ตอนที่ 545 ตอนนี้ข้าอยากจะรับขึ้นมาแล้ว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 545 ตอนนี้ข้าอยากจะรับขึ้นมาแล้ว

ณ สวนไม้เลื้อย ปีกทองบินเข้าออกอย่างต่อเนื่อง

ภายในศาลา ณ ป่าไผ่ บางครั้งอวี้ชางเดินวนไปวนมา บางครั้งก็นั่งเงียบ เฝ้ารอมาทั้งคืนแล้ว รอคอยข่าวจากช่องทางต่างๆ มาตลอด

ตู๋กูจิ้งหิ้วกล่องใบหนึ่งทะยานลัดป่าไผ่เข้ามา ร่อนลงด้านนอกศาลา รีบเดินเข้าไป “อาจารย์ขอรับ!”

อวี้ชางมองกล่องไม้ในมือเขา มองเขาวางกล่องลงด้านหน้าแล้วเปิดออก เผยให้เห็นศีรษะหัวหนึ่ง เขาเหลือบมองลูกศิษย์เล็กน้อย ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่

ตู๋กูจิ้งมีสีหน้าเคร่งเครียด หิ้วศีรษะออกมาเผยให้เห็นใบหน้า

ม่านตาอวี้ชางหดตัว เอ่ยเสียงหลง “วั่งอวี่!”

นี่คือศีรษะของมือสังหารที่หนิวโหย่วเต้าปลิดชีพ คนในหอจันทร์กระจ่างเรียกขานว่าวั่งอวี่ ไม่มีผู้ใดทราบนามที่แท้จริง

ตู๋กูจิ้งใส่ศีรษะกลับเข้าไป จากนั้นล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ “เมื่อครู่มีชายชราคนหนึ่งจากด้านนอกบอกว่ามีคนฝากเขานำมาส่งให้ขอรับ”

อวี้ชางรับจดหมายไป แกะซองแล้วดึงกระดาษออกมา เปิดอ่านทันที ในจดหมายมีอักษรเขียนไว้เพียงไม่กี่ตัว ‘เดิมใจข้าฝักใฝ่ในจันทรา จนปัญญาจันทร์เจ้าส่องลงคลองคู!’

เขาพลิกซองจดหมายรวมถึงกระดาษดู ไม่ปรากฏชื่อผู้ส่ง

ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “อาจจะมาจากหนิวโหย่วเต้าขอรับ”

อวี้ชางมีสีหน้าตึงเครียด จ้องมองข้อความสองแถวนั้น ความหมายที่แฝงอยู่ในข้อความคือ ‘เจ้าบังคับข้าเอง’

เกิดเสียงดังสวบ! อวี้ชางขยำจดหมายในมือ เอ่ยเสียงเข้ม “เพิ่มแนวป้องกันสวนไม้เลื้อย เตรียมการให้พร้อมอพยพ!”

“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งเพิ่งจะตอบรับไป จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งทะบานเข้ามาจากด้านนอก ยืนนอกศาลาท่ามกลางฝนปรอยประสานมือเอ่ยแจ้ง “อาจารย์ ปู้สวินกับหนิวโหย่วเต้ามาขอรับ”

สองศิษย์อาจารย์ที่อยู่ในศาลาตกใจขึ้นมาพร้อมกัน อวี้ชางรีบถาม “ปู้สวินพาคนมามากน้อยเพียงใด?”

ศิษย์ด้านนอกตอบว่า “ไม่มากขอรับ ผู้ติดตามหกเจ็ดคน แต่งชุดลำลองมาด้วยรถม้าคันเดียว”

สองศิษย์อาจารย์ที่อยู่ในศาลาสบตากัน อวี้ชางคลี่จดหมายในมือออกดู ขมวดคิ้วพลางเดินกลับไปกลับมาไม่หยุด พึมพำเสมือนเอ่ยกับตัวเอง “พบหรือไม่พบกันเล่า?”

ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “อาจารย์ หากไม่พบมิใช่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเรากินปูนร้อนท้องหรอกหรือขอรับ? ปู้สวินมาด้วยตัวเอง เวลานี้ไม่สามารถหลบหนีจากไปได้ทันแล้ว หากหนีจะเป็นการเผยตัวตนของพวกเรา หนิวโหย่วเต้าก็ไม่มีหลักฐานยืนยันด้วยว่ามือสังหารที่ส่งไปคือคนของพวกเรา”

“พูดมีเหตผล!” อวี้ชางหยุดเดินพลางพยักหน้ารับ จากนั้นก็ออกคำสั่ง “ส่งคนไปตรวจสอบละแวกรอบข้าง หากปู้สวินต้องการมาหาเรื่องจริงไม่มีทางพาคนมาแค่นี้แน่”

“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งรับคำสั่ง รับจดหมากจากมืออวี้ชางไป นำออกไปพร้อมกันกล่องใบนั้น

อวี้ชางปลุกขวัญกำลังใจ ดวงตาฉายแววเย็นชา จากนั้นกระตุ้นความฮึกเหิมอีกครั้ง เดินอาดๆ ออกจากศาลาไปต้อนรับแขกผู้มาเยือน

เฉลียงทางเดินทอดยาวในสวน ปู้สวินสวมเลื้อคลุมกันลมทับชุดขันทีที่อยู่ด้านใน ยืนหลบฝนอยู่ในศาลาเชื่อมเฉลียงร่วมกับหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ ยามที่ลงจากรถม้าย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนละอองฝนไปบ้าง มีองครักษ์หลายคนกระจายตัวอยู่รอบข้าง

ได้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง ได้เห็นทิวทัศน์ที่คุ้นตา ในใจก่วนฟางอี๋รู้สึกสะท้อนใจเหลือคณา นี่คือบ้านที่นางอาศัยอยู่มานานหลายสิบปี

ณ หัวมุมหนึ่งของเฉลียงทางเดิน อวี้ชางปรากฏตัวขึ้น เดินสาวเท้าเข้ามา ประสานมือปลกๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้ดูแลหลวง!” สายตาเหลือบแลไปทางหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

ปู้สวินค้อมกายคำนับกลับ “อาจารย์อวี้ชาง มารบกวนอีกแล้ว ขออภัยอย่างยิ่ง!”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มละไมพลางจ้องมองผู้ที่เดินเข้ามา ประสานมือคำนับ

“ผู้ดูแลหลวงกล่าวหนักเกินไปแล้ว หากไม่กลัวจะเป็นการรบกวนผู้ดูแลหลวงเกินไป ข้าก็อยากจะเชิญผู้ดูแลหลวงมาเที่ยวเล่นทุกวันใจแทบขาดแล้ว” อวี้ชางยิ้มเอ่ยไปตามมารยาท พยักหน้าให้หนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย สายตาเคลื่อนไปยังร่างของก่วนฟางอี๋ มองจากตำแหน่งยืนแล้วไม่คล้ายจะใช่ผู้ติดตามจึงเอ่ยถามว่า “ท่านนี้คือ?”

ปู้สวินตอบยิ้มๆ “เจ้าของเก่าสวนไม้เลื้อย หงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีผู้มีชื่อเสียงลื่อเลือง”

“โอ้!” อวี้ชางหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เอ่ยไปว่า “ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ได้พำนักอยู่ในสถานที่งามสง่ามีสุนทรีเช่นนี้ในเมืองหลวงแคว้นฉีก็เพราะบารมีของหงเหนียง!”

ก่วนฟางอี๋เก็บซ่อนความตื่นตัวและกระวนกระวายไว้ ตีหน้ายิ้มแย้มค้อมคำนับ “น้อมพบอาจารย์อวี้ชาง”

เจ้าบ้านและแขกพูดคุยกันตามมารยาทอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอวี้ชางก็นำทางเข้าไปนั่งในศาลาด้วยตัวเอง

เมื่อเจ้าบ้านและแขกนั่งลงแล้ว ก่วนฟางอี๋เดินอ้อมไปยืนด้านหลังหนิวโหย่วเต้าด้วยความเต็มใจ วางตัวเป็นผู้ติดตาม ไม่ได้นั่งด้วย

อวี้ชางก็ไม่เป็นฝ่ายสอบถามจุดประสงค์ที่มาเยือนก่อน สุดท้ายยังคงเป็นหนิวโหย่วเต้าที่ได้รับสายตาจากปู้สวินที่ถือถ้วยชาอยู่ที่ยิ้มละไมแล้วเอ่ยเข้าประเด็นสนทนา “อาจารย์อวี้ชาง โปรดเชิญหลานชายท่านมาพบกันหน่อยได้หรือไม่?”

อวี้ชางอ้าปากค้างพูดไม่ออก หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมาเล็กน้อย ตระหนักอะไรได้แล้ว เขาถามออกไป “น้องชายไม่คิดจะรับศิษย์มิใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ตอนนี้ข้าอยากจะรับขึ้นมาแล้ว”

“อืม…” ปู้สวินที่ละเลียดจิบชาอยู่เกือบจะพ่นน้ำชาในปากออกมาแล้ว เขาฝืนบังคับสะกดไว้ถึงไม่ได้พ่นออกมา มองหนิวโหย่วเต้าอย่างตกตะลึงนัก ทราบดีว่าวาจาที่เจ้าหนุ่มคนนี้กล่าวค่อนข้างไร้มารยาทไปหน่อยจริงๆ พูดตรงเกินไปหน่อยแล้วกระมัง พูดเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?

สีหน้าอวี้ชางขรึมลง แสร้งทำเป็นไม่พอใจ “น้องชาย เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรกัน คิดอยากรับก็จะรับ ไม่อยากรับก็ไม่นับ ไม่เห็นหัวผู้ใดเกินไปแล้วกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ขอกล่าวกันตามตรง คำพูดในครั้งก่อนเป็นเพียงข้ออ้างบ่ายเบี่ยง บทกลอนเป็นตัวข้าประพันธ์ขึ้นเองจริงๆ แต่การรับศิษย์มิใช่เรื่องเล็กเลย เบาหน่อยก็สอนได้แบบพอไปวัดไปวา เป็นการทำร้ายนักเรียนเปล่าๆ หนักหน่อยก็เป็นปัญหาที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้เป็นศิษย์เอง ทำให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงอาจารย์ คาดว่าตอนที่อาจารย์อวี้ชางจะรับศิษย์ก็คงไม่ได้หลับหูหลับตารับไปทั้งที่ไม่ทราบสถานการณ์อันใดทางฝ่ายผู้เป็นศิษย์เลย”

“ถึงแม้ข้าพเจ้าจะอ่อนวัย แต่ก็มีจิตสำนึกของผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาเช่นเดียวกับอาจารย์อวี้ ล้วนเป็นเจตนาดีไม่มีการดูหมิ่นใดๆ แน่นอน อาจารย์อวี้ทีศิษย์ทั่วหล้า น่าจะเข้าใจความรู้สึกในส่วนในนี้ดี คงไม่ถึงขั้นที่จะตำหนิเอาความได้ ครั้งก่อนหลังออกจากสวนไม้เลื้อยไป ข้าได้สอบถามข้อมูลหลานชายของท่านมาแล้ว ผลลัพธ์ที่ปรากฏคือหลานชายของท่านฉลาดอ่อนน้อม ขยันใฝ่เรียนรู้ มีความประพฤติดี ทำให้ข้าโล่งใจนัก หากพลาดลูกศิษย์เช่นนี้ไปอาจต้องนึกเสียใจไปชั่วชีวิต ครั้งนี้จึงเป็นฝ่ายทำตัวหนาเสนอตัวมาหาเอง หวังว่าอาจารย์อวี้จะช่วยให้สมประสงค์!”

อวี้ชางกัดกรามจนแก้มตึงเล็กน้อย สบถด่าอยู่ในใจ ฉลาดอ่อนน้อม ขยันใฝ่เรียนรู้ มีความประพฤติดีบ้าบออะไร เขาติดต่อกับโลกภายนอกน้อยครั้งนัก แล้วเจ้าจะไปสอบถามข้อมูลมาจากไหนได้ เป็นตัวมีเจตนาแอบแฝงพูดจาโมเมเอาเองชัดๆ!

แต่อีกฝ่ายพูดจาสมเหตุสมผล ทำให้เขาอับจนวาจาจะโต้แย้งได้

แววตาก่วนฟางอี๋ส่องประกายวูบไหว คล้ายคาดเดาเจตนาของหนิวโหย่วเต้าออกแล้ว แต่ก็ยังมีความไม่เข้าใจอยู่ดี

ปู้สวินก้มหน้าเงียบงัน แต่ในใจกลับบ่นอุบอิบ เจ้าหนุ่มคนนี้ช่างมีวาทศิลป์เสียจริง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นตัวที่นึกเสียใจภายหลังจึงคิดอยากจะกลับมาสานสัมพันธ์กับอวี้ชาง แต่กลับพูดจายกเมฆได้สมจริงนัก หากตนไม่ได้ทราบความจริงมาก่อนคงจะหลงเชื่อไปแล้ว

อวี้ชางมองไปที่ปู้สวิน เอ่ยถามเนิบๆ “ผู้ดูแลหลวงคิดเช่นประการใด?”

ปู้สวินวางถ้วยชาลง หัวเราะแล้วตอบว่า “หากทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจกัน ข้าก็ไม่มีความคิดเห็นใด ขึ้นอยู่กับทั้งสองท่านแล้ว”

หากตกลงปลงใจก็ไม่มีความเห็นใด เช่นนั้นเจ้าจะวิ่งโร่มาทำไมอีก แววตาอวี้ชางวูบไหว ในใจคิดทบทวนอยู่หลายตลบ สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “เช่นนี้ดีนัก!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เช่นนั้นรบกวนอาจารย์อวี้โปรดเชิญหลานชายท่านมาพบกันสักคราเถิด”

“เรื่องนี้ยังคงต้องแจ้งแก่น้องสะใภ้ของข้าด้วย ให้ข้าไปบอกกล่าวสักหน่อยเถิด” อวี้ชางลุกขึ้นยืน

หนิวโหย่วเต้ายิ้มน้อยๆ “เชิญตามสบาย!”

หลังจากอวี้ชางออกไปแล้ว ปู้สวินเอ่ยเสียงเรียบ “พอมีสายสัมพันธ์กับอวี้ชางแล้ว วันหน้าไปไหนมาไหนด้านนอกก็ย่อมสะดวกขึ้น ยินดีด้วย”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือ เอ่ยอย่างเกรงใจว่า “หากน้องสะใภ้ของอาจารย์อวี้ชางไม่เห็นด้วยเล่า ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายของคนอื่นเขา จะได้รับความยินยอมหรอืไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้เป็นมารดา จะมาพูดแสดงความยินดีตอนนี้ออกจะเร็วไปหน่อย”

ปู้สวินแค่นเสียง คร้านจะเอ่ยไร้สาระกับเขา อำนาจตัดสินใจในเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับอาจารย์อวี้ชางชัดๆ มิเช่นนั้นครั้งก่อนไหนเลยจะไปออกปากขอจากฝ่าบาทได้ หากไม่มีอำนาจตัดสินใจแล้วยังเอ่ยไปเช่นนี้ ถึงขั้นที่ใช้อำนาจของหน่วยข่าวกรองออกตามหาตัวคนไปทั่วแคว้นจะมิใช่การล้อฝ่าบาทเล่นหรอกหรือ? อาจารย์อวี้ชางตอบตกลงแล้วย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน

รอคอยอยู่สักพักใหญ่ อวี้ชางถึงได้กลับมา ซ้ำยังพาคนมาด้วยอีกสองคน

คนหนึ่งเป็นสตรีวัยกลางคนผู้งดงามสวมถนิมพิมพ์พาภรณ์กระโปรงยาวพลิ้วเฉิดฉัน เป็นโฉมงามที่หาตัวจับได้ยาก

อีกคนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกปี หน้าตาหมดจดอ่อนใส ผิวพรรณขาวผ่องดูค่อนข้างสำรวมตนเล็กน้อย

พอเห็นเช่นนี้ มิใช่แค่หนิวโหย่วเต้าเท่านั้น แม้แต่ปู้สวินก็ลุกขึ้นมาแล้ว พอจะเดาได้ว่าสตรีวัยกลางคนนางนั้นเป็นน้องสะใภ้ของอวี้ชาง ไหนเลยจะทำตัวเสียมารยาทได้

“ท่านนี้คือผู้ดูแลหลวงปู้สวินแห่งแคว้นฉี ท่านนี้ก็คือหนิวโหย่วเต้าผู้เป็นเลิศด้านโคลงกวี”

อวี้ชางไม่ได้เอ่ยแนะนำก่วนฟางอี๋ พูดกันตามจริงแล้วก็ยังคงเป็นเพราะชื่อเสียงของก่วนฟางอี๋ไม่เหมาะสมจะให้มีปฏิสัมพันธ์กับสตรีดีงามในครอบครัวทั่วไป จากนั้นก็แนะนำสองแม่ลูกต่อพวกหนิวโหย่วเต้าต่อ

สตรีวัยกลางคนนามว่าจวงหง ส่วนเด็กหนุ่มมีนามว่าเซี่ยลิ่งเพ่ย

ด้วยเหตุผลในบางด้านทำให้อวี้ชางไม่อยากจะให้จวงหงเผยตัวออกมาอย่างยิ่ง แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ บุตรชายจะกราบอาจารย์ทั้งที ในฐานะมารดาแล้วจะไม่โผล่มาขอบคุณได้อย่างไร

ทั้งสองฝ่ายคารวะกัน พูดจาสุกภาพตามมารยาทอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เชิญปู้สวินเป็นสักขีพยาน สองแม่ลูกสกุลเซี่ยมอบของไหวอาจารย์ให้ ด้วยเหตุนี้เซี่ยลิ่งเพ่ยจึงได้กราบหนิวโหย่วเต้าเป็นอาจารย์

ต่อมาหนิวโหย่วเต้าก็ประกาศกฎให้ทราบต่อหน้าทุกคน ต้องการให้เซี่ยลิ่งเพ่ยไปนับใช้เขาข้างกายเขาอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาสามวัน จากนั้นก็ต้องการพาตัวเซี่ยลิ่งเพ่ยจากไป

อวี้ชางย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาพาตัวคนไปได้ง่ายๆ

เจ้าตั้งกฎเกณฑ์สั่งสอนศิษย์เช่นนี้คนอื่นย่อมว่าอะไรไม่ได้

เจ้าต้องการพาศิษย์ในสังกัดไปปรนนิบัติรับใช้อาจารย์สามวันก็ไม่นับว่าเกินเลยไป ศิษย์ปรนนิบัติอาจารย์ก็เป็นเรื่องชอบธรรมตามครรลอง

แต่ไม่จำเป็นต้องพาตัวออกไปเลย สวนไม้เลื้อยไม่ขาดแคลนห้องหับ อยู่ที่นี่ก็ได้

แต่หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า ในช่วงสามวันนี้ต้องให้เกียรติอาจารย์ ในสายตาของศิษย์ต้องมีเพียงผู้เป็นอาจารย์ ไม่อาจปล่อยให้คนคุ้นเคยในครอบครัวมารบกวนได้ นี่คือกฎ

ไม่ว่าอย่างไรขอเพียงเป็นกฎที่ไม่เหลวไหลจนเกินไป คิดจะตั้งกฎอย่างไรก็ต้องแล้วแต่เขาว่าไปทั้งสิ้น

จากนั้นเขาก็หันไปถามปู้สวินอีกว่าสามารถจัดเตรียมสถานที่พำนักในเรือนรับรองแขกต่างแคว้นให้ได้หรือไม่ จะได้ให้เซี่ยลิ่งเพ่ยใช้ฝึกฝนตัวเองในช่วงสามวันนี้

กับเรื่องเช่นนี้ปู้สวินไม่มีทางทำตัวใจแคยอยู่แล้ว ขอเพียงทางนี้ไม่คัดค้าน เรื่องนี้ก็เล็กน้อยนัก เขาสั่งการประโยคเดียวก็ใช้ได้แล้ว

ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การต่อสู้กับอย่างลับๆ ของทั้งสองฝ่าย หนิวโหย่วเต้าเรียกได้ว่าแทบจะบังคับเอาตัวเซี่ยลิ่งเพ่ยไปในทันที

อวี้ชางต้องการส่งคนไปคุ้มกันแต่หนิวโหย่วเต้าก็ปฏิเสธ บอกว่ามีแนวทางสั่งสอนในแบบของตัวเอง ขอให้อย่านี้อย่าเข้าไปรบกวน วางท่าว่าในฐานะอาจารย์ต้องสั่งสอนเช่นไรจนวางแผนเอาไว้แล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝั่งสวนไม้เลื้อยจึงทำได้เพียงเฝ้ามองหนิวโหย่วเต้าพาตัวคนจากไป

รอจนคนรอบข้างออกไปหมดแล้ว ตู๋กูจิ้งเอ่ยอย่างค่อนข้างร้อนรน “อาจารย์ ไอ้ชั้นต่ำคนนี้มีเจตนาไม่ซื่อ ไฉนท่านจึงตกลงให้คุณชายไปเป็นศิษย์ของเขาเล่าขอรับ?”

อวี้ชางขมกรามเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าปู้สวินอยู่ว่างไม่มีอะไรทำหรือถึงได้วิ่งรอกไปมาเพราะเรื่องเช่นนี้ถึงสองเที่ยวน่ะ? ไอ้ชั้นต่ำคนนี้ต้องเผยความอันใดออกไปแล้วแน่นอน ปู้สวินต้องมาเพื่อสังเกตการณ์แน่ ไอ้ชั้นต่ำคนนี้พูดจามีหลักการอีกทั้งมีปู้สวินจับตามองอยู่ด้านข้าง เจ้าจะให้ข้าบังคับหาเหตุผลใดไปปฏิเสธได้เล่า?”

ตู๋กูจิ้งเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “เช่นนั้นก็ไม่ควรปล่อยให้เขาพาคุณชายไปนะขอรับ!”

อวี้ชางกัดฟันเอ่ย “หรือเจ้าจะให้ข้าโต้แย้งคัดค้านกฎเกณฑ์รับศิษย์อันแสนสมเหตุสมผลที่เขาปั้นแต่งขึ้นงั้นหรือ? ปู้สวินจะคิดอย่างไรกันเล่า? ปู้สวินขึ้นมาควบคุมหน่วยข่าวกรองได้คิดว่าจะใช่คนโง่หรือ? ไหนเลยจะมองพิรุธไม่ออก? คนผู้นี้หน้าด้านไร้ยางอาย จองหองเพราะมีคนหนุนหลัง เห็นได้ชัดว่าคิดจะหาช่องให้ปู้สวินจับพิรุธได้ ข้าจึงไม่กล้าทำอะไรวู่วามส่งเดช! หากความจริงเปิดเผย สามสำนักหลักทราบเรื่องส่งยอดฝีมือเข้าปิดล้อม พวกเราไม่ว่าใครก็อย่าหวังจะได้ออกจากที่นี่เลย ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะถูกจับตามองแล้วก็ได้!”

รู้ดีว่ามีปัญหาแต่ก็ไม่กล้าคัดค้านหนิวโหย่วเต้า เมื่อครู่เขาโมโหจนแทบช้ำในแล้ว

ตู๋กูจิ้งกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “หากเกิดเหตุใดขึ้นกับคุณชาย ท่านอาจารย์จะไปอธิบายกับขนนางเฒ่าเหล่านั้นอย่างไรเล่าขอรับ?”

อวี้ชางเงยหน้ามองฟ้าทอดถอนใจ “เดรัจฉานตัวนี้รับมือยากนัก เมื่อก่อนไม่ควรขัดขวางไม่ให้ซูจ้าวลงมือเลย!”

ที่ทำให้นึกเสียใจยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ครั้งนั้นใช้ข้ออ้างกราบอาจารย์อันใดไป ทำให้สถานการณ์ลุกลามใหญ่โตไปเช่นนั้น ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้แล้ว อนนี้นับว่าข้วางหินทับเท้าตนเข้าแล้วจริงๆ

………………………………………………………………………