ตอนที่ 505 ผู้ใดบอกว่าครอบครัวยากจนจะสร้างเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศไม่ได้
ก็จริง ! หมินอ๋องส่ายดวงพักตร์ “กู่เหนียง อยากทำรสอะไรก็แล้วแต่เจ้าเลย ! ” ขอแค่ไม่ดื่มยากจนเกินไป อย่างไรพระองค์ก็ต้องโน้มน้าวให้เสวี่ยเอ๋อร์ยอมดื่มได้แน่นอน
“หม่อมฉันนำแยมหลานเหมย (บลูเบอร์รี่) มาด้วยหนึ่งโถ ถ้าเช่นนั้นทำรสหลานเหมยก่อนดีหรือไม่เพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยไม่สามารถเก็บความดีใจได้ นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าพอจะมีเมล็ดเฉ่าเหมยอยู่บ้างไหม ? ถ้ามีก็ช่วยแบ่งให้หม่อมฉันได้ไหมเพคะ ? หม่อมฉันจะเพาะในลังไม้…ตอนอยู่ที่ภาคเหนือก็ใช้ลังไม้ปลูกผัก มันเติบโตได้ดีมากเลย ! ”
“น่าจะมีอยู่ ! เปิ่นหวางก็เคยปลูกเฉ่าเหมยในโรงเรือนกระจก แต่มันล้มเหลว ! กู่เหนียง ถ้าเจ้าปลูกได้ เปิ่นหวางจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม ! ” ถ้าเด็กสาวคนนี้สามารถปลูกสตรอเบอร์รี่ในกระถางได้จริง เสวี่ยเอ๋อร์ก็จะได้กินผลไม้เพิ่มอีกหน่อยในฤดูหนาว ! “พอเปิ่นหวางกลับตำหนักไปแล้ว จะให้คนเอาเมล็ดพันธุ์มาส่ง…หืม ? เตาอบของเจ้าใช่ได้แล้วหรือ ? กำลังอบอะไรอยู่ ? หอมมาก ! ”
หมินอ๋องสูดหายใจ ดวงเนตรจับจ้องไปยังที่มาของกลิ่นหอม หลินเว่ยเว่ยเปิดเตาอบเพื่อสังเกตสี พอเห็นว่าอบได้ที่แล้ว นางก็หยิบเป็ดย่างออกจากเตาสองตัว
“เป็ดย่าง ? เจ้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้แค่ไม่กี่วัน ก็เรียนทำเป็ดย่างสูตรเด็ดของหอเต๋อซุ่นได้แล้วหรือ ? เป็นเหมือนที่เจ้าพูดจริง ๆ ว่านางมีพรสวรรค์ในการทำอาหาร ! ”
หลินเว่ยเว่ยหยิบแผ่นแป้งที่ทำเสร็จแล้วมาวางด้วยต้นหอมและแตงกวาที่หั่นไว้แล้ว จากนั้นค่อยวางเนื้อเป็ดย่างที่แล่เป็นชิ้นลงไป ราดด้วยซอสรสหวานแล้วปิดทับด้วยแผ่นแป้งอีกรอบ นางนำเป็ดย่างที่ห่อเรียบร้อยแล้วยื่นให้หมินอ๋อง…แม้จะรู้ว่าควรให้ฮ่องเต้เสวยก่อน แต่นางกลัวว่าหากเสวยแล้วเป็นอะไรขึ้นมา ต่อให้นางมีเก้าชีวิตก็ไม่พอให้ชดใช้หรอก
หมินอ๋องอดไม่ได้ที่จะหันไปทางฮ่องเต้หยวนชิง “ใต้เท้าหวง ข้าจะช่วยชิมแทนท่าน ! ”
หลังจากตรัสจบ ก็ยัดเป็ดย่างเข้าโอษฐ์และเคี้ยวอย่างไม่เกรงใจ เมื่อลิ้มรสอย่างละเอียดแล้วดวงเนตรก็เป็นประกายทันที พระองค์ตรัสชมว่า “วิธีกินแบบนี้ถือว่าแปลกใหม่ หากเทียบกับเป็ดย่างหอเต๋อซุ่นแล้วอร่อยกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า ! ”
“เป็ดย่างหอเต๋อซุ่น…กินอย่างไรหรือเพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยอดถามไม่ได้
“จะกินอย่างไรได้อีก ! หั่นเป็นชิ้นแล้วก็ยกมาให้นั่นแหละ” หมินอ๋องเลียนแบบการกระทำของหลินเว่ยเว่ย คือห่อเป็ดย่างอย่างไม่สันทัดแล้วยื่นให้ฮ่องเต้หยวนชิง “มาเถิด ท่านเองก็ลองชิม ! ”
หลินเว่ยเว่ยจ้องฮ่องเต้หยวนชิงด้วยความประหม่า…ทรงเป็นโอรสสวรรค์ เที่ยวเสวยของที่ไม่ได้มาจากห้องเครื่องจะดีจริงหรือ ?
หลังได้ลิ้มรสเป็ดย่างเสร็จแล้ว ฮ่องเต้หยวนชิงก็พยักดวงพักตร์ “ไม่เลว…พวกเจ้าก็ลองชิมสิ ! ”
องครักษ์หวังและเต๋อฉวนที่อยู่ด้านหลังก็รู้สึกได้รับความโปรดปรานชนิดไม่คาดฝัน พวกเขาลองห่อเป็ดย่างกินบ้าง พอกินแล้วก็เอ่ยชมหลินเว่ยเว่ยอย่างอลังการงานสร้างทันที…ถ้าสตรีนางนี้ไม่มีเจตนาอื่น ก็น่าจะเป็นท่านหญิงน้อยของตำหนักหมินอ๋อง ชมให้นางดีใจได้ก็ดีกว่าไปประจบหมินอ๋อง แล้วเหตุใดจะไม่ทำ ?
“บัณฑิตน้อย จื่อเหยียน กลับมาแล้วหรือ ? พวกเจ้ามาสนทนาเป็นเพื่อนแขกหน่อย ประเดี๋ยวข้าไปทำอาหารมาสักสองสามอย่าง ! ”
เช้าตรู่ของวันนี้ เจียงโม่หานพาหลินจื่อเหยียนไปเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนความรู้ของพวกปัญญาชน เวลานี้บัณฑิตในเมืองหลวงมีอยู่จำนวนไม่มาก งานจึงถูกจัดขึ้นโดยบัณฑิตที่คิดว่ามีความสามารถไม่กี่คนเท่านั้น เจียงโม่หานรู้สึกว่าไม่มีความหมายอะไรจึงหาข้ออ้างปลีกตัวออกจากงานเลี้ยงช่วงกลางวัน
ฮ่องเต้หยวนชิงให้เจียงโม่หานนั่งลงแล้วทำเป็นชวนคุยถึงปัญหาของราษฎรอย่างไม่จริงจัง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตอบได้อย่างคล่องแคล่วและมีข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เหมือนใคร ในพระหทัยก็ยิ่งชื่นชมมากกว่าเดิม “เจียงเจี้ยหยวน ตอนสอบเยวี่ยนซื่อเจ้าได้ที่หนึ่ง สอบเซียงซื่อก็ได้อยู่อันดับสูงสุด เจ้ามีความมั่นใจว่าจะสอบได้ที่หนึ่งของระดับฮุ่ยซื่อบ้างหรือเปล่า ? หวังสร้างตำนานเป็นเหลียนจงซานหยวน (สอบได้ที่ 1 ของทุกสนามสอบขุนนาง) หรือไม่ ? ”
สอบได้ที่หนึ่งในระดับฮุ่ยซื่อก็สร้างตำนานเป็นเหลียนจงซานหยวนได้แล้ว ? นี่เป็นคำมั่นสัญญาที่ฮ่องเต้มีต่อเขาหรือเปล่า อารมณ์ประมาณว่าขอแค่สอบได้ที่หนึ่งของการสอบฮุ่ยซื่อก็ไม่ต้องเครียดกับการสอบเตี้ยนซื่อ (สอบหน้าพระที่นั่ง) แล้ว ?
ชาติก่อนเจียงโม่หานเป็นขุนนางรับใช้ฮ่องเต้หยวนชิงมานาน 30 ปี จึงเป็นธรรมดาที่จะคุ้นเคยต่อพระอุปนิสัยของฝ่าบาท เขาจึงทูลด้วยความระมัดระวัง “บัณฑิตไม่กล้าพูดจาโอ้อวด เนื่องจากถึงอย่างไรเจียงหนานก็เป็นดินแดนแห่งความรุ่งเรือง ในเมืองหลวงมีผู้มากความสามารถประหนึ่งเมฆาที่ลอยอยู่บนท้องนภา แต่บัณฑิตต้องพยายามสุดความสามารถแน่นอนขอรับ ! ”
“คาดไม่ถึงว่าเจ้าอายุยังน้อย ก็รู้จักถ่อมตนและมีความสุขุมแล้ว ! ไม่เลว ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงรู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งอายุ 16 ปี สามารถหลีกเลี่ยงการแสดงความเย่อหยิ่งออกมาได้ ถือว่าหาได้ยากจริง ๆ
“ใต้เท้าชมเกินไปแล้วขอรับ ! ” เจียงโม่หานไม่พูดมาก เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลทรงอำนาจแล้ว เขากลับทำตัวสงบนิ่งได้เหมือนเดิม ความสงบนิ่งไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา แต่มันฝังอยู่ในนิสัยของเขาอยู่แล้ว
คาดไม่ถึงว่าครอบครัวยากจนที่ตั้งอยู่ในหุบเขาแสนห่างไกลจะบ่มเพาะผู้มีความสามารถอย่างนี้ออกมาได้ ผู้ใดบอกว่าครอบครัวยากจนจะสร้างเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศไม่ได้ ? ตรงเบื้องหน้าก็มีอยู่คนหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ ?
ฮ่องเต้หยวนชิงเผยแววพระเนตรชื่นชมออกมา ทำให้หมินอ๋องอารมณ์เสียทันที…เจ้าเด็กหน้าขาวมีดีตรงไหน ? เป็นบุรุษแท้ ๆ แต่กลับรูปงามเหมือนสตรี มือไม้ไร้เรี่ยวแรง อ่อนแอเหมือนลูกไก่ สายตาของนางหนูถูกน้ำมันเคลือบไว้หรือไร ? เหตุใดจึงชอบเจ้าหน้าขาวนี้ได้ !
“พร้อมกินข้าวแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยและหยาเอ๋อร์ยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วมาวางบนเขียงขนาดใหญ่ “ยังคงมีข้อจำกัดด้านสถานที่และเป็นอาหารพื้น ๆ ใต้เท้าหวง ท่านอ๋อง ฝืนกินหน่อยก็แล้วกัน”
“ปลากระรอกทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน หัวสิงโตน้ำแดง หมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน ไก่ผัดเผ็ด…อาหารโอชะของแดนเหนือและใต้ถูกเจ้ารวบรวมไว้หมดแล้ว นี่ยังเรียกว่า ‘ฝืน’ กินอีกหรือ ? เป็นเจ้าพิถีพิถันเกินไปต่างหาก ! ” หลังจากลองชิมแล้ว ในที่สุดฮ่องเต้หยวนชิงก็เข้าพระทัยว่าเหตุใดหมินอ๋องไม่ลืมเลือนรสชาติอาหารของเด็กสาวคนนี้ หลังได้เสวยอาหารมื้อนี้แล้ว พระองค์ก็รังเกียจฝีมือของพ่อครัวหลวงมากกว่าเดิม
“ฝ่า…ใต้เท้าหวง กระเพาะอาหารของท่านไม่ดี กินเผ็ดไม่ได้ ! ” หมินอ๋องนำจานไก่ผัดเผ็ดมาไว้ตรงหน้าของพระองค์เองเพราะกลัวว่าฝ่าบาทจะปวดพระอามาศัย “ปลาประรอกทอดราดซอสเปรี้ยวหวานนี้อร่อยดี กินปลาจะย่อยง่ายหน่อย…”
“ดูท่าทางตะกละของเจ้าสิ ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไร ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงถลึงดวงเนตรใส่พระสหาย อาหารดี ๆ มากมายขนาดนี้ ใครอยากจะแย่งไก่ผัดเผ็ดของเจ้า ?
แค่กแค่ก ! ‘ฝ่าบาท พระองค์เผลอปล่อยหางมังกรออกมาจนได้ พระองค์รู้ตัวบ้างหรือเปล่า ! ในใต้หล้านี้นอกจากฮ่องเต้แล้วยังมีผู้ใดกล้าถลึงตาใส่หมินอ๋องและตำหนิหมินอ๋องต่อหน้าคนอื่น ? ’
หลังส่งเสด็จเจ้านายทั้งสองออกไปแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็อดบ่นกับเจียงโม่หานไม่ได้ “เจ้าคิดว่าสองคนนั้นเป็นอะไรไป ? คนหนึ่งไม่ยอมอยู่ในวังดี ๆ อีกคนก็เหมือนไม่มีบ้านให้กลับ มักมาขอข้าวกินจากพวกเรา พ่อครัวในบ้านของพวกเขามีฝีมือแย่ขนาดไหนกันเชียว ? ยังไม่รีบไล่ออกไปแล้วหาคนใหม่เข้ามาแทนอีก อยากทรมานกระเพาะตัวเองหรือไร ! ”
เจียงโม่หานนั่งอยู่หน้ากระดานหมากล้อมและทรมานหลินจื่อเหยียนที่กำลังพ่ายแพ้อย่างคิดไม่ตก หลังได้ยินแบบนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา “นั่งดื่มสุราโดยไม่มุ่งเสพรสชาติของสุราอย่างไรเล่า ! ”
“แล้วมุ่งหาอะไร ? บ้านเรามีสิ่งใดคุ้มค่าให้หมินอ๋องกับคนผู้นั้นมาเยือน ? ” หลินเว่ยเว่ยมองสำรวจตัวเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ถ้าคนผู้นั้นประทับใจในตัวเจ้า ข้าก็คงไม่แปลกใจ เพราะเจ้าเป็นคนสร้างกังหันน้ำกระดูกมังกร การเขียนบัญชีรูปแบบใหม่ วิธีกรองน้ำ แถมยังสอบเยวี่ยนซื่อเซียงซื่อได้อำดับหนึ่ง คนผู้นั้นชอบคนมีความสามารถ เรื่องนี้พอเข้าใจได้ แต่หมินอ๋องกำลังคิดอะไรอยู่ ? ในตำหนักมีท่านหญิงน้อยที่อายุใกล้เคียงกับเจ้าหรือ ? อยากให้เจ้าไปเป็นบุตรเขย ? ”
พอหลินจื่อเหยียนได้ยินแบบนั้นก็โยนตัวหมากในมือใส่กระดานทันที “แบบนั้นไม่ได้ ! พี่เขยรอง ท่านจะทอดทิ้งภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ได้ ! เช่นนั้นถึงแม้ข้าจะต้องนอนร้องเรียนบนแผ่นตะปูก็จะฟ้องร้องท่านให้ได้ ! ฮึ คนนิสัยไม่ดี ฮ่องเต้จะให้ความสำคัญหรือไร ? ”
ให้สิ ! ทว่าก็เห็นเป็นเพียงดาบเล่มหนึ่ง หลังจากเอามาใช้งานแล้วก็กำจัดทิ้ง เพราะตัวเขาในชาติที่แล้วต้องเดินบนเส้นทางนั้นเช่นกัน