เสียงฝีเท้าหยุดลงหน้าประตู ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงรื่นหูก็ดังขึ้น “เซี่ยโหวหยวนเฟิงขอเข้าพบ”
ข้าตกตะลึงหันไปมองต่งเชวีย มีดสั้นเล่มหนึ่งร่วงลงมาอยู่ในมือข้างขวาของเขาอย่างเงียบงัน ข้าถอนหายใจในใจ หากเสี่ยวซุ่นจื่ออยู่ด้วยคงจับตัวเซี่ยโหวหยวนเฟิงได้ง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ แต่หากเป็นต่งเชวีย เกรงว่าคงจะทำมิได้ จากที่เสี่ยวซุ่นจื่อเคยประเมินไว้ วรยุทธ์ของต่งเชวียเป็นเพียงชั้นรอง แม้แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก แต่หากเริ่มใช้อาวุธก็ยังพึ่งไม่ได้ การที่ให้เขาอยู่ปกป้องข้าเป็นเพราะหากเป็นคนอื่นจะไม่เหมาะ แล้วอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะเขาชำนาญกลเม็ดมากมาย นี่ต่างหากเป็นจุดที่ข้าคิดพึ่งพาเขา กลับกันหากเกิดประมือกันขึ้นมาจริง ต่อให้เสี่ยวซุ่นจื่ออยู่ก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นข้าจึงจำใจใช้ต่งเชวีย แต่ตอนนี้ดันตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว
ข้าให้สัญญาณผ่านสายตาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้าเซี่ยโหวเชิญเข้ามา”
ประตูเปิดออก เซี่ยโหวหยวนเฟิงผู้สวมอาภรณ์องครักษ์สีเหลืองทั้งร่างเดินเข้ามาแล้วค้อมกายคำนับ “นับแต่ครั้งก่อนใต้เท้าเมตตาละเว้นชีวิต เซี่ยโหวก็นึกถึงใต้เท้าอยู่ตลอด”
ข้าเอ่ยอย่างเย็นชา “ใต้เท้าเซี่ยโหวกล่าวเกินไปแล้ว ครั้งก่อนได้ใต้เท้าบอกตัวจริงของคนร้ายที่ลอบสังหารเจียงเจ๋อ นั่นเป็นเจตนาดีของใต้เท้า ผู้แซ่เจียงจะมอบโทษตอบแทนคุณได้เช่นไร วันนี้ใต้เท้ากำความเป็นความตายของผู้แซ่เจียงไว้ในมือ มิทราบเรื่องในวันวานยังมีอันใดน่าเอ่ยถึงอีกหรือ”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเผยรอยยิ้มจนยิ่งแลดูเปล่งประกายประหนึ่งหยก เขาเอ่ยว่า “แม้พวกเหวยอิงจะชาญฉลาดไม่เลว แต่เรื่องนี้กลับบกพร่องอยู่บ้าง หากเซี่ยโหวเป็นผู้คุมการตรวจค้น จักต้องส่งคนมาเฝ้าจับตาเพิ่มสักครึ่งวัน ป้องกันไม่ให้มีผู้ใดหลบอยู่ในช่องลับหรือกลับมาที่นี่”
ต่งเชวียขมวดคิ้ว เขาก็รู้หลักการข้อนี้ดี แต่เวลากระชั้นชิด อีกทั้งเขากังวลว่าสกัดจุดเจียงเจ๋อนานเกินไปจะเกิดอันตราย
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเห็นสภาพ สีหน้าก็ยิ่งอ่อนโยน สายตาหยุดอยู่ที่พระราชโองการลับบนผืนผ้าแพรที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ขอถามใต้เท้าเจียง มิทราบท่านหารือกับองค์หญิงไว้เช่นไร ความจริงแม้ตอนนี้ยงอ๋องหนีพ้นอันตรายได้ชั่วคราว แต่เหวินจื่อเยียนก็กำลังไล่ล่าสังหารอยู่ หากไม่มีกองหนุน ช้าเร็วยงอ๋องก็คงติดกับ ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าใต้เท้าเจียงจะแก้สถานการณ์เช่นไรจึงจะสมฐานะหัวหน้าผู้วางกลยุทธ์ของยงอ๋อง”
สีหน้าข้าค่อยๆ กลับมาสุขุม แต่ไหนแต่ไรหากสถานการณ์ถึงยามตึงเครียดจริงๆ ข้ากลับจะยิ่งเยือกเย็น ข้าเลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าเซี่ยโหวเป็นถึงคนสนิทของรัชทายาท เหตุใดไม่พาทหารราชองครักษ์มาจับตัวผู้แซ่เจียงเล่า นี่เป็นคุณงามความชอบยิ่งใหญ่เชียวนะ”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงขยับยิ้ม “ยามนี้รัชทายาทพึ่งพาสำนักเฟิงอี้ กระทั่งสำนักเฟิงอี้กักตัวหลู่เส้าฟู่ไว้ รัชทายาทยังมิกล้ายุ่ง ต่อให้ข้าสร้างความชอบใหญ่หลวงยังจะมีประโยชน์อันใด ยิ่งไปกว่านั้น เงามารยังมีชีวิตอยู่ หากข้ามอบท่านให้รัชทายาท น่ากลัวว่าอีกไม่กี่วัน ชีวิตนี้ก็คงต้องปลิดปลิวตาม”
ข้านึกสงสัยในใจ นี่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่เขาจะปล่อยข้า เวลากระชั้นชิด ข้าไม่ยินดีจะอ้อยอิ่งกับเขาอีก จึงเอ่ยว่า “แม้เสี่ยวซุ่นจื่อวรยุทธ์สูงส่งแต่ก็ตัวคนเดียว ใต้เท้าเซี่ยโหวอนาคตจะเป็นขุนนางยศสูง ยังจะกลัวเขาทำอันใด มิทราบใต้เท้าเซี่ยโหวหวังจะให้ผู้แซ่เจียงทำอะไรให้ท่านเล่า”
สีหน้ายินดีปรีดาปรากฏบนใบหน้าเซี่ยโหวหยวนเฟิง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ความต้องการของข้าง่ายดายยิ่งนัก หากใต้เท้าเจียงยอมสละของรัก มอบเงามารให้เป็นทาสของข้า วันนี้เซี่ยโหวจักแลกชีวิตปกป้องใต้เท้าให้ปลอดภัย”
ข้าพลันรู้สึกว่าในสมองเกิดเสียงดังตูม เกือบจะสูญเสียสติปัญญา โชคดีต่งเชวียดันข้าเบาๆ ทันเวลา ข้าจึงอดกลั้นโทสะเอ่ยตอบ “แม้เสี่ยวซุ่นจื่อกับข้าภายนอกจะเป็นนายบ่าว แต่แท้จริงรักกันดุจร่วมสายเลือด คำขอนี้ของใต้เท้าเซี่ยโหวมากเกินไปแล้ว”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงยิ้มละไมเอ่ยว่า “เงามารมองใต้เท้าเจียงประหนึ่งบิดา ภักดีไม่มีสอง เซี่ยโหวอิจฉายิ่ง หากใต้เท้าเจียงอยู่ในกำมือข้า เงามารก็คงฟังคำสั่งข้าเช่นเดียวกัน”
ข้าเอ่ยอย่างเย็นชา “ใต้เท้าเซี่ยโหว ท่านประมาทเกินไปแล้ว ท่านมิควรมาด้วยตนเอง”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเหลือบมองต่งเชวียแล้วส่ายหน้า “เขามิใช่คู่ต่อสู้ของข้า หากไม่ทราบมาว่าหลี่ซุ่นคุ้มกันยงอ๋องหนีออกไป ข้าคงมิกล้ามาจับท่านเพียงลำพัง ใต้เท้าเจียงโปรดวางใจ ข้าไม่มีทางส่งท่านให้รัชทายาทกับสำนักเฟิงอี้ ใต้เท้าเจียงฉลาดเหนือผู้ใด เซี่ยโหวอยากน้อมรับคำสั่งสอนยิ่งนัก”
ในตอนนี้เองต่งเชวียก็ลงมือ ประกายวาบวับสายหนึ่งแทงเข้าใส่เซี่ยโหวหยวนเฟิง เซี่ยโหวหยวนเฟิงกลับไม่ตระหนก แทงกระบี่สวนเข้าประจัน ทั้งสองคนต่อสู้กัน เงาร่างพุ่งฉวัดเฉวียนในห้องบรรทม ประกายกระบี่ว่องไวดุจดาวตก ทั้งสองคนล้วนไม่ต้องการส่งเสียงดังให้ผู้อื่นล่วงรู้ ดังนั้นจึงล้วนยั้งมืออยู่ ผ่านไปไม่นานต่งเชวียก็เริ่มสู้ไม่ได้ ข้อเด่นของเขาเดิมก็ไม่ใช่ด้านวรยุทธ์ เมื่อประจันหน้ากับเซี่ยโหวผู้มีวรยุทธ์เหนือกว่าเขามากยิ่งไม่มีโอกาสชนะ
ผ่านไปอีกไม่กี่กระบวนท่า เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็แทงกระบี่ทะลุต้นขาของต่งเชวีย ชั่วจังหวะที่ต่งเชวียล้มลงกับพื้น ในตอนนั้นเอง ปลายหางตาของเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็เหลือบเห็นเจียงเจ๋อถือกระบี่สั้นเล่มหนึ่งไว้ในมือหมายจะแทงเข้าที่หน้าอก เขาร้อนใจรีบทะยานร่างมาหาเจียงเจ๋อ สำหรับเขาแล้ว เจียงเจ๋อจะตายมิได้
ระหว่างห้วงเวลาวิกฤติ เขาพลันเห็นประกายวาววับพุ่งออกมาจากเอวของเจียงเจ๋อ เซี่ยโหวหยวนเฟิงตื่นตกใจ คิดจะขยับหลบแต่ตัวอยู่กลางอากาศจึงมิอาจหลบได้ ยิ่งไปกว่านั้น ประกายวาววับสายนั้นไม่เพียงรวดเร็วประหนึ่งลำแสง แต่มุมที่พุ่งออกมาก็หลบยากอย่างยิ่ง แม้เซี่ยโหวหยวนเฟิงจะหลบสุดความสามารถแล้ว แต่เกือบครึ่งของอาวุธก็ยังพุ่งมาต้องร่างของเขา เซี่ยโหวหยวนเฟิงโจมตีหนึ่งฝ่ามือสวนออกมาโดยสัญชาตญาณ เจียงเจ๋อล้มหงายไปด้านหลัง ทว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็พลันรู้สึกว่าทั้งร่างอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ทรุดลงกองกับพื้นอย่างบังคับตัวเองมิได้
ตอนนี้เอง ต่งเชวียจึงโถมเข้ามาอย่างตื่นตระหนกแล้วก้มลงไปดูสภาพของเจียงเจ๋อ
ข้าได้สติกลับมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นสีหน้าหวาดผวาของต่งเชวียก็เอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่เป็นอันใด จับคนไว้ได้หรือไม่”
ต่งเชวียแย้มรอยยิ้ม “อาวุธลับของคุณชายร้ายกาจจริงๆ เซี่ยโหวหยวนเฟิงโดนเข้าก็ขยับไม่ได้ในทันที”
ยามนี้ข้าถึงโล่งอก เมื่อครู่ข้าคิดอยู่ตลอดว่าจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ลำบากอย่างไร เพราะข้ารู้ว่าต่งเชวียมิใช่คู่ต่อสู้ของเซี่ยโหวหยวนเฟิง หนทางรอดเพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่เซี่ยโหวเหยวนเฟิงมาตามลำพัง ข้ามิใช่คนโง่ วรยุทธ์กับสติปัญญาเช่นเสี่ยวซุ่นจื่อนับว่าหายากยิ่ง ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ยอมก้มหัวให้ข้า มิรู้มีคนเท่าใดขุ่นเคืองเขาและมิรู้มีคนเท่าใดอยากซื้อใจเขา แต่ติดอยู่ที่ยงอ๋อง เซี่ยโหวหยวนเฟิงมีใจทะเยอทะยานไม่น้อยถึงกับอยากได้ตัวเขา แต่ก็เพราะสาเหตุนี้ เขาจึงมิส่งตัวข้าให้สำนักเฟิงอี้ ในเมื่อเขามาเพียงลำพัง ถ้าเช่นนั้นขอเพียงจับตัวเขาไว้ได้ ข้าย่อมปลอดภัย แต่นี่เป็นเรื่องยากที่สุด ข้าบัณฑิตอ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่คนหนึ่งจะมีวิธีการใดจับตัวยอดฝีมือชั้นเลิศผู้หนึ่งเล่า
โชคดีในที่สุดข้าก็คิดหาวิธีได้ ในเมื่อเขามีสิ่งที่ต้องการ ถ้าเช่นนั้นเขาย่อมมิอาจปล่อยให้ข้าจบชีวิตตนเอง ดังนั้นข้าจึงใช้จังหวะที่ต่งเชวียพ่ายแพ้ ถือกระบี่จะจบชีวิตตน ในมุมมองของเขา การกระทำเช่นนี้ย่อมสมกับที่ข้าเป็นกุนซืออันดับหนึ่งของยงอ๋อง นั่นคือยอมตายมิยอมถูกหยามเหยียด ดังนั้นเขาจึงทะยานเข้ามาช่วย แม้เขาจะใช้วิธีการอื่นซัดกระบี่สั้นของข้าจนร่วง แต่ก็ต้องรีบเร่งมาห้ามข้าแน่นอน ข้าจึงฉวยโอกาสนั้นยิงเข็มพิษที่ซ่อนอยู่ในเข็มขัดหยกตรงเอว เข็มพิษเหล่านั้นเดิมทีฉาบพิษร้ายของต้นยางน่อง แต่หลายวันก่อนข้าเปลี่ยนเป็นพิษชาชนิดหนึ่งที่เพิ่งทำขึ้นมาได้สำเร็จพอดี พิษนั้นทำให้คนทรุดยวบได้ในชั่วลมหายใจ ทว่าเวลาออกฤทธิ์สั้นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าข้าก็ยังคงพบอันตรายดังที่คาด หนึ่งฝ่ามือที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงโจมตีสวนมาซัดโดนข้าเต็มๆ โชคดีที่ยามนั้นเขาเกือบจะหมดแรงอย่างสมบูรณ์แล้ว ข้าจึงรักษาชีวิตมาได้
ข้าลุกขึ้นมาดูเซี่ยโหวหยวนเฟิงผู้กำลังทำสีหน้าดุร้าย ข้ายังไม่วางใจนัก ทว่าข้ามอบปิ่นเหล็กนิลที่ทำขึ้นอย่างประณีตเล่มนั้นของตนให้เสี่ยวซุ่นจื่อไปเสียแล้ว ยามปกติเขามิใช้อาวุธ แต่เพื่อความปลอดภัยของเขา เมื่อคืนวานตอนฝ่าวงล้อมข้าจึงมอบปิ่นให้เขา สำหรับเขานั่นถือเป็นอาวุธที่ร้ายกาจกว่าสิ่งใดทั้งสิ้นแล้ว ดังนั้นข้าจึงดึงปิ่นที่ทำจากทองคำสามส่วนเหล็กกล้าเจ็ดส่วนซึ่งประดับอยู่ตอนนี้ลงมา ปลายแหลมของปิ่นแทงจุดลมปราณแฝงหลายตำแหน่งบนร่างเซี่ยโหวหยวนเฟิง ข้าทำเช่นนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะโจมตีสวนกลับมิได้ ตอนนี้ผู้คุมสถานการณ์กลายเป็นข้าแล้ว
ตอนต่อไป