ภาค-3-คลื่นใต้น้ำถาโถม ตอนที่ 53 ระทึกขวัญ ณ อุทยานหันเซียง (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เวลานี้ ภายในพระราชวังเลี่ยกงค่อยๆ สงบลงแล้ว แม้การที่ยงอ๋องฝ่าวงล้อมออกไปจะทำให้สำนักเฟิงอี้ยุ่งยากอย่างมาก แต่ก็ลดทอนขุมกำลังที่ต่อต้านภายในพระราชวังเลี่ยกงเช่นกัน

เหวยอิงอาศัยป้ายคำสั่งของกองทหารราชองครักษ์ที่ถืออยู่ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก นอกจากกองทหารราชองครักษ์สามพันนายที่คุมตำหนักเสี่ยวซวงซึ่งเป็นกลุ่มที่สำนักเฟิงอี้ควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ กับกองทหารราชองครักษ์คุ้มกันตำหนักอวี้หลินซึ่งเปลี่ยนเป็นกองทหารราชองครักษ์หนึ่งพันนายของเซี่ยโหวหยวนเฟิงแล้ว กองทหารราชองครักษ์ที่เหลือล้วนถูกจัดให้สับสนยุ่งเหยิง ส่งไปดูแลแต่ละจุดของพระราชวังเลี่ยกง ขุนนางใหญ่ที่ตามเสด็จทั้งหมดล้วนถูกคุมตัวไว้ แม้แต่คนที่เอนเอียงมาทางสำนักเฟิงอี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น แน่นอนว่าขุนนางใหญ่เหล่านี้เองก็ไม่มีความจำเป็นและไม่คิดข้องเกี่ยวกับการก่อกบฏให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

เหวยอิงนำกองทหารราชองครักษ์ลาดตระเวนรอบด้าน เขาต้องแน่ใจว่าไม่มีกองกำลังที่จะต่อต้านเหลืออยู่อีก ใบหน้าที่เดิมทีสง่างามนุ่มนวลแฝงจิตสังหารอยู่เลือนรางจนไม่เหลือท่าทางสุขุมเยือกเย็นเช่นก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

เวลานี้ในใจเขาร้อนรนยิ่งนัก แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ในสมองกลับนึกย้อนเรื่องราวในวันวาน ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหวยกับสำนักเฟิงอี้ไม่เคยถูกผู้ใดล่วงรู้ ผู้ใดจะคาดคิดว่าฮูหยินเหวยเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเจ้าสำนักเฟิงอี้ หลังจากเหวยอิงถือกำเนิดไม่นานก็ถูกเจ้าสำนักเฟิงอี้จับตามองและถ่ายทอดวรยุทธ์ให้เขาอย่างลับๆ เหวยอิงไม่ทำให้เจ้าสำนักเฟิงอี้ผิดหวัง เขากลายเป็นผู้เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ เนื่องจากตระกูลเหวยเป็นกลางมาตลอด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบว่าเหวยอิงเป็นศิษย์ชายในนามเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักเฟิงอี้

เมื่อเหวยอิงเติบใหญ่ เขาก็ค่อยๆ ออกห่างจากสำนักเฟิงอี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายของอัครมหาเสนาบดี แล้วยังเป็นอัจฉริยะหนุ่มที่ทุกคนชื่นชม เส้นทางอนาคตของเขาไม่มีขีดจำกัด หากมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสำนักเฟิงอี้กลับจะทำให้ราชวงศ์คลางแคลงและกีดกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงแทบไม่เคยเปิดเผยวรยุทธ์ของตน แต่จดจ่อทุ่มเทกับการเป็นอัจฉริยะแห่งหมู่เสนาบดี ทว่าในช่วงเวลาที่ทุกสิ่งสำเร็จสมดั่งใจหมาย เขาก็พานพบกับความผิดหวังอย่างไม่คาดคิด

ไม่ว่าจะเป็นเพราะแผนการของรัชทายาท หรือการอ้างส่วนรวมทำเพื่อส่วนตัวของสำนักเฟิงอี้ เขาก็กลายมาเป็นราชบุตรเขยที่องค์จักรพรรดิเลือก เป็นคู่หมั้นคู่หมายขององค์หญิงฉางเล่อ กล่าวตามตรงเขามิได้มีความรู้สึกใดให้องค์หญิงฉางเล่อ สำหรับเขาผู้ภายนอกอ่อนน้อมแต่ภายในใจหยิ่งยโส องค์หญิงฉางเล่อมิใช่ภรรยาที่เขาเฝ้าฝันปรารถนา ทว่าการได้ตบแต่งกับองค์หญิงหมายความเช่นไร เขารู้ชัดเจนยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงยอมรับสิ่งที่จักรพรรดิมอบให้อย่างยินดีปรีดา ทว่าสิ่งที่ตามมากลับเป็นเรื่องน่าเจ็บแค้น องค์หญิงฉางเล่อยอมออกบวชแต่มิยอมแต่งงาน นี่ทำให้ความโกรธเกรี้ยวผุดพรายในใจของเหวยอิงผู้มีชีวิตราบรื่นมาตลอดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในปีนี้เอง เขาจึงเริ่มเข้าหาสำนักเฟิงอี้ ทว่าระหว่างนั้นเขาปิดบังหน้าตาระหว่างเคลื่อนไหวเสมอ นอกจากเจ้าสำนักเฟิงอี้ ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าใต้เท้าเหวยผู้ได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิอย่างยิ่งผู้นี้ได้กลายเป็นผู้พิทักษ์กฎซึ่งเจ้าสำนักเฟิงอี้แต่งตั้งด้วยตนเองไปเสียแล้ว

แรกเริ่มเหวยอิงยังไม่คิดก่อกบฏ เขาถึงขั้นจงใจผัดผ่อนการตัดสินใจของเจ้าสำนักเฟิงอี้อยู่หลายครั้ง สำหรับตัวเขา การจะกุมตำแหน่งเสนาบดีภายในเวลาหลังจากนี้สิบปีเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก ไม่มีความจำเป็นต้องเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้

ทว่าเมื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้เสนอแผนการนั้นขึ้นมา เขากลับปฏิเสธไม่ลง การได้องค์หญิงฉางเล่อมาครองเป็นหนทางเดียวที่จะยกฐานะเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้เจ้าสำนักเฟิงอี้กำกับละครน่าขันฉากนั้นขึ้นมา ก่อนเกิดเรื่องนั้น เขาถึงขนาดอาศัยรูปลักษณ์อันสง่างามกับวาจาอันอ่อนหวานลอบชิงหัวใจของลี่ว์เอ๋อมาครอง ด้วยเหตุที่ทุกครั้งยามองค์หญิงฉางเล่อจงใจหลบเลี่ยงเขา ลี่ว์เอ๋อจะได้รับคำสั่งให้มาบอกปฏิเสธอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหวยอิงจึงฉวยโอกาสหลอกลวงหัวใจบริสุทธิ์ของสาวน้อย

วันนั้นลี่ว์เอ๋อผู้วาดหวังเต็มหัวใจว่าจะได้แต่งเข้าตระกูลเหวยเป็นเพื่อนองค์หญิงแสร้งทำตัวเลอะเลือนทุกอย่าง หากมิใช่เสด็จแม่ขององค์หญิงฉางเล่อเสด็จมาทัน คิดว่าองค์หญิงฉางเล่อคงถูกบีบให้แต่งงานกับเขาแล้ว แต่ในวันนั้น เหวยอิงรับรู้ว่าตนไม่เหลือโอกาสอันใดอีกต่อไป เมื่อเห็นเส้นทางที่จะเหยียบขึ้นเมฆาถูกตัดสะบั้นกลางคัน ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจแน่วแน่ ขอเพียงปกป้องรัชทายาทจนขึ้นครองราชย์ได้ ถ้าเช่นนั้นด้วยคุณงามความชอบของเขา การจะสู่ขอองค์หญิงย่อมไม่เป็นปัญหาแน่นอน

ทว่าเรื่องราวในโลกล้วนมิเป็นดั่งใจคน มิทราบว่ายงอ๋องมองทะลุแผนลวงอันไร้ช่องโหว่ของเขาได้เช่นไร จึงเสี่ยงอันตรายฝ่าวงล้อมออกไปสำเร็จ นี่ทำให้ในใจเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แม้หลี่หันโยวบีบบังคับเอาตราทหารมาเคลื่อนกองทัพตระกูลฉินไล่ล่าตามจับยงอ๋องได้แล้ว แต่หากล้มเหลวขึ้นมาเล่า

เหวยอิงมิเคยกลัดกลุ้มและกังวลเช่นนี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้ ระหว่างกำจัดกองกำลังที่ขัดขืน เขาจึงลงมืออย่างโหดเหี้ยมไร้หัวใจอย่างที่มิเคยเป็น ตลอดทางผ่านมีขุนนางสิบกว่าคนแล้วที่ถูกเขาสังหารเพราะขัดขืน โลหิตย้อมทั่วอุทยานของพระราชวังเลี่ยกง

สิ่งที่ทำให้เหวยอิงขุ่นเคืองก็คือ หลังจากพวกหลี่หันโยวกับเซียวหลานหารือกันเสร็จ ยังไม่ทันบอกเขา ก็จับหลู่จิ้งจงเส้าฟู่ขององค์รัชทายาทไปกักตัวในตำหนักอวี้หลิน สาเหตุเพราะเหล่าสตรีสำนักเฟิงอี้ล้วนรู้สึกว่าหลู่จิ้งจงจะกลายเป็นศัตรูในอนาคต แทนที่จะปล่อยให้หลู่จิ้งจงมีโอกาสก่อกวนจากตรงกลางทำให้สำนักเฟิงอี้เสียผลประโยชน์ มิสู้ฉวยโอกาสสังหารเขาเสีย โชคดีที่เหวยอิงรีบเร่งมาทันเวลา แต่ไม้ก็กลายเป็นเรือไปแล้ว ในเมื่อล่วงเกินหลู่จิ้งจงแล้วย่อมมิอาจล่วงเกินหลี่หันโยวกับเซียวหลานได้อีก เหวยอิงจนปัญญา จึงได้แต่ยอมให้หลู่จิ้งจงถูกกักตัวไว้ชั่วคราว ทว่าการกระทำที่ไม่สนใจสถานการณ์ภาพรวม การใหญ่ยังไม่ทันสำเร็จก็ตัดแขนขาทิ้งก่อนของเหล่าสตรีสำนักเฟิงอี้ เหวยอิงเองชิงชังยิ่งนัก

ระหว่างที่เขาลาดตระเวนพลางคิดว่าจะควบคุมสถานการณ์เช่นไร เหวยอิงก็เดินมาถึงอุทยานหันเซียง ทันใดนั้นในใจก็ฉุกคิดบางอย่าง สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าหลังก่อกบฏสำเร็จจะได้รับผลประโยชน์อันใดก็ไม่สำคัญเท่าได้แต่งงานกับองค์หญิงฉางเล่อ เมื่อเดินมาถึงที่แห่งนี้ เขาพลันคิดขึ้นได้ว่ายามนี้องค์หญิงฉางเล่อคงจะกำลังหวาดหวั่นกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกอยู่แน่ หากตนฉวยโอกาสไปปลอบประโลม อาจได้รับความไว้วางพระทัยจากองค์หญิง

เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาจึงมุ่งหน้าไปอุทยานหันเซียง ทหารราชองครักษ์ที่เฝ้าประตูอยู่มิใช่พรรคพวกของสำนักเฟิงอี้กับรัชทายาท แต่เมื่อเห็นเหวยอิงกลับมิกล้าขัดขวาง

ถึงอย่างไรพวกเขาก็มิใช่คนเขลา เรื่องที่เกิดขึ้นภายในพระราชวังเลี่ยกงพวกเขาย่อมรับรู้ แต่เมื่อไม่เห็นเงาของฝ่าบาทกับแม่ทัพใหญ่ฉิน กองทหารราชองครักษ์เหล่านี้จึงมิกล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการกบฏของคนในราชวงศ์ หากพวกเขายืนผิดตำแหน่งคงวายชีวา อีกทั้งในสายตาพวกเขา เหวยอิงคือผู้นำสารของฝ่าบาท ถึงอย่างไรป้ายทองควบคุมทหารราชองครักษ์ก็อยู่ในมือเขา

เหวยอิงเดินเข้ามาในอุทยานหันเซียงก็พลันรู้สึกถึงความเงียบเหงา ดอกเบญจมาศเต็มสวนส่งกลิ่นอายเปล่าเปลี่ยว เขาเดินมาถึงหน้าบันไดตำหนักบรรทมขององค์หญิง แล้วเอ่ยเสียงดัง “กระหม่อมเหวยอิงขอเข้าเฝ้าองค์หญิง”

ภายในตำหนักเงียบสงัด ผ่านไปเนิ่นนาน นางข้าหลวงท่าทางสง่าผ่าเผยอายุสามสิบกว่าปีนางหนึ่งจึงเดินออกมาตอบว่า “ซั่งอี๋สกุลโจวแห่งตำหนักชุ่ยหลวนคารวะใต้เท้า องค์หญิงเสด็จไปตำหนักเสี่ยวซวงแล้ว มิอยู่ที่นี่”

เหวยอิงอึ้งไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ภายในพระราชวงศ์เลี่ยกงยามนี้ชุลมุนวุ่นวาย โจวซั่งอี๋ปล่อยให้องค์หญิงเสด็จไปตำหนักเสี่ยวซวงได้เช่นไร”

โจวซั่งอี๋ยอบกายคำนับตอบ “บ่าวจะกล้าขัดขวางองค์หญิงได้เช่นไร องค์หญิงทรงเป็นห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาทกับพระสนมกุ้ยเฟยจึงเสด็จไปตำหนักเสี่ยวซวงแล้ว”

เหวยอิงเผยสีหน้าผิดหวังออกมา ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าสีหน้าของโจวซั่งอี๋ลุกลี้ลุกลนอยู่เล็กน้อย เรื่องราวสารพันจึงผุดขึ้นในหัว ยงอ๋องฝ่าวงล้อมแต่เจียงเจ๋อมิได้ตามไปด้วย อย่างน้อยก็ไม่มีผู้ใดเห็น ตนเองค้นซากที่พักของยงอ๋องหลังเพลิงไหม้ก็ไม่พบศพ ถ้าเช่นนั้นเจียงเจ๋อก็อาจยังอยู่ในพระราชวัง ตนเองออกลาดตระเวนจนทั่วก็ด้วยคิดจะค้นหาคนผู้นี้ ทว่าก็ยังไม่แน่ใจว่าคนผู้นี้ยังอยู่ที่นี่จริงหรือไม่จึงไม่ได้ตรวจค้นใหญ่โต เพราะไม่ว่าอย่างไรสถานการณ์ได้เปรียบของสำนักเฟิงอี้ยามนี้ความจริงแล้วประหนึ่งเงาจันทร์บนผืนน้ำ ขอเพียงมีสักคนออกมาจุดชนวนให้ลุกฮือ เกรงว่าจะคุมกองทหารราชองครักษ์เหล่านั้นไว้ไม่อยู่ เมื่อนึกถึงข่าวลือว่าองค์หญิงฉางเล่อกับเจียงเจ๋อผู้นั้นลอบมีใจให้กัน หากข่าวลือนี้เป็นจริง ถ้าเช่นนั้นเจียงเจ๋อก็อาจอยู่ในอุทายานหันเซียง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหวยอิงก็เผยรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้ข้าตรวจค้นอุทยานหันเซียงสักหน่อย ยามนี้กบฏในพระราชวังยังไม่ถูกกำจัดสิ้นซาก หากทำให้องค์หญิงตกใจกลัวขึ้นมา ข้าคงรับผิดชอบมิไหว”

โจวซั่งอี๋ตกใจยิ่งนัก นางรู้ดีว่าอุทยานหันเซียงแห่งนี้จะถูกค้นมิได้ ยามรัตติกาลเมื่อแสงเปลวเพลิงเพิ่งลุกโชน จู่ๆ ห้องบรรทมขององค์หญิงฉางเล่อก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน แม้โจวซั่งอี๋ไม่เคยพบหน้าแต่ก็ทราบว่าคนผู้นี้คือเจียงเจ๋อ ตำแหน่งเจียงซือหม่า อัจฉริยะแห่งหนานฉู่และเป็นคนสนิทของยงอ๋อง และยังเป็นคนในดวงใจขององค์หญิงฉางเล่อ ผู้ที่ประคองเขามาคือชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาที่มีบรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกผู้หนึ่ง โจวซั่งอี๋เคยได้ยินว่าข้างกายเจียงเจ๋อมีบ่าวขันทีชาวหนานฉู่อยู่คนหนึ่ง แต่คนผู้นี้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือน

ทั้งสองคนเร้นกายบุกเข้ามาในห้องบรรทมขององค์หญิง ยามนั้นมีเพียงโจวซั่งอี๋ที่อยู่ด้วย หลังจากนั้นชายหนุ่มผู้ผอมบางซูบเซียวคนนั้นก็ให้ตนกับบ่าวของเขาเฝ้าอยู่ด้านนอก เขาสนทนาลับๆ กับองค์หญิงเป็นเวลานานยิ่งนัก หลังจากนั้นองค์หญิงฉางเล่อจึงพานางข้าหลวงหลายคนกับขันทีน้อยคนหนึ่งที่ชื่อเสี่ยวลิ่วจื่อไปที่ตำหนักเสี่ยวซวง ก่อนจากไปกำชับโจวซั่งอี๋ให้ดูแลเจียงซือหม่าอย่างดีและอย่าให้ผู้อื่นพบ ทว่ายามนี้เหวยอิงต้องการค้นอุทยานหันเซียง จะทำเช่นไรดี องค์หญิงบอกไว้แล้วว่าเหวยอิงเป็นพวกเดียวกับกบฏ

สีหน้าที่เปลี่ยนไปมาของนางถูกเหวยอิงเห็นทั้งสิ้น ในใจเขาทั้งยินดีทั้งริษยา หากจับเจียงเจ๋อได้ก็เท่ากับความลับทั้งมวลของยงอ๋องตกอยู่ในกำมือ ทว่าขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปค้นตำหนักก็นึกถึง ‘เงามาร’ หลี่ซุ่นขึ้นมาได้ หากเงามารอยู่ข้างกายเจียงเจ๋อ ถ้าเช่นนั้นตนก็เท่ากับเอาตัวเองไปติดกับดัก เหวยอิงยังไม่ได้รับรายงานจากเหวินจื่อเยียน จึงมิทราบว่าเสี่ยวซุ่นจื่อฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว เงามารภักดีต่อเจียงเจ๋อ เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้กันทั่ว มิรู้ว่าคนเท่าใดต่างเสียดายเพราะเหตุนี้

เหวยอิงไม่ใจกล้าพอจะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเช่นนั้น จึงตัดใจออกคำสั่ง “ไปเรียกทหารราชองครักษ์มาล้อมที่นี่ แล้วไปหาชายารองหลานเรียกมือกระบี่ที่นั่นมาสองสามคน” เดิมทีเพื่อเลี่ยงความสงสัย เขาจึงไม่ให้มือกระบี่สำนักเฟิงอี้อยู่ข้างตัว ทว่าตอนนี้หากไม่มีมือกระบี่ผู้ดุร้ายเหล่านั้น เขาก็ไม่วางใจจะบุกเข้าไปทั้งอย่างนี้

ตอนต่อไป