ฉินชิงนั่งซึมกะทืออยู่ภายในห้อง เมื่อครู่หลังจากเขาถูกหลี่หันโยวพามาส่งที่ตำหนักเสี่ยวซวง บิดาคลายจุดให้เขาเสร็จก็ตบบ้องหูเขาทันที ฉินชิงกลับพูดคำใดไม่ออก เขาจะพูดอันใดได้เล่า บิดาเตือนตนหลายครั้งแล้วว่าอย่าปล่อยให้หลี่หันโยวยุ่มย่ามกับกองทหารราชองครักษ์ แต่ตนกลับทำไม่ได้ แล้วยังปล่อยให้ผู้อื่นแย่งชิงอำนาจทหารไปอย่างง่ายดายอีก หากไม่มีกองทหารราชองครักษ์ในมือเขา ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรสำนักเฟิงอี้ก็ก่อกบฏไม่ได้ ฉินอี๋เห็นเขาหน้าหม่นหมองราวขี้เถ้า โทสะจากเรื่องอื่นที่กดเก็บไว้ก็ปะทุขึ้นมาจนลงไม้ลงมืออย่างรุนแรง โชคดีที่เว่ยกั๋วกงห้ามบิดาไว้ เขายังจำคำพูดที่เว่ยกั๋วกงเกลี้ยกล่อมบิดาได้
“ตาเฒ่าฉิน เจ้าอย่าโมโหอีกเลย ถึงอย่างไรหลานก็ยังเยาว์วัยถึงโง่เขลา หลี่หันโยวผู้นั้นเป็นถึงองค์หญิง หลานจะไม่ระแวงก็ช่วยไม่ได้ เรื่องนี้ก็ต้องโทษเจ้าด้วย ยามปกติไม่สั่งสอนให้ดี แล้วอีกอย่าง ผู้ที่พระราชทานสมรสก็คือฝ่าบาท เจ้าลงโทษรุนแรงเช่นนี้ หากฝ่าบาททราบเข้าคงลำบากพระทัย”
เป็นมาดังนี้ บิดาจึงทิ้งตนไว้ในตำหนักข้างแห่งนี้แล้วไม่ยุ่งด้วยอีก แต่ความเจ็บปวดในหัวใจฉินชิงยิ่งรุนแรง เขาหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันกับหลี่หันโยว ทุกส่วนทุกเสี้ยวเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน สตรีผู้งดงามเปล่งประกายผู้นั้นทำให้ตนหลงใหลหมดหัวใจ นางทำให้เขาลืมเลือนความยากลำบากของศึกนองเลือดในสนามรบ ลืมเลือนมิตรภาพล้ำลึกของพี่น้องสหายร่วมเป็นร่วมตาย ขอเพียงหลี่หันโยวส่งสายตาขุ่นเคืองให้เพียงชั่วแวบ เขาก็ทนไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องยอมทำ
แต่หลี่หันโยวเล่า ตลอดมาความรู้สึกที่นางมีให้ตนคือสิ่งจอมปลอม หากมิใช่เช่นนั้น เหตุใดนางไม่แม้แต่จะถามตนว่ายินดีร่วมก่อกบฏกับนางหรือไม่ นางไม่แม้แต่จะคิดเสี้ยมให้ตนก่อกบฏด้วยซ้ำ บางทีอาจเป็นเพราะนางคิดว่าตนไม่มีทางทรยศตระกูลเด็ดขาด…ใช่หรือไม่
ตั้งแต่ก่อนหน้านี้นางก็เคยบ่นเรื่องนี้มิใช่หรือ ฉินชิงเองก็ไม่รู้ว่าหากหลี่หันโยวเอ่ยปากถามตนจริงๆ ว่ายินดีร่วมก่อกบฏกับนางไหม ตนจะตอบรับหรือปฏิเสธ แต่นางก็ไม่เคยเอ่ยถาม เหมือนเช่นที่เมื่อครู่พาตนมาส่งคืนบิดา แววตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับว่าตนเป็นสิ่งของไร้ชีวิต ฉินชิงยากจะหักห้ามความเคียดแค้นที่ทะลักขึ้นมาในหัวใจ เขาคำรามเบาๆ พลางกำหมัดแน่น ฟันขบแน่นจนเลือดไหลซึม
ตัวข้าที่อยู่ในอุทยานหันเซียงกำลังตกที่นั่งลำบาก สถานที่แห่งนี้ถูกทุกคนลืมเลือน มีแต่ทหารราชองครักษ์ลาดตระเวนผ่านมาเป็นบางครั้ง แต่พวกเขาก็มิได้ใส่ใจ ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าทำอย่างลวกๆ ดูท่าอำนาจควบคุมของสำนักเฟิงอี้จะไม่แข็งแกร่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น อาหารที่องค์หญิงตระเตรียมไว้ล่วงหน้าก็เพียงพอให้ข้ากับต่งเชวียประทังชีวิต ดังนั้นเดิมทีข้าสมควรรอคอยฉากจบของเรื่องราวอยู่ในอุทยานหันเซียงได้อย่างปลอดภัย แต่ว่าข้ากลับล้มป่วย
คิดดูแล้วนี่ก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด แต่เดิมตอนข้ามาถึงพระราชวังเลี่ยกงก็ป่วยอยู่แล้ว เมื่อคืนกับวันนี้ยังลำบากตรากตรำเช่นนี้อีก หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นย่อมไม่เป็นไร แต่ข้ากลับทานทนไม่ไหว อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าข้าได้ทำทุกสิ่งที่ทำได้จนสิ้นแล้ว หลังจากจิตใจผ่อนคลาย ข้าจึงอาการทรุดจนลุกไม่ขึ้น
เมื่อคืนรีบร้อนมาอุทยานหันเซียง แม้หลบผ่านประตูวังที่ทหารราชองครักษ์คุมอยู่มาได้ แต่ไม่อาจพกยากองโตมาด้วย หมอลือชื่อก็จนปัญญารักษาหากไม่มียา ดังนั้นข้าจึงได้แต่กินยาลูกลอนที่ข้าปรุงเองสองสามเม็ดแล้วนอนหลับให้เวลาผ่านไป เมื่อข้าตื่นขึ้นมาก็เห็นต่งเชวียนั่งอยู่ด้านข้างสีหน้าวิตกกังวล ข้าถามเสียงเบาหวิว “ต่งเชวีย เซี่ยโหวหยวนเฟิงออกเดินทางแล้วหรือยัง”
ต่งเชวียตอบอย่างนิ่งสงบ “ขอรับ ศิษย์พี่ของข้าติดตามไปอารักขา ไม่มีผู้ใดมาจับพวกเราที่อุทยานหันเซียงเลย ดังนั้นแผนการของคุณชายสำเร็จแล้ว”
ข้าถอนหายใจเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ให้เจ้าหลบไปที่อื่นหรือ”
ต่งเชวียแก้ตัวด้วยเสียงเรียบเฉย “หากข้าปล่อยให้ท่านถูกคนจับไป เกรงว่าอนาคตท่านหลี่จะมาชำระแค้นกับข้า”
ข้ายิ้มเจื่อน “เสี่ยวซุ่นจื่อคงมิใช่คนไร้เหตุผลเช่นนั้นหรอกกระมัง”
ต่งเชวียขยับยิ้ม “หากพวกท่านพบหน้ากันอีกครั้ง คุณชายเป็นห่วงตัวเองว่าจะอธิบายเช่นไรเถิด ท่านให้เขาไปช่วยแม่ทัพเผย แต่ไม่บอกเขาว่าท่านจะอยู่ต่อ ข้าคิดว่าหลังท่านหลี่ทราบจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน”
ใจข้าสั่นสะท้าน สภาพยามเสี่ยวซุ่นจื่อโกรธ…อย่าไปคิดถึงมันเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำสิ่งใด แต่การรีบร้อนพุ่งกลับมาคงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะทำ เพราะไม่ว่าอย่างไรหากยงอ๋องพ่ายแพ้ ถ้าเช่นนั้นแม้ใต้หล้ากว้างใหญ่เพียงไร ตัวข้าก็คงไม่มีที่ให้หนี
ต่งเชวียลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “คุณชาย ตอนนี้ท่านป่วยหนัก ต่อให้ฉินหย่งรีบเร่งเดินทางมาช่วยจักรพรรรดิ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเกือบวัน ยิ่งไปกว่านั้นคงต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะปราบกบฏสำเร็จ หากอาการป่วยของท่านยืดเยื้อต่อไป เกรงว่า…”
ข้ารับรู้ความเป็นห่วงของเขา แต่ตอนนี้จะมีหนทางอันใดอีก ยามนี้มิได้อยู่ที่จวนยงอ๋อง แต่ยามนี้ข้ากำลังพยายามเอาตัวรอดอยู่ ข้ารู้สึกเวียนหัวตาลายจนทรุดลงนอนบนตั่งเตียงอีกหน ต่งเชวียเอ่ยอย่างเป็นกังวล “คุณชาย เป็นเช่นนี้เห็นจะไม่เข้าที หากช้าอีกสักสองสามวัน น่ากลัวว่าชีวิตของท่านจะรักษาไว้มิได้แล้ว”
ข้ายิ้มอย่างจนหนทาง แต่ไม่มีเรี่ยวแรงเอ่ยวาจาต่อ สุดท้ายก็หลับไปทั้งอย่างนั้น
ดวงตะวันอยู่กลางฟ้า ฉินหย่งเดินออกมาจากกระโจมหลังใหญ่แล้วยืดเส้นยืดสายอยู่ครู่หนึ่ง ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่มอบอำนาจควบคุมกองทัพไว้กับตน ตนย่อมมิอาจหย่อนหยานได้ ไม่รู้ว่าการเสด็จประพาสล่าสัตว์ครั้งนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร ยงอ๋องกับรัชทายาทเป็นเสมือนหนึ่งน้ำกับไฟ หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ฝ่าบาทก็คงไม่ออกราชโองการให้ท่านลุงตั้งค่ายทัพห่างพระราชวังเลี่ยกงหนึ่งร้อยลี้
ฉินหย่งมองสีท้องฟ้าแล้วกำลังจะกลับเข้ากระโจม ทันใดนั้นก็มีนายทหารมารายงานว่าคนชื่อหลี่ซุ่นเดินทางมาขอพบ ฉินหย่งตกตะลึง เขาย่อมรู้จักหลี่ซุ่น แต่ว่าคนสนิทของซือหม่าแห่งจวนยงอ๋องเหตุใดจึงมาขอพบตน ต้องรู้ว่ากองทัพนี้ของตนฟังบัญชาจักรพรรดิเท่านั้น เขาลังเลครู่หนึ่งก็ตอบว่า “เชิญเขาเข้าไปพบในกระโจม” ฉินหย่งคิดในใจว่าขอเพียงตนเรียกรวมพลองครักษ์คนสนิททั้งหมด ต่อให้คนผู้นั้นเดินทางมาหมายลอบสังหาร ตนก็น่าจะยังพอหนีเอาชีวิตรอดได้ หากตนเตรียมมือธนูไว้ กระทั่งสังหารเขาก็อาจเป็นไปได้
เมื่อหลี่ซุ่นเดินเข้ามาในกระโจมหลังใหญ่ ฉินหย่งพลันหัวใจเย็นเฉียบ ชายหนุ่มที่ยามปกติเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านผู้นี้ ตอนนี้บนร่างกลับเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง ใบหน้าเคร่งขรึมดั่งห้วงน้ำ สองตาหรี่ลง ประกายความโหดเหี้ยมอำมหิตโชนฉาย ฉินหย่งฝืนแย้มรอยยิ้มเอ่ยทักทาย “ท่านหลี่เชิญนั่ง มิทราบว่าเหตุใดท่านหลี่ไม่อยู่รับใช้ใต้เท้าเจียงที่พระราชวังเลี่ยกง แต่มาพบข้าถึงในค่าย แล้วยังมีสภาพไม่น่าดูเช่นนี้”
เสี่ยวซุ่นจื่อมององครักษ์สองฝั่งอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ข้ามิได้มาเพื่อลอบสังหาร หากแม่ทัพฉินยอมสนทนาเพียงลำพังกับข้า ถ้าเช่นนั้นคงดีที่สุด มิเช่นนั้นเกรงว่าข้าคงต้องล่วงเกิน”
องครักษ์คนสนิทสองฝั่งโกรธจัด ชักดาบกระบี่ออกมาพร้อมกัน รอเพียงคำสั่งของฉินหย่งเท่านั้น แต่ฉินหย่งรู้จักความร้ายกาจของหลี่ซุ่น หากทำให้เขาบันดาลโทสะ เกรงว่าเขาอาจลงมือสังหารตนทันที ต่อให้ตนหนีรอด องครักษ์คนสนิทเหล่านี้ของตนก็คงบาดเจ็บล้มตาย ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังของคนผู้นี้ยังมีเจียงเจ๋อผู้ครองตำแหน่งซือหม่าของยงอ๋องอยู่ แล้วก็ยังมียงอ๋องอีกคน ตนจะล่วงเกินมิได้เด็ดขาด นอกจากนี้ เพียงเห็นสภาพเขาอเนจอนาถเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ด้วยเหตุนี้ฉินหย่งจึงโบกมือเอ่ยว่า “พวกเจ้าถอยออกไป”
องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ฉินหย่งลุกขึ้นเดินมาถึงตรงหน้าหลี่ซุ่นแล้วถามว่า “ขอท่านหลี่โปรดบอกตามจริง พระราชวังเลี่ยกงเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เสี่ยวซุ่นจื่อมองเขาปราดหนึ่งแล้วตอบคำ “รัชทายาทก่อกบฏ ยงอ๋องฝ่าวงล้อมออกมาแล้วส่งข้ามาเชิญแม่ทัพเดินทางไปช่วยจักรพรรดิ”
ฉินหย่งสูดหายใจดังเฮือก “เป็นไปได้อย่างไร ทหารราชองครักษ์ล้วนอยู่ใต้การควบคุมของท่านลุง”
หลี่ซุ่นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แม้มีหลายเรื่องที่เขาคาดเดาเอา แต่ฟังจากสถานการณ์ดังกล่าว ฉินหย่งก็ทราบแล้วว่าเป็นเรื่องฉุกเฉิน เขาทรุดนั่งบนเก้าอี้ กองทหารราชองครักษ์เกิดเรื่อง แล้วสำนักเฟิงอี้ยังเป็นผู้นำการก่อกบฏ คิดดูก็รู้ว่าต้องเกิดปัญหากับฉินชิงแล้วแน่ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือ ตนมิอาจเคลื่อนทหารโดยอาศัยเพียงคำพูดได้ หากผู้คิดก่อกบฏคือยงอ๋อง ถ้าเช่นนั้นการเคลื่อนทหารครั้งนี้อาจทำให้ตกลงไปในกับดัก
หลี่ซุ่นมองเห็นความลังเลของเขา ดวงตาจึงทอประกายเย็นเยียบ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “แม่ทัพฉินยังจะพิจารณาอันใด ยงอ๋องขอเพียงให้ท่านเดินทางไปช่วยองค์จักรพรรรดิ มิได้ร้องขอให้ท่านไปช่วยเขา ยามนี้แม้องค์ชายตกอยู่ในอันตราย แต่หากท่านช่วยองค์จักรพรรดิได้ ยงอ๋องก็จะพ้นจากอันตรายเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น แม่ทัพใหญ่ฉินกับแม่ทัพฉินชิงก็ล้วนอยู่ในพระราชวังเลี่ยกง เกรงว่าพวกเขาก็คงอยู่ในวิกฤติดุจเดียวกัน”
ฉินหย่งลังเลก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่มีพระราชโองการของฝ่าบาทกับตราทหารของแม่ทัพใหญ่ หากข้าเคลื่อนทหารโดยพลการย่อมมีโทษตาย”
เสี่ยวซุ่นจื่อแค่นหัวเราะ “โทษตายหรือ ยามนี้ฝ่าบาทกับแม่ทัพใหญ่ตกอยู่ในกำมือศัตรู หากแม่ทัพฉินยังยึดติดกฎเกณฑ์เช่นนี้ น่ากลัวว่านึกเสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว”
ฉินหย่งเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ข้าจะส่งคนเดินทางไปสืบ ขออภัยที่ข้ามิอาจเคลื่อนทหารได้ทันที”
เสี่ยวซุ่นจื่อก้มหน้าลง ในดวงตาปรากฏจิตสังหารจางๆ เขารู้ดีว่าหากใช้กำลังบังคับจนฉินหย่งเกิดความรู้สึกต่อต้านจะยิ่งไปช่วยทางพระราชวังเลี่ยกงไม่ทันเวลา แต่ยามนี้ทุกนาทีที่ผันผ่าน คุณชายก็ยิ่งอันตราย ผ่านไปพักใหญ่ เสี่ยวซุ่นจื่อจึงล้วงถุงผ้าไหมใบหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อส่งให้ฉินหย่ง แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “แม่ทัพฉินโปรดดูของด้านใน”
ตอนต่อไป