ตอนที่วารุณีตื่นมา ก็เที่ยงคืนแล้ว

นัทธีเฝ้าเธออยู่ข้างเตียงตลอด

เห็นเธอตื่นมา ก็ถือแก้วน้ำเข้าไป

วารุณีกระหายน้ำพอดี เห็นน้ำที่เขาถือมา วารุณีจึงพูดออกมาจากใจ“ขอบคุณนะ”

เธอรับมาด้วยรอยยิ้ม ดื่มไปหนึ่งคำ ก็หวานเล็กน้อย “ข้างในใส่น้ำตาลเหรอ?”

“ใส่น้ำผึ้ง”นัทธีตอบ

วารุณีรับแก้วน้ำมา“ดีจัง”

“หิวยัง?”นัทธีลูบผมที่ยุ่งของเธอ แล้วถามไปอีก

วารุณีพยักหน้า“นิดหน่อย”

ก่อนผ่าตัดกินอะไรไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงท้องว่างมายันตอนนี้ หิวตั้งนานแล้ว

“รอก่อน”นัทธีพูดไปสองคำ ก็ลุกขึ้น แล้วไปชั้นล่าง

แป๊บเดียว เขากลับมา ก็ถือถาดมาด้วย

ในถาดวางบะหมี่ชามหนึ่งร้อนๆ ด้านบนใส่ผักกาดขาวกับต้นหอมซอยสีเขียวๆเล็กน้อย เห็นแล้วทำให้อยากอาหาร

วารุณีพูดขำๆ:“คนใช้ด้านล่างทำบะหมี่ของประเทศเราเป็นด้วยเหรอ?”

คิดไม่ถึงจริงๆ

เธอคิดว่า คนใช้ทำเป็นแค่อาหารฝรั่ง

“ผมทำเอง”คำพูดนัทธีทำให้เธอตกใจ

วารุณีตะลึง มองเขาอย่างตกใจ“คุณทำเหรอ?”

“อือ”นัทธีพยักหน้า

วารุณีทั้งตกใจและดีใจ ยิ้มออกไป“คุณทำอาหารเป็น?”

“ไม่”นัทธีส่ายหน้า

วารุณีกะพริบตา“งั้นบะหมี่นี่……”

“ก็ค้นวิธีทำในเน็ต ง่ายมาก”นัทธีตอบกลับนิ่งๆ

มุมปากของวารุณีกระตุก ทันใดนั้นก็เงียบไป

โอเค บนโลกนี้ มีพรสวรรค์เช่นนี้ด้วย แค่มองก็ทำเป็น

อารัณก็เป็นแบบนี้นี่?

“กินเถอะ ชิมว่ารสชาติเป็นไง?”นัทธีเอาตะเกียบยื่นให้เธอ

วารุณีรับมา ที่จริงอยากจะถือชามไว้

แต่นัทธีกลับเอาแต่พูดว่าเธอไม่มีแรง เขาถือก็ได้

และก็เป็นเช่นนี้ นัทธีถือชาม วารุณีหยิบตะเกียบ คีบเส้นสองสามเส้นเข้าปาก

“เป็นไงบ้าง?”นัทธีมองเธอ ดวงตามีความกังวลที่สังเกตเห็นยาก

วารุณีเลียริมฝีปาก พยักหน้าด้วยดวงตาที่เป็นประกาย“อร่อย”

นัทธียิ้มขึ้นมาเล็กน้อย“งั้นก็ดี กินเถอะ”

วารุณีตอบอือ คีบบะหมี่ต่อ บะหมี่ร้อนเล็กน้อย เธอคีบขึ้นมาแล้วเป่า จู่ๆก็คิดอะไรได้ มองเขาแล้วถามว่า “คุณกินหรือยัง?”

นัทธีกำลังอยากจะตอบว่าตัวเองกินแล้ว สุดท้ายท้องกลับร้อง

สีหน้านัทธีแย่ลงทันที ตอนนี้รู้สึกว่าเสียหน้าหน่อยๆ

“ฮึ”วารุณีหัวเราะ “สามี คุณน่ารักจริงๆ ฉันคิดว่าคุณเป็นเทพแล้วจริงๆนะ อะไรก็เพอร์เฟคไปหมด ที่แท้ก็มีด้านที่น่าอายด้วย แบบนี้น่ะดี มีความเข้ากับฝูงชน ไม่เหมือนปกติที่ทำให้คนยากจะเข้าใกล้อย่างนั้น”

สำหรับเธอแล้ว นัทธีแบบนี้ ถึงจะเป็นคนที่มีชีวิตที่แท้จริง คนที่มีเลือดมีเนื้อ

“พอเถอะ รีบกินซะ”นัทธีมองสภาพวารุณีที่หัวเราะอย่างสวยงาม สายตานั้นดูทำอะไรไม่ถูก

วารุณีเอาบะหมี่บนตะเกียบวางไว้บนช้อน จากนั้นยื่นไปที่ปากเขา “กินด้วยกันเถอะ ถ้าคุณไม่รังเกียจที่ตะเกียบนี้ถูกฉันใช้ไปแล้ว”

เธอมองเขา รอเขาอ้าปาก

นัทธีละสายตามองบะหมี่ในช้อน แล้วเงยหน้ามองหญิงสาวที่ดูคาดหวัง สุดท้ายจึงอ้าปาก กินบะหมี่ไป

กลืนไปเสร็จ เขาก็พูด:“แม้แต่น้ำลายคุณผมก็เคยกิน”

ความหมายของประโยคนี้คือ แม้แต่น้ำลายยังเคยกิน แล้วจะรังเกียจตะเกียบที่เปื้อนน้ำลายที่เหรอ?

หน้าเล็กๆของวารุณีแดงขึ้นมา จ้องเขาเซ็งๆ “หุบปากเถอะคุณน่ะ”

ผู้ชายคนนี้ คำทะลึ่งยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

และก็เช่นนี้ บะหมี่ชามหนึ่งที่มีไม่มาก ก็ถูกทั้งสองคน กินไปคนละคำจนหมด

นัทธีเอาชามวางไว้ที่หัวเตียง แล้วพูดเรื่องซีเรียสขึ้นมา“ตอนบ่ายผมให้มารุตพาหมอสูติในประเทศมาสองสามคน ตรวจครรภ์ให้คุณอย่างละเอียด”

พอได้ยิน วารุณีลูบท้องทันที “งั้นเด็ก……”

“เด็กแข็งแรงมาก ไม่มีความผิดปกติ”นัทธีมองท้องของเธอ แล้วตอบกลับด้วยสายตาอ่อนโยน

วารุณีโล่งอก“ดีจัง ตอนฉันได้ยินคำพูดหมอกับพยาบาลสองคนนั้น ปฏิกิริยาอย่างแรกก็ถือฉันถูกหลอกแล้ว เด็กปกติ และก็จริง เด็กนั้นเป็นปกติ”

ตอนนี้เธอดีใจจริงๆที่ตัวเองไม่หมดสติไปทันที ไม่งั้นลูกก็คงไม่อยู่แล้วจริงๆ

และก็ดีใจมากที่นัทธีมาอยู่กับเธอตรงนี้ และเฝ้าอยู่นอกห้องผ่าตัด ไม่งั้นถึงเธอได้สติก็ไม่มีประโยชน์

“ใช่สิ หมอกับพยาบาลสองคนนั้นตอนนี้เป็นไงบ้าง?”วารุณีมองนัทธี ถามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโมโห

นัทธีจิบน้ำผึ้งของเธอแล้วตอบไปว่า:“ถูกจับแล้ว ผู้อำนวยการบราวน์ทำผ่าตัดให้พวกเขา”

“ผ่าตัด?”วารุณีตะลึง“ผ่าตัดอะไร?”

“ส่วนแขนได้รับบาดเจ็บ”นัทธีหรี่ตาลง พูดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น:“หมอพยาบาลสองคนนั้นรับสินบน หลอกคนไข้ด้วยเจตนาร้าย ด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ตกต่ำและไม่มีจรรยาบรรณทางการแพทย์ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่ในวงการแพทย์อีกต่อไป ไร้มโนธรรมและจรรยาบรรณแพทย์แบบนี้ ดังนั้นผมให้คุณหมอบราวน์ทำการผ่าตัดตัดขาดแขนของพวกเขา ให้ต่อไปพวกเขาไม่สามารถทำงานด้านการแพทย์ได้อีก”

นอกจากไม่อาจทำงานทางการแพทย์ได้แล้ว แม้แต่ใช้ชีวิตพื้นฐานก็ยากลำบาก

นี่คือสิ่งที่ต้องชดใช้ของพวกเขา

วารุณีได้ยินผลลัพธ์เช่นนี้ ก็ไม่เห็นใจใดๆ แค่รู้สึกสบายใจเท่านั้น

เพราะว่าสองคนนี้ เกือบฆ่าลูกของเธอ

ดังนั้นเธอจึงไม่เห็นใจพวกเขา ยิ่งไม่มีทางใจอ่อน

“งั้นหมอกับพยาบาลโรงพยาบาลอื่นล่ะ?”วารุณีถามอีก

“ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างถูกจับกุม กำลังอยู่ในระหว่างการสืบค้น ผมกับผู้บริหารรัฐนี้เป็นเพื่อนร่วมรั้วมหาวิทยาลัย ผมใช้น้ำใจให้เขาตกลงที่จะช่วยจัดการ เชื่อว่าคนพวกนั้น ไม่มีทางมีจุดจบที่ดี”นัทธีตอบกลับด้วยสีหน้าเยือกเย็น

วารุณีพยักหน้า“งั้นก็ดี”

เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ไร้จรรยาบรรณพวกนี้ ไม่สามารถมีจุดจบที่ดีได้จริงๆ อย่างดีที่สุดก็ให้โลกภายนอกรู้ความผิดของพวกเขา

ไม่งั้นต่อไปก็ไม่แน่ว่าจะมีผู้ถูกกระทำแบบเธออีก

วันถัดมา

นัทธีจูงวารุณีลงมาที่ชั้นล่าง

เชอรีนกำลังทานข้าวเช้ากับเด็กทั้งสองคน เห็นทั้งสองลงมา จึงหยอกล้อไปอย่างคลุมเครือ“โหย ความรู้สึกดีขนาดนี้เชียว อยู่บ้านยังจูงมือกันไม่ปล่อยเลย”

ถึงแม้วารุณีจะเขินเล็กน้อย แต่ก็ไม่ปล่อยมือของนัทธี กลับตอบกลับไปอย่างภูมิใจว่า “อิจฉาไหม อิจฉาก็ไปหาสักคน”

เชอรีนเบะปาก“ช่างมันเถอะ ฉันชอบเป็นโสด”

“เมื่อวานผมเห็นคุณน้าเชอรีนกับชายต่างชาติคุยโทรศัพท์กัน คุยกันสนุกมาก”ตอนนี้เอง จู่ๆอารัณก็พูด เปิดโปงเขา

เชอรีนตะลึง แล้วจึงรีบอธิบาย“นั่นไม่ใช่แฟนน้า น้าแค่……”

“แค่กๆ”วารุณีไอตัดบทเธอเบาๆทันที“พอแล้ว พูดถึงเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องพูดออกมาหมด สอนเด็กๆแย่ไปหมด”

เชอรีนหัวเราะเหอะๆ“ใช่ๆๆ ฉันผิดเอง รีบกินข้าวเถอะ”

นัทธีดึงเก้าอี้ออกให้วารุณี

วารุณีนั่งลง เขาจึงดึงเก้าอี้ข้างๆมานั่งลงไป

ทานอาหารเช้าเสร็จ เชอรีนก็พาเด็กทั้งสองคนออกไปเที่ยวเล่น

เพราะเธอรู้ นัทธีกับวารุณีต้องจัดการเรื่องที่ค้างไว้เมื่อวานอีก ไม่มีเวลาอยู่กับเด็กๆ

ดังนั้นเรื่องดูแลเด็กๆ เลยตกไปที่ตัวเธอที่กินฟรีอยู่ฟรี

“ประธาน”มารุตเข้ามา

นัทธียื่นแอปเปิลที่ปอกเสร็จให้วารุณี แล้วหยิบทิชชูออกมา ค่อยๆเช็ดมือ“ว่ามา”

“ผู้ว่าการสตีฟให้ผมมาบอกว่า บอกว่าจัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว แผนกสูติของโรงพยาบาลสองสามแห่งที่เกี่ยวข้องต่างเปลี่ยนคน คนเดิมต่างลงหนังสือพิมพ์ติดคุกหมด อีกอย่างผู้อำนวยการบราวน์ยังบอกด้วย ว่าการผ่าตัดของหมอกับพยาบาลสองคนนั้นเสร็จสิ้นแล้ว นอกจากนี้แล้วยัง……”

“และอะไรอีก?”วารุณีถามเขา