรือเปล่า
หมินอ๋องเห็นฮ่องเต้หยวนชิงกำลังจะเสวยขนมซานเย่าฝูหลิงจึงรีบทูลว่า “ฝ่าบาท รอประเดี๋ยว ! ประเดี๋ยวกระหม่อมจะลองชิมให้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ…”
แม้ว่าหมินอ๋องจะยอมรับหลินเว่ยเว่ยเป็น ‘บุตรสาว’ แล้ว ทว่าการปรากฎตัวของบุตรสาวคนนี้ดูบังเอิญเกินไป ฮ่องเต้เผชิญกับอันตราย นางก็ยื่นมือเข้ามาช่วย ทำให้ฮ่องเต้เห็นจี้หยกสกุลจ้าวที่หายไปพร้อมทายาท พอฮ่องเต้มีพลานามัยไม่ดี นางก็ยังบังเอิญทำเค้กพุทราแดงและขนมซานเย่าฝูหลิงที่ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารได้อีก…ทุกอย่างดูบังเอิญเกินไป ทำให้หมินอ๋องอดไม่ได้ที่จะรู้สึกระแวง…บุตรสาวคงไม่ได้ถูกคนอื่นหลอกใช้ประโยชน์แล้วมาสร้างอุบายใส่ฮ่องเต้หรือสร้างความร้าวฉานระหว่างหมินอ๋องกับฮ่องเต้หรอกกระมัง ?
ฮ่องเต้หยวนชิงทราบความคิดในใจของอีกฝ่าย จึงตรัสว่า “หยูอัน บางทีเจ้าอาจจะคิดมากไปเอง…”
“กระหม่อมไม่ได้คิดมากไปเอง กระหม่อมก็แค่อยากกินขนมที่บุตรสาวทำเป็นคนแรก หรือพระองค์จะไม่สนองตอบความปรารถนาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ? ” หลังตรัสจบ หมินอ๋องก็กลืนขนมซานเย่าฝูหลิงลงไปทั้งชิ้นจนติดคอทันที
เต๋อฉวนหัวหน้าขันทีรีบรินน้ำถวายหมินอ๋อง
หมินอ๋องรีบยกขึ้นดื่มแล้วตรัสอย่างภาคภูมิใจว่า “ฝ่าบาท พระองค์เดาสิว่ากระหม่อมไปกินข้าวเที่ยงที่ไหนมา ? ”
ฮ่องเต้หยวนชิงชี้ไปที่ขนมซานเย่าฝูหลิงบนโต๊ะ “ยังต้องเดาอีกหรือ ? ขนมนี้ยังร้อนอยู่ เจ้าต้องเอามาจากบ้านของนางหนูหลินแน่นอน นางทำของอร่อยชนิดใดให้เจ้ากิน ? ”
“บุตรสาวของกระหม่อมทำอาหารเก่งที่สุดเลยพ่ะย่ะค่ะ ! หมูตุ๋นน้ำแดงทำออกมาได้มีรสชาติดั้งเดิมยิ่งกว่าหอจูฉวน ปลากระพงนึ่งก็สดมาก แล้วยังมีซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน…ยังมี ‘แกงหมูสามชั้น’ พระองค์จะต้องไม่เคยเสวยมาก่อนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ? รสชาติเผ็ดและหอมสดชื่น กินแล้วคล่องคอมาก ! ” ขณะที่ตรัสนั้นหมินอ๋องก็เลียริมโอษฐ์ เหมือนกำลังนึกถึงรสชาติของแกงหมูสามชั้น
ฮ่องเต้หยวนชิงมีพระอามาศัยไม่ดี เสวยอาหารรสจัดไม่ได้ เจ้านี่คงไม่ได้จงใจอยากให้พระองค์อิจฉาหรอกกระมัง ? เมื่อก่อนตอนอยู่แดนเหนือ พระองค์ก็เสวยของเผ็ดตลอด แต่ตอนนี้น่ะหรือ ? เสวยได้แต่ของจืด แล้วจะทำให้รู้สึกอยากอาหารได้อย่างไร ?
หมินอ๋องกำชับเต๋อฉวน “ไปเอาน้ำผึ้งมา ฝ่าบาท บุตรสาวของกระหม่อมบอกว่าขนมซานเย่าฝูหลิงนี้ หากราดน้ำผึ้งลงไปด้านบนจะอร่อยกว่าเดิม บุตรสาวของกระหม่อมบอกว่านางยังทำชาผลไม้บำรุงกระเพาะได้อีกอย่าง แค่เอามาแช่กับน้ำก็ดื่มได้แล้ว สะดวกสุด ๆ ไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮ่องเต้หยวนชิงไล่อีกฝ่ายทันที “พอแล้ว พอแล้ว ! เอาแต่พูด ‘บุตรสาวบอกว่า’ อยู่นั่นแหละ ตอนนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่านางหนูหลินเป็นบุตรสาวของเจ้า ! จริงสิ เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลต่อหน้าหมินหวางเฟยเชียวล่ะ การดีใจแค่ชั่ววูบอาจทำให้อาการของนางหนักกว่าเดิม”
เมื่อเอ่ยถึงหมินหวางเฟยแล้ว หมินอ๋องก็ดูอ่อนโยนขึ้นมาทันที เหมือนว่าเคราบนดวงพักตร์จะไม่ได้ทำให้ดูน่ากลัวอีก “กระหม่อมจะปิดปากเงียบ ! ฝ่าบาท เมื่อใดจะรู้ผลพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแทบรอไม่ไหวแล้ว ! ”
“รอไม่ไหวก็ต้องรอ ! เจ้าคงไม่อยากให้ผู้อื่นมายึดครองตำแหน่งท่านหญิงน้อยแห่งตำหนักหมินอ๋อง ส่วนบุตรแท้ ๆ ของเจ้ากับเสวี่ยเอ๋อร์ยังต้องทนทุกข์อยู่ข้างนอก” ฮ่องเต้หยวนชิงเตือนเขาสั้น ๆ จากนั้นก็ไล่อีก “เอาเถิด ! เจ้ารีบไสหัวกลับไปรอฟังข่าวที่ตำหนัก ! ”
หมินอ๋องลุกขึ้นยืน แต่ยังบ่นพึมพำ “ใครก็บอกว่าพ่อลูกมีใจสื่อถึงกัน กระหม่อมมีลางสังหรณ์ว่านางหนูหลินคือบุตรสาวที่พลัดพรากไปพ่ะย่ะค่ะ!”
“แล้วถ้าไม่ใช่ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงจงใจตั้งคำถามนี้
“ถ้าไม่ใช่…ถ้านางมีครอบครัวที่ดี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกกบฏจริง ๆ กระหม่อมก็ยินดียอมรับนางเป็นบุตรบุญธรรม…ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า ‘ถ้า’ ไม่มีอยู่จริงพ่ะย่ะค่ะ ! ” หมินอ๋องตรัสด้วยรอยยิ้ม
“หืม ? เจ้ามั่นใจขนาดนี้เชียว แล้วเมื่อครู่แย่งชิมขนมก่อนเจิ้นทำไม ? ไม่ต้องบอกว่า ‘อยากกินขนมที่บุตรสาวทำเป็นคนแรก’ อะไรนั่นหรอก ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงถลึงดวงเนตรใส่
หมินอ๋องแกล้งไอสองสามครั้ง “กระหม่อมนึกได้ว่ายังมีงานค้างอยู่ ไม่รบกวนฝ่าบาทที่กำลังจัดการงานราชกิจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะทอดพระเนตรตามแผ่นหลังที่ห่างออกไป ฮ่องเต้หยวนชิงก็แค่นสุรเสียงดัง ฮึ “งาน ? เจ้ามีงานหรือไม่ เจิ้นจะไม่รู้ได้อย่างไร ? เป็นผู้ใดที่มาขอลาหยุดจากเจิ้นสิบวัน ? เจิ้นงานยุ่งจนแทบจะแยกร่างได้อยู่แล้ว แต่เจ้าลาหยุดเพื่อไปปีนต้นไม้แอบมองเด็กสาวและยังขโมยขนมของนางมาอีก ! แก่จนสามารถเป็นท่านปู่ได้อยู่แล้ว ยังทำตัวไม่เอาไหน ! ”