ภาค 3 บทที่ 145 กะพริบตาไม่เห็น
เมืองชิ่งหยวนเดือนเจ็ดยังคงร้อนระอุ หน้าจวนว่าการเมืองคนที่ต่อแถวไม่มากปานนั้นแล้ว นอกจากนี้คุณหนูจวินก็ไม่ได้ปลูกฝีอีก นางเลือกหมอห้าคนจากเมืองชิ่งหยวน
หมอห้าคนนี้ดีใจจนเกือบบ้า
ไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงผลประโยชน์ที่ได้จากการปลูกฝี นี่นับเป็นศิษย์รุ่นสุดท้ายของคุณหนูจวินหรือไม่?
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า
“ไม่นับ” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นี่ไม่นับเป็นคัมภีร์ลับอะไรจริงๆ ข้าบอกพวกเจ้าแล้วว่านี่เป็นมาอย่างไรแล้วทำอย่างไร ง่ายดายยิ่ง”
หมอห้าคนจึงได้แต่เลิกรา
พวกเขาก็เคยได้ยินสิ่งที่คุณหนูจวินผู้นี้ทำที่เมืองหลวง นางชี้แนะวิชาแพทย์ให้หมอจำนวนมากมายแต่ไม่ถือตนเป็นอาจารย์จริงๆ
“คุณหนูจวิน หลังร่ำเรียนเป็นง่ายดายยิ่ง แต่เรื่องง่ายดายเช่นนี้มีเพียงท่านที่ทำออกมาได้” พวกเขาเอ่ย ไม่ฝืนขอกราบอาจารย์อีก คำนับให้คุณหนูจวินอย่างพร้อมเพรียง “ชี้แนะคำเดียวก็เป็นอาจารย์”
มองเห็นพวกเขาเกรงอกเกรงใจพอประมาณแล้ว เจ้าเมืองโจวก็ยิ้มแย้มก้าวเข้ามา
“คุณหนูจวินต่อไปจะไปที่ใด?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินย่อมไม่มีทางรั้งอยู่ที่นี่ปลุกฝีจริงๆ เจ้าเมืองโจวก็ไม่ได้คาดหวังว่าคุณหนูจวินจะลงแรงลงมือด้วยตนเอง ขอเพียงคุณหนูจวินปรากฎตัวที่นี่ก็เพียงพอแล้ว
“เมืองเจินติ้ง” คุณหนูจวินว่า
ดูท่านี่คือต้องการตระเวนเมืองหลายแห่งของมณฑลเหอเป่ยซีให้หมด
ในใจเจ้าเมืองโจวคิดขึ้นมาได้
“นี่เป็นโชคดีของชาวบ้านจริงๆ” เขาเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ข้าจะให้ทหารอารักขาคุณหนูจวินไปยังเมืองเจินติ้ง”
ข่าวส่งออกไป ไม่ใช่แค่ทหารคุ้มครองไปส่ง เมืองเจินติ้งด้านนั้นก็คงมารับ เดินทางเช่นนี้ก็ปลอดภัยและสบายขึ้นมากแล้ว
เหลยจงเหลียนสีหน้าผ่อนคลายขึ้นครู่หนึ่ง
หลายวันนี้แน่นอนเขาย่อมค้นพบร่องรอยของพวกจินสือปา เอาเถอะ จินสือปาก็คล้ายจะให้พวกเขาค้นพบ ทำท่าก็ข้าเป็นอันธพาล
คนเหล่านี้สลัดยากเสียจริง เหลยจงเหลียนถอนหายใจในใจ ดาบจริงหอกจริงสู้กันขึ้นมาเขาก็ไม่กลัว แต่คนเหล่านี้ดันจะหลบอยู่ข้างหลัง ทำท่าจ้องหาโอกาสพุ่งมากัดเจ้าสักคำ
“ไม่ต้องกังวล พวกเขาเข้าใกล้ตัวข้าไม่ได้” คุณหนูจวินเอ่ย
จุดนี้เหลยจงเหลียนรู้นานแล้ว จากหยางเฉิงไปหรู่หนาน ตอนนั้นมีเพียงพวกเขาสามคน แต่ศัตรูน่ากลัวยิ่งกว่าพวกจินสือปา จินสือปาดีร้ายก็ยังให้พวกเขาค้นพบร่องรอย เวลานั้นศัตรูของตระกูลฟางยังหลบซ่อนมิดชิด
คุณหนูจวินประสบการณ์อยู่กลางป่าดงมากมายเลือกใช้ได้เหมาะสม ประโยคหนึ่งที่กำชับบ่อยที่สุดก็คือกลางคืนอย่าเข้าใกล้
เหลยจงเหลียนรู้ว่านี่เพราะข้างกายคุณหนูจวินวางกลไกอาวุธลับที่ร้ายกาจที่สุดไว้
“ก็แค่ถูกพวกเขาไล่ตามอยู่ตลอดเช่นนี้ น่ารำคาญจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเบา
คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว
“ก็ไม่ใช่มีแต่พวกเรารำคาญ” นางเอ่ย เหลยจงเหลียนกะพริบตาปริบๆ
ติดตามนานปานนี้ จินสือปาคนเหล่านี้ก็ไม่สบายเหมือนกัน เหลยจงเหลียนหัวเราะแล้ว
“คุณหนูจวิน!”
ข้างทางพลันมีเสียงตะโกนดังขึ้น
เวลานี้พวกเขาออกจากเมืองชิ่งหยวนล้ว ตอนออกจากเมืองชิ่งหยวนเจ้าเมืองโจวอยากให้ทั้งเมืองออกมาส่ง แต่ถูกคุณหนูจวินห้ามไว้
“อย่าให้ทุกคนรู้ว่าข้าไปแล้วดีกว่า ผ่านไปอีกสักช่วงจะเหมาะสม” นางเอ่ย
คุณหนูจวินเป็นตัวตนประหนึ่งเสาค้ำสมุทร หมอห้าคนนี้ถูกพวกชาวบ้านยอมรับได้อย่างราบรื่นก็เพราะคุณหนูจวินอยู่ข้างหลังคุ้มครองอารักขาอยู่
หากปล่อยให้ทุกคนรู้ว่าคุณหนูจวินไปแล้ว ในใจยากเลี่ยงหวาดหวั่น ให้ปรับตัวอีกสักพักหนึ่งค่อยบอกเถอะ
เจ้าเมืองโจวประหนึ่งเป็นโจรส่งพวกคุณหนูจวินออกจากเมือง กระทั่งพวกทหารก็รออยู่ตรงสถานที่ซึ่งกำหนดไว้
ถึงเป็นเช่นนี้ คณะของคุณหนูจวินคณะนี้ก็ยังสะดุดตายิ่งถูกคนข้างทางจำได้ เลี่ยงไม่ได้เกิดความตื่นเต้นหนหนึ่ง คุณหนูจวินอธิบายว่าตนเองจะไปลองดูชนบท ไม่ให้เด็กจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้ข่าวพลาดการปลูกฝี
“จะไปจั้นหวงหรือ?” คนข้างทางที่ล้อมเข้ามาเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
คุณหนูจวินพยักหน้าตามคำพูดของเขา
“ถ้าเช่นนั้นอย่าไปถนนเส้นนี้เด็ดขาด” คนเดินถนนคนนั้นสีหน้ากังวลเอ่ยขึ้น
ด้านนั้น?
“ด้านนั้นทำไมหรือ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามไม่เข้าใจ
“ด้านนั้นมีภูเขาลูกหนึ่ง บนเขามีกองโจร” คนเดินถนนกดเสียงเบาเอ่ย
กองโจร?
พวกคุณหนูจวินอึ้งไป
“พูดเหลวไหล” ในฝูงชนอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
ผู้คนมองไป เห็นชายชราคนหนึ่งนั่งยองอยู่ข้างทาง ข้างกายวางตะกร้าไม่ไผ่ใบหนึ่งไว้ เหมือนกลัวถูกฝูงชนที่เบียดเสียดอยู่เบียดโดนตะกร้า เฝ้าอย่างระวังอยู่ตลอด
“ในภูเขาด้านนั้นไม่มีกองโจรสักหน่อย” เขาเอ่ยต่อ “ด้านนั้นปลอดภัย มีทหารประจำการอยู่หรอก”
คุณหนูจวินมองชายชราคนนี้ ใบหน้าเขาดำเมี่ยม นิ้วมือใหญ่หนา ยังมีท่าทางที่เขานั่งยองอยู่บนพื้น มองปราดเดียวก็เป็นคนที่ใช้แรงงานมานานปี
แน่นอนนางเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงคนหนึ่งเดิมทีไม่รู้ว่าคนใช้แรงงานเป็นอย่างไร นี่ล้วนเป็นอาจารย์พานางข้ามเขาลุยป่าสังเกตผู้คนฝึกดวงตาคมกริบคู่หนึ่งออกมาได้ เป้าหมายก็เพื่อขโมยของกินฉวยเครื่องดื่ม
คุณหนูจวินเลื่อนสายตาออก ไม่ได้สอบถามเพราะเหล่าคนเดินถนนเริ่มต้นถกเถียงกันแล้ว
“ไม่มีกองโจรหรือ? ทำไมข้าได้ยินว่ามี…”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ฟังผิดแล้ว กองโจรย่อมมี แต่อยู่ที่เขาจั้นหวงซาน” ชายแก่เอ่ย
“เขาจั้นหวงซานเหมือนจะมีกองโจรจริงๆ” มีคนคิดขึ้นมาได้เอ่ยขึ้น
“แต่ด้านนั้น…” มีคนกำลังสงสัยความทรงจำของตน “ทหารประจำการ…มีหรือ?”
แดนเหนือกองทหารหลายกอง นอกจากกองทหารหย่งซิ่ง กว่างซิ่น หย่งหนิง ซุ่นอันที่ชื่อเสียงโด่งดัง ยังมีกองทหารไร้สังกัดจำนวนหนึ่งประจำการกระจัดกระจายอยู่ด้วย ถึงขนาดมีหน่วยรักษาการณ์ลับมากมาย
ในภูเขาแถบหนึ่งมีทหารประจำการอยู่หรือไม่บอกได้ไม่แน่จริงๆ
คนเดินถนนฝั่งนี้พากันถกถียง ด้านนั้นเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้น ทหารขบวนหนึ่งปรากฏ
“หลีกทาง หลีกทาง อย่าถ่วงเวลาการเดินทางของคุณหนูจวิน” พวกเขาตวาดเอ่ย
คนข้างทางรีบร้อนหลีกทาง ชายชราคนนั้นหิ้วตะกร้าขึ้นมาถอยไปข้างหลังเช่นกัน
เพราะปลูกฝีให้ลูกชายลูกสาวของทหารต่างหาก ในหมู่ทหารคุณหนูจวินจึงเป็นตัวตนประหนึ่งเทพ มองเห็นคุณหนูจวินพวกเขาพากันลงจากม้า แย้มรอยยิ้ม
“มีพวกเราคุ้มครอง คุณหนูจวินโปรดวางใจ” พวกเขาเอ่ย
“มีพวกท่านคุ้มครอง ข้าวางใจนักจริงๆ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
ผู้คนดีอกดีใจคึกคักครึกครื้นเดินไปข้างหน้าตามทาง จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาร่างของพวกเขาแล้ว คนเดินถนนถึงหมดความสนใจสลายตัวไป ชายชราคนนั้นยกเท้าเตะตะกร้าทีหนึ่งหิ้วขึ้นมา แบกไว้บนมือด้านหลังร่างเดินเชื่องช้าสบายอารมณ์จากไป
……………………………………….
ท่ามกลางภูเขาเดือนเจ็ดลมเย็นสบาย ความครึกครื้นในค่ายค่อยๆ ดับมอดและเงียบสงบลงตามกองไฟ นอกจากทหารที่ลาดตระเวณไปมาอยู่ คนทั้งหมดจมลงสู่นิทรา
ทหารสองกองเดินตัดผ่านกัน ระหว่างช่องว่างนี้เอง เงาร่างหลายร่างประหนึ่งหลุดล่อนออกมาจากราตรีกาล ทีสองทีก็กลิ้งเข้าไปกลางค่ายแล้วก็วิ่งลัดเลี้ยวรวดเร็วยิ่งผ่านกระโจมหลายหลังไป หยุดอยู่หน้ากระโจมตรงกลาง
“ติดตามทหารที่อารักขาก็ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์” จินสือปาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าแม่นางน้อยคนนี้จะวางอาวุธลับพวกนั้นไว้”
อย่างไรทหารทั้งหลายก็มากเกินไป ทั้งยังจะลาดตระเวนตอนกลางคืนอีก เลี่ยงไม่ให้พลาดทำร้าย
เหล่าบุรุษหลังร่างเขาแยกย้ายกันตรวจตรารอบด้านกระโจม รวมตัวกันข้างกายจินสือปาอีกครั้ง พยักหน้าให้เขา
“ไม่มีปัญหา” พวกเขาเอ่ยเสียงเบา
จินสือปาส่งสัญญาณมือให้พวกเขาอีกครั้ง สี่คนพริบตากระจายออก ส่วนจินสือปาวาดมือบนกระโจมข้างตัวตรงๆ ในมือกำอะไรอยู่ไม่รู้ กระโจมพริบตาถูกกรีดเป็นช่องช่องหนึ่ง นอกจากนี้เสียงสักนิดก็ไม่ดังออกมา
จินสือปายื่นมือแหวกกระโจม แสงสว่างของคบไฟไม่ไกลส่องเข้าไป ส่องสภาพด้านใน มือของจินสือปาที่ดึงกระโจมอยู่แข็งค้างทันที คนกลับไม่ได้กระโดดเข้าไปเหมือนอย่างที่คาด
บุรุษหลายคนที่ยืนระวังอยู่ด้านข้างมองมาอย่างไม่เข้าใจ
“มารดามัน” จินสือปาเอ่ยพึมพำ “คุณหนูจวินหายไปอีกแล้ว”
ฟ้าค่อยๆ สว่าง เหลยจงเหลียนลืมตาโพลงขึ้น สิ่งแรกสุดที่มองเห็นก็คือคนของสำนักคุ้มภัยกับคนคุ้มกันที่กำลังคุยเล่นเดินผ่านด้านหน้า ตอนนี้เขาถึงนั่งตัวตรงมองกระโจมที่สงบเงียบรอบด้านพรูลมหายใจ ยื่นมือเช็ดหน้าทีหนึ่งลุกขึ้นยืน
“นายท่านเหลียน ท่านว่าองครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้นไล่ตามมาทันหรือยัง?” มีผู้คุ้มกันมองเห็นเขายิ้มเอ่ยถาม
“น่าจะไล่ตามทันแล้ว องครักษ์เสื้อแพรร้ายกาจปานนั้น” เหลยจงเหลียนเอ่ยขึ้น
คำพูดนี้พูดขึ้นก่อนหน้านี้ทุกคนจะพยักหน้าจริงจัง แต่ตอนนี้พูดขึ้นมากลับทำให้พวกเขายิ้ม
“ไม่รู้พวกเขาเห็นทหารเปลือยตูดหลายคนนอนอยู่ในกระโจมจะทำสีหน้าอย่างไร” คนของสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งยิ้มเอ่ย
เหลยจงเหลียนกระแอมเบาๆ ส่งสัญญาณไม่ให้พวกเขาพูดคำหยาบอีก เพราะเวลานี้เดินมาถึงหน้ากระโจมของคุณหนูจวินแล้ว
เหล่าผู้คุ้มกัน คนของสำนักคุ้มภัยรีบร้อนเก็บสีหน้าเดินไปข้างหน้า ได้ยินเหลยจงเหลียนเรียกคุณหนูจวินอยู่ด้านหลัง
คุณหนูจวินฉลาดเฉลียวนัก พักผ่อนก็เป็นกฎระเบียบยิ่ง เวลานี้น่าจะตื่นแล้ว ตามกฎก่อนหน้านี้ ได้ยินเสียงของเหลยจงเหลียน นางจะตอบว่าได้ เข้ามาเถอะ บางทีก็พูดเลยว่าเตรียมตัวกินข้าว
เช้านี้กินอะไรนะ? เมื่อวานจับกระตายได้หลายตัวยังกินไม่หมด เติมเห็ดต้มในหม้อใหญ่เสียหน่อยต้องรสชาติโอชาแน่…
บรรดาผู้คุ้มกันคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่ถูก พวกเขาหยุดฝีเท้าหันกลับไปมอง
ทำไมไม่ได้ยินคุณหนูจวินพูด?
หรือว่ายังหลับอยู่?
แม่นางน้อยอยากนอนอีกหน่อยก็ปกติ
ความคิดแล่นผ่านก็เห็นเหลยจงเหลียนพุ่งไปทางกระโจมแล้ว ยื่นมือคว้าม่านกระโจมไว้
นี่ไม่ดีกระมัง บรรดาผู้คุ้มกันกับคนของสำนักคุ้มภัยตกใจสะดุ้งโหยง แต่เหลยจงเหลียนไม่ลังเลสักนิดดึงม่านเปิดออก พร้อมกันนั้นคนทั้งร่างก็ชะงักค้าง
“คุณหนูจวิน…” เสียงของเขาเปลี่ยนโทน แหวกผ่านเช้าตรู่อันเงียบสงบ “หายไปแล้ว”