บทที่ 143 ตั้งตาคอยต้อนรับนานแล้ว
Ink Stone_Romance
เมืองชิ่งหยวนไม่ได้ใหญ่และเคยถูกทหารม้าชาวจินเหยียบย่ำผ่านเช่นกัน แต่ประการแรกเพราะเป็นเส้นทางสำคัญของเส้นทางการค้า ประการที่สองแดนเหนือสงบสุขมานานปี สภาพดั้งเดิมจึงฟื้นคืนกลับมาแล้ว เวลานี้คนมาคนไปครึกครื้นยิ่งนัก
แน่นอนความครึกครื้นเช่นนี้ไม่อาจเทียบกับฝั่งใต้ได้ คนไปมาเสื้อผ้าที่สวมใส่ยากจนกว่ากันมาก ข้างทางบนถนนคนเร่ร่อนขอทานก็มากมายเช่นกัน
แต่เวลานี้ขอทานคนเร่ร่อนที่เดิมทีควรไร้เรี่ยวแรงนอนอยู่ข้างทางหรือยื่นมือขอเงินอาหารจากคนที่เข้าออกล้วนแห่ไปที่ประตูเมือง
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นต่อกันที่เจินติ้งและเหอเจียน แม้ตั้งอยู่ตรงกลางของมณฑลเหอเป่ยซี ความระแวดระวังของเมืองชิ่งหยวนก็เข้มงวดกว่าก่อนหน้ามาก
ประตูเมืองทหารม้ามากมายตรวจสอบเข้มงวด
แต่เวลานี้ทหารเหล่านี้ไม่ได้ตรวจสอบผู้คนอยู่ แต่ล้อมด้านซ้ายประตูเมือง ล้อมที่ว่างผืนหนึ่งตรงนั้นไว้ ขวางฝูงชนไม่ให้เข้าใกล้
สถานที่ที่พวกเขาล้อมติดป้ายประกาศสีแดงสดไว้ อักษรที่เขียนด้านบนก็ใหญ่มาก ประหนึ่งเช่นนี้ทุกผู้ทุกคนจะมองเห็นอ่านออก
แต่สำหรับชาวบ้านมากมายที่ล้อมอยู่หน้าประตูเมืองแล้ว ขนาดของอักษรกับการอ่านออกไม่ออกที่จริงไม่เกี่ยวข้องอันใดกันจริงๆ
ทางการก็รู้จุดนี้จึงเตรียมอาลักษณ์มาอ่านประกาศแล้ว
“ประกาศคุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวงจะมาเยือนเมืองชิ่งหยวนปลูกฝีด้วยตนเอง ทุกบ้านที่มีเด็กเล็กอายุเต็มขวบปีไปจนถึงต่ำกว่าสิบสามปี…”
เมื่อคำว่าคุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงไม่กี่คำออกมา ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็ฮือฮาทันที เสียงที่เหลือของอาลักษณ์คนนั้นก็ถูกกลบไปแล้ว
เรื่องที่ในเมืองหลวงมีคุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงคนหนึ่งปลูกฝีทำให้เด็กๆ ทั้งหลาย หลีกเลี่ยงหายนะของฝีดาษได้ แพร่ไปทั่วมณฑลเหอเป่ยซีพร้อมกับงานทหารและพ่อค้าแล้ว
ภัยฝีดาษเป็นหายนะใหญ่ในใจของคนทั้งหมด การปลูกฝีเป็นเรื่องใหญ่ที่ยังประโยชน์แก่บุตรหลานคนรุ่นหลัง
มณฑลเหอเป่ยซีด้านนี้ย่อมตื่นเต้นอย่างยิ่งเช่นกัน เพราะหมอที่ปลูกฝีได้ของเมืองหลวงน้อยจึงชักช้าผลัดไม่ถึงพวกเขาที่นี่เสียที รอมาครึ่งค่อนปีแล้ว เซียงโจวเพิ่งเชิญมาได้คนหนึ่ง นั่นด้วยเหตุเพราะเจ้าเมืองเซียงโจวมีญาติอยู่ในกรมฮั่นหลินในเมืองหลวง
เซียงโจวห่างจากเมืองชิ่งหยวนอยู่บ้าง แต่ดีร้ายก็มีหวังแล้ว ทว่าไม่นานมานี้ลือกันว่ามณฑลเหอเป่ยตงด้านนั้นจองหมอคนนี้ไว้ก่อนแล้ว เมืองชิ่งหยวนฝั่งนี้ด่ากันระงมทันที
คนมากมายล้วนเริ่มวางแผนพาเด็กๆ วิ่งตามหมอปลูกฝีคนนั้นไปแล้ว นี่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล ผู้ที่ทำได้ถึงจุดนี้มีน้อยนิดไม่กี่คน ชาวบ้านส่วนใหญ่แค่ค่าหน่อฝีไม่กี่ร้อยอีแปะก็ต้องทุบหม้อขายเหล็กถึงรวบรวมครบได้ ระหกระเหินไปต่างถิ่นยากกว่าเหยียบขึ้นฟ้าแล้ว
“พวกเราที่นี่เป็นสถานที่อะไร เป็นแดนเหนือ สถานที่ซึ่งเคยถูกโจรจินยึดครอง” มีคนเอ่ยโศกเศร้าคับแค้น
“พวกเราไม่ได้เคยถูกยึดครองนะ โจรจินแค่ผ่านไปเท่านั้น” มีคนแย้งเสียงเบา
“นั่นแล้วอย่างไร? หากไม่ใช่เฉิงกั๋วกงพาคนมากู้คืน พวกเราตอนนี้ก็ไม่นับเป็นประชาชนต้าโจวแล้ว” มีคนตะโกนเสียงดัง
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าคนทางใต้เรียกขานพวกเราว่าสุนัขเหนือแหนะ บอกว่าพวกเราเป็นสุนัขของชาวจิน”
“คงไม่มีทางคิดถึงพวกเราหรอก”
ความรู้สึกนี้กระจายติดตามข่าวการปลูกฝีมาตลอด ความรู้สึกเช่นนี้สำหรับคนที่อายุมากๆ เหมือนจะใกล้เคียงกับความรู้สึกตอนนั้นที่โจรจินยกพลใหญ่รุกราน ทหารพ่ายถอย ฮ่องเต้ทอดทิ้งหนีตาย พวกเขากลายเป็นประชาชนที่ถูกทอดทิ้ง
โศกเศร้าคับแค้น ทั้งยังสิ้นหวัง
คิดไม่ถึงว่าเวลานี้กลับได้ยินว่าคุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงจะมา
สถานที่อื่นเป็นเพียงหมอที่กรมฝีราชวิทยาลัยฮั่นหลินจัดให้ ที่นี่ของพวกเขาถึงกับเป็นคุณหนูจววิน
คุณหนูจวินเป็นใคร? คุณหนูจวินเป็นคนที่สร้างหน่อฝีขึ้นมา!
“คุณหนูจวินไม่เคยปลูกฝีเองเลยนะ กระทั่งพระโอรสพระนัดดาก็ไม่เคย”
“ไม่ผิด ฮ่องเต้เชิญคุณหนูจวิน คุณหนูจวินก็ไม่ไป”
คนเช่นนี้คนหนึ่ง คนผู้ประหนึ่งเทพเซียนถึงกับมาที่เมืองชิ่งหยวนปลูกฝีให้ลูกหลานของพวกเขา
หมอซึ่งที่อื่นเชิญเหล่านั้นเทียบกับคุณหนูจวินปุบสิ่งใดก็ล้วนนับไม่ได้แล้ว
เมืองชิ่งหยวนทั้งหมดฮือฮาประหนึ่งหม้อแตก ชาวบ้านทั้งหลายวิ่งเดินบอกต่อกันประหนึ่งข้ามปี
หน้าประตูเมืองชาวบ้านที่มุงดูประกาศต่อเนื่องไม่ขาดสาย ต่อให้เป็นชาวบ้านที่ดูไปแล้วก็มาดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
ก่อนหน้าได้พบคุณหนูจวิน ประกาศนี่ก็ประหนึ่งกลายเป็นของวิเศษ มองมากสักหลายทีจะขับไล่หายนะหลบเลี่ยงโชคร้ายได้ หากไม่ใช่นายทหารทั้งหลายกันไว้ คนมากมายก็อยากก้าวเข้าไปลูบประกาศแตะความโชคดียิ่งนัก
“หลีกหลีก หลีกหลีก”
ชาวบ้านที่มุงประกาศอยู่หลังร่างพลันผลักไสพักหนึ่งพร้อมัชกับเสียงด่าทอกระโชกโฮกฮาก
เสียงด่าทอนี่รวมถึงกำลังที่ผลักไสนี่ในฐานะชาวบ้านแดนเหนือคุ้นเคยยิ่งนัก นี่เป็นเอกลักษณ์ที่ทหารถึงมี
ในสถานที่อื่นคนของทางการทำให้คนยำเกรง แต่ที่แดนเหนือกลับเป็นทหารทั้งหลายทำให้คนยำเกรง อย่างไรความสงบสุขของที่แห่งนี้กว่าครึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะพวกเขา
ชาวบ้านทั้งหลายหลีกออกโดยไม่รู้ตัวทันที หลังหลีกออกถึงมองเข้าไป กลับเห็นไม่มีทหารสักหน่อย มีแต่บุรุษวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นหลังแบกตะกร้าสองคน
ในตะกร้าใส่ไก่กับกระต่ายไว้ ยังมีด้านในตะกร้าใบหนึ่งถึงกับแบกหมูตัวน้อยตัวหนึ่งไว้ เมื่อพวกเราเดินเข้ามาไก่กระต่ายหมูก็ร้องวุ่นวายรวมถึงกลิ่นเหม็นกำจายออกมา
นี่เป็นทหารที่ไหน นี่ก็เป็นชาวบ้านชัดๆ
ชาวบ้านทั้งหลายร้อนรนทันที
“เบียดอะไร เบียดอะไร” เสียงด่าโกรธเกรี้ยวดังขึ้น พร้อมกันนั้นคนก็ออเข้ามาใหม่อีกครั้ง
ชาวบ้านสองคนนั้นกลับเดินเข้ามาแล้ว ผนวกกับรูปร่างแล้วยังมีตะกร้าที่แบกอยู่ที่ตัวแกว่งสะเปะสะปะ ไม่เพียงไม่ถูกเบียดออกไป ตรงกันข้ามกระแทกชาวบ้านที่เบียดเข้ามา ยังไม่คนถูกป้ายทั้งตัวเต็มไปด้วยขี้ไก่
หน้าประตูเมืองเสียงตะโกนด่าวุ่นวายพักหนึ่ง ทหารที่เฝ้าหน้าประตูเมืองสีหน้าเคร่งขรึมมองมาเหมือนจะตักเตือน ความเคลื่อนไหววุ่นวายนี้ถึงผ่อนคลายลง
ชาวบ้านสองคนนั้นก้าวมายืนด้านหน้าสุดแล้ว หากไม่ใช่ทหารใช้ดาบทวนไขว้กันไว้ ก็คงแนบติดกำแพงไปแล้ว
ทั้งสองคนอ่านประกาศอย่างตั้งใจ สมาธิจดจ่อ ท่าทางยังเหมือนคิดอะไรได้ นี่ทำให้คนรอบด้านประหลาดใจนัก
ชาวเขานี่ถึงกับรู้อักษรด้วยรึ?
ความคิดแล่นผ่าน ชาวบ้านคนหนึ่งในนั้นก็รั้งสายตากลับมาจากบนประกาศ
“บนนี้เขียนอะไร” เขาถามคนข้างตัว
คนด้านข้างหวิดสำลัก
มารดามัน ไม่รู้อักษรมองตั้งใจปานนั้นทำอะไร!
แม้ไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก แต่อย่างไรก็เป็นชาวบ้านใสซื่อ การปลูกฝีเรื่องที่เป็นบุญกุศลใหญ่เป็นประโยชน์กับลูกหลานเช่นนี้ไม่ยินดีให้คนพลาดไป
ชาวบ้านเล่าเนื้อหาในประกาศเสียงฮึมๆ ให้ฟัง ที่ต้องเล่า ก็เพราะเขาก็ไม่รู้อักษรเหมือนกัน แต่หลายวันก่อนหน้านี้ตอนอาลักษณ์อ่านประกาศเขาตั้งอกตั้งใจท่องไว้จำขึ้นใจ ทุกวันท่องรอบหนึ่ง เลื่อมใสยิ่งกว่ามารดาชราของตนสวดคัมภีร์
เขาเล่าจบรอดูชาวชนบทสองคนนี้ดีใจตื่นเต้นประหนึ่งเป็นบ้า กลับเห็นชาวชนบทสองคนนี้เพียงยืนนิ่งๆ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงร้องอ้อ
“ปลูกฝีนี่เอง” คนหนึ่งในนั้นเอ่ย “นั่นดีเหลือเกิน เด็กๆ ในบ้านล้วนจะได้ปลูกฝีแล้ว”
ดีเหลือเกิน? ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเจ้าไม่เหมือนดีเหลือเกินเลยนะ? อย่างน้อยก็ตื่นเต้นหน่อยสิ
หรือว่าชาวชนบทเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เข้าใจว่าการปลูกฝีคือเรื่องอย่างไรกระมัง
“จะปลูกฝีตอนนี้ก็ไปที่ว่าการอำเภอเอาลำดับได้แล้ว” คนด้านข้างเอ่ยเตือน
ชาวชนบทสองคนร้องอ้ออีกครั้ง หมุนตัวโดยพลัน ตะกร้าชนกระแทกพักหนึ่งอีกครั้ง คนทั้งสองก็เบียดออกไปพร้อมกับเสียงก่นด่าไก่ร้องหมูร้องวุ่นวาย
“พวกบ้านนอกสองคนนี้” คนมากมายด่าอย่างไม่สบอารมณ์ “มีความสามารถก็ไปเบียดที่ต่อคิวที่โน่น ดูสิพวกเขาจะได้ไม้เป่าเตากินสักยกไหม”
แต่ที่ทำให้ทุกคนผิดคาดก็คือชาวชนบทสองคนนั้นไม่ได้เข้าเมือง แต่ตรงไปนอกเมืองออกไปแล้ว
“หรือกลับไปหารือรวมเงินก่อนกระมัง” ทุกคนคาดเดาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินประหนึ่งพระโพธิสัตว์ลดราคาการปลูกฝีมาถึงร้อยอีแปะ แต่สำหรับคนมากมายแล้ว เงินร้อยอีแปะนี่ก็ไม่ใช่จำนวนน้อย
เรื่องสอดแทรกเล็กๆ นี่ถูกทุกคนโยนทิ้งออกจากสมองอย่างรวดเร็ว เพราะวันที่สองเกิดเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง
ประกาศที่ติดอยู่ตรงประตูเมืองถูกคนขโมยไปแล้ว
คนโฉดชั่วคนไหนขโมยประกาศไปแล้ว?
ฝูงชนที่ล้อมอยู่นอกประตูเมืองเดือดดาล
เช้าตรู่คนมากมายเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ ว่างเว้นไม่มีกิจธุระก็เดินเล่นมาถึงประตูเมืองดูๆ ประกาศ ยังมีคนที่ได้ยินข่าวเดินทางมาจากที่ไกลจำนวนหนึ่งก็เตรียมมายืนยันความจริงลวง
คิดไม่ถึงในนอกประตูเมืองถึงกับคุมเข้มแล้ว ทหารมากกว่าหลายวันก่อนมาก แต่ละคนๆ สีหน้าเคร่งเครียดประหนึ่งศัตรูตัวฉกาจมาเยือน เสียงด่าของแม่ทัพก็สะเทือนจนหอประตูเมืองจะถล่มแล้ว
“นี่หรือจะถูกโจรจินจู่โจมอีกแล้วหรือ?” ชาวบ้านที่ไม่รู้สถานการณ์เอ่ยถามเคร่งเครียด
“ไม่ใช่ ประกาศถูกขโมยไปแล้ว” มีชาวบ้านที่ข่าวไวเอ่ย
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทันที
แปลกจริงๆ เพิ่งเป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าประกาศของทางการถูกขโมย ที่หายากยิ่งกว่าก็คือไม่มีใครรู้สึกว่านี่น่าขำนัก
คนที่ได้ยินข่าวนี้แทบทั้งหมดล้วนโกรธแค้น
คนที่เคยอ่านประกาศโกรธแค้นเพราะพวกเขาได้แต่คิดในใจว่าอยากลูกคลำประกาศก็พอใจแล้ว คิดไม่ถึงกลับมีคนละโมบขโมยประกาศไปเสียแล้ว
นี่ใยไม่ใช่อยากลูบอย่างไรก็ได้ลูบอย่างนั้น?
แต่ที่ยิ่งโกรธแค้นก็คือคนที่ยังไม่ทันเห็นเหล่านั้น ไม่มีประกาศแล้ว ถ้าอย่างนั้นข่าวคุณหนูจวินจะมาปลูกฝีนี่จริงหรือไม่จริงล่ะ? คุณหนูจวินจะปลิวไปไม่เห็นเหมือนประกาศนี้ด้วยไหม?
แต่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ คุณหนูจวินกลับไม่ได้ปลิวไปไม่เห็น แต่นั่งอยู่ในที่ทำการขุนนางของเมืองชิ่งหยวนแล้ว
……………………………………….