บทที่ 490 เผ่าบรรพกาลแบ่งพวก อริยะโกลาหล

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 490 เผ่าบรรพกาลแบ่งพวก อริยะโกลาหล

แม้แต่อริยะ หานเจวี๋ยยังสาปแช่งจนกลายเป็นบ้าได้ ย่อมสาปแช่งกู่จั๋วอินให้ตายได้แน่นอน

นับตั้งแต่ที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสที่เขตเซียนร้อยคีรี กู่จั๋วอินก็พักรักษาตัวมาโดยตลอด แม้แต่สิ่งมีชีวิตเผ่าบรรพกาลก็ยังคิดว่าเขาตายไปแล้ว เผ่าบรรพกาลในตอนนี้แบ่งพรรคแบ่งพวก มีการตั้งกษัตริย์ขึ้นมาเพื่อปกครองแต่ละกลุ่ม และแล้วแดนเซียนก็เข้าสู่ช่วงต้นของยุคสมัยแห่งความโกลาหล

หานเจวี๋ยผลาญอายุขัยไปเพียงหนึ่งล้านล้านปีในการสาปแช่งกู่จั๋วอิน

[กู่จั๋วอินศัตรูคู่อาฆาตของท่านมารในใจอาละวาด พลังเวทปะทุ มรรคผลแตกซ่าน ตัวตายมรรคผลสลาย]

สาปแช่งจนถึงแก่ความตายทันที!

ไม่เหมือนกันกับศัตรูคนอื่นๆ ที่ผ่านมาของหานเจวี๋ย ที่เขาต้องอดทนสาปแช่งเป็นปีๆ กู่จั๋วอินถูกหานเจวี๋ยสาปแช่งเพียงครั้งเดียวก็ดับดิ้นทันที!

หายวับไปกับคลื่นซัดสาด!

หานเจวี๋ยไม่รู้สึกถึงแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความปรีดา กลับรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย

ยิ่งเขาแข็งแกร่งขึ้น ชีวิตที่เคยสาปแช่งศัตรูทุกๆ สิบปีก็ไม่หวนกลับมาอีก

หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง ปล่อยดวงจิตประหลาดออกมาวิ่งเล่นอย่างอิสระ ส่วนเขาเข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญ

ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

ตำหนักเอกอนันต์

หลี่มู่อี ฝูซีเทียน เทพสูงสุดหนานจี๋ ฉิวซีไหล เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย อริยะจินอัน และมหาจักรพรรดิเซียวต่างคุกเข่าคำนับที่ตำหนัก

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงนั่งอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด

เทพสูงสุดหนานจี๋เงยหน้าขึ้น กล่าวว่า “ปรมาจารย์ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไรบ้าง”

อริยะคนอื่นต่างจ้องมองไปที่ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าบอกไปตั้งแต่ต้น ว่าข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความเป็นไปของมรรคาสวรรค์”

“อริยะมิ่งจีเสียสติไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของมรรคาสวรรค์แล้วล่ะขอรับ”

ฉิวซีไหลกล่าวสมทบ ก่อนหน้านี้อริยะมิ่งจีเป็นอริยะมรรคาสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุด ขนาดเขายังเป็นบ้า อริยะคนอื่นจะอยู่นิ่งเฉยได้หรือ

อย่างไรก็ตาม ฉิวซีไหลเสียสติไปแล้ว

อริยะจินอันกล่าวเสริม “อริยะมิ่งจีควบคุมพลังวิเศษทำลายมรรคา หากเขาใช้พลังวิเศษนี้อย่างบ้าคลั่ง มรรคาสวรรค์ที่เพิ่งผ่านพ้นมหาเคราะห์มาจะเปราะบางอย่างยิ่ง จนถึงขั้นนำไปสู่มรรคามหาเคราะห์ได้ ท่านปรมาจารย์ ท่านก็มาจากมรรคาสวรรค์ของพวกเราไม่ใช่หรือ ท่านทนเห็นมรรคาสวรรค์ถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตาได้จริงหรือ”

อริยะคนอื่นพยักหน้าตาม พวกเขาต่างเผยสีหน้าเป็นกังวลออกมา

หากอริยะมิ่งจีใช้พลังวิเศษทำลายมรรคา เช่นนั้นระบบเต๋าของพวกเขาก็จะพังทลายทั้งหมด

โชคดีที่อริยะมิ่งจีเสียสติจึงลืมวิธีการใช้พลังวิเศษทำลายมรรคา ทำได้เพียงพึ่งพาสัญชาตญาณในการสร้างหายนะเท่านั้น

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าแม้จะเป็นถึงอริยะ แต่อย่าได้สบประมาทมรรคาสวรรค์เชียว มรรคาสวรรค์อาจต้องการพวกเจ้า แต่พวกเจ้าไม่มีความจำเป็นต่อมรรคาสวรรค์ ส่วนอริยะมิ่งจี ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเรื่องของผลกรรม ข้าไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้ ต่อให้เขาจะใช้พลังวิเศษทำลายมรรคาก็ตาม”

“ส่วนผลกรรมระหว่างข้าและมรรคาสวรรค์ ข้าได้ชดเชยไปหมดแล้ว หลายปีอันแสนเนิ่นนานที่ผ่านมานี้ ข้าได้สั่งสอน แสดงธรรมให้กับพวกเจ้าไปตั้งเท่าไร พวกเจ้าคงไม่ลืมใช่หรือไม่”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเหล่าอริยะก็ไม่สู้ดีนัก ต่างนิ่งเงียบไม่อาจตอบโต้ได้

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงกล่าวด้วยน้ำเสียงล้ำลึก “พวกเจ้าต้องการจะหลุดพ้นจากการควบคุมของบรรพชนเต๋า แต่พอเจอปัญหา ก็เอาแต่รอคอยความช่วยเหลือจากผู้แข็งแกร่ง พวกเจ้าน่าจะรู้ดีว่าเมื่อก่อนบรรพชนเต๋าล้วนคลำหาหนทางด้วยตนเองทั้งหมด”

เหล่าอริยะต่างรู้สึกละอายใจ ไม่กล้าขอความช่วยเหลือมากไปกว่านี้

ผ่านไปพักใหญ่

เหล่าอริยะก็ไปจากตำหนักเอกอนันต์ มาถึงอีกตำหนัก ที่นี่เป็นอาณาเขตเต๋าของหลี่มู่อี

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเอ่ย “ในเมื่อท่านปรมาจารย์ไม่ยอมลงมือ พวกเราคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว”

ฝูซีเทียนกล่าวพลางขมวดคิ้ว “สิ่งที่สำคัญกว่าอริยะมิ่งจี ตอนนี้พวกเราควรจะหาให้พบว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเป็นใคร ตั้งใจจะสังหารอริยะมิ่งจีหรือไม่ จะมีอริยะคลั่งคนที่สองอีกหรือไม่”

เหล่าอริยะต่างขมวดคิ้ว

มหาจักรพรรดิเซียวกล่าว “ตอนที่อริยะมิ่งจีถูกสาปแช่ง ข้าก็อยู่กับเขาด้วย สามารถยืนยันได้ว่าเขาไม่ใช่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการอย่างแน่นอน”

เขากวาดสายตามองอริยะคนอื่น

เทพสูงสุดหนานจี๋ถากถาง “พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้าน่าสงสัยที่สุดน่ะสิ”

มหาจักรพรรดิเซียวขมวดคิ้ว สองอริยะต่างประจัญหน้าเข้าหากัน

หลี่มู่อีพอเห็นว่าสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่ภายในใจลึกๆ เมื่อเห็นเหล่าอริยะทุ่มเถียงกันไม่จบสิ้นเพราะความปรารถนาของตนเอง ทำเอาเขาอยากจะหนีไปให้พ้นเสียเดี๋ยวนั้น

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะปล่อยวางดวงชะตามรรคาสวรรค์ และสร้างมรรคาสวรรค์ของตนขึ้นมาเอง

ชั่วขณะนั้น เหล่าอริยะก็เริ่มสงสัยกันเอง

ฉิวซีไหลนั้นน่าสงสัยที่สุดเพราะทันทีที่อริยะมิ่งจีเสียสติ ก็จะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังวิเศษทำลายมรรคาได้

เรื่องนี้ทำให้ฉิวซีไหลรู้สึกเจ็บใจ เขาต้องถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งอย่างแน่นอน!

กาลอันยาวนานผันผ่าน

เวลาผ่านไปอีกห้าสิบปีหลังจากการตายของกู่จั๋วอิน

หานเจวี๋ยที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็ตรวจดูจดหมาย

[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

[จี้เซียนเสินสหายของท่านได้รับแขนเทพครึ่งอริยะ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของวิญญาณข้ามสู่บรรพกาล]

[โจวฝานลูกศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่าบรรพกาล] x180223

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเจียงตู๋กูสหายของท่าน]

[เจียงตู๋กูสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เต้าคงสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[ผานซินสหายของท่านทำลายผนึก หวนคืนสู่แดนเซียน]

[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านสร้างเผ่าจอมเวทขึ้นมาใหม่]

[เจ้าแม่หนี่ว์วาสหายของท่าน ถกมรรคกับผู้ทรงพลังลึกลับ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

จดหมายกลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

หานเจวี๋ยมองเห็นฟางเหลียง วิญญาณข้ามสู่บรรพกาล ก็ไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใด ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบมาถึงเขาก็พอ

สิ่งที่ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกสนใจก็คือจักรพรรดินีผืนพิภพที่ขยันสร้างเผ่าจอมเวทขึ้นมาบ่อยเหลือเกิน

ความทะเยอทะยานไม่มีวันตายสินะ!

ดูเหมือนว่าเผ่าเอกาจะไปสะกิดต่อมของนางเข้า ตอนนี้มรรคาสวรรค์เริ่มต้นใหม่ ทำให้นางรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

หานเจวี๋ยไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยจักรพรรดินีผืนพิภพก็ไม่ต้องคอยพะวงถึงเผ่าเอกาอีก

คิดไปคิดมา หานเจวี๋ยก็เรียกหานโยวผู้นำเผ่าเอกามาพบ

หานโยวคุกเข่าทำความเคารพเบื้องหน้าหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของเผ่าเอกา ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ รอจนกระทั่งหานโยวคลายความตื่นเต้นลงแล้ว จึงถามว่า “เจ้าคงจำจักรพรรดินีผืนพิภพผู้ให้กำเนิดเผ่าเอกาได้ใช่หรือไม่”

หานโยวผงะไปนิด ก่อนจะกล่าว “จำได้ขอรับ ทว่าความทรงจำนั้นเลือนรางเต็มที”

จักรพรรดินีผืนพิภพสร้างเผ่าเอกาได้ไม่นานก็ยกให้กับหานเจวี๋ย เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หานโยวย่อมจำจักรพรรดินีผืนพิภพไม่ได้เป็นธรรมดา

“หากข้าส่งเผ่าเอกากลับคืนให้จักรพรรดินีผืนพิภพ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร” หานเจวี๋ยถามอย่างใจเย็น

ทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว หานโยวก็ตกใจจนหน้าถอดสี ละล่ำละลักพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “ท่านเจ้าสำนัก พวกเราทำผิดอะไรหรือขอรับ”

เขาไม่อยากไปจากเขตเซียนร้อยคีรี!

พูดตรงๆ คือไม่อยากไปจากหานเจวี๋ย

เขายกให้อาณาเขตเต๋าเป็นบ้านของตนไปแล้ว ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ทุกคนในเผ่าเอกาก็คิดแบบเดียวกัน

หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ ว่า “แค่ถามดูเท่านั้น ข้าอยากให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่อยู่แล้ว”

หานโยวฟังเข้าใจแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอเป็นตัวแทนของเผ่าเอกา ให้คำมั่นสัญญาว่า ตราบชั่วฟ้าดินสลาย ไม่มีทางแปรพักตร์อย่างแน่นอนขอรับ”

หานเจวี๋ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ความประทับของหานโยวที่มีต่อเขาแตะระดับหกดาวมานานแล้ว ทว่าระดับความประทับใจเพียงอย่างเดียวไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่ผันตัวไปเป็นศัตรู

ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง

หลังจากหานโยวกลับไปแล้ว หานเจวี๋ยก็เรียกหานตั้วเทียนเข้ามาพบ

หลังจากตอนที่แปลงกายเป็นต้นมา หานตั้วเทียนก็เพิ่งจะมีโอกาสได้พูดคุยกับหานเจวี๋ยตามลำพังเป็นครั้งแรก จึงรู้สึกประหม่าเป็นอย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยถาม “สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าในเขตเซียนร้อยคีรีเป็นอย่างไรบ้าง อยากได้เพิ่มอีกหรือไม่”

หลังจากฝ่ามือของจู่ถูถูกทำลายไป สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าก็เริ่มกลับมารวมตัวกันอยู่ใกล้ๆ เขตเซียนร้อยคีรีอีกครั้ง

หานตั้วเทียนกล่าวด้วยความตื่นเต้น “อยากได้ขอรับ ยิ่งเยอะยิ่งดี พวกสิ่งมีชีวิตระดับล่างมีมากขึ้นเท่าไร ต่อไปในภายหน้า ท่านก็จะได้ฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจ งานน้อยใหญ่ใดๆ ล้วนมอบหมายให้สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าจัดการได้ทั้งสิ้น หากวันใดวันหนึ่งสำนักซ่อนเร้นจะลงไปยังโลกมนุษย์ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะช่วยเหลือจัดการเรื่องต่างๆ ให้แก่ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายได้ขอรับ”

หานเจวี๋ยกล่าว “ดี เช่นนั้นข้าจะเคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าเข้ามาเพิ่มก็แล้วกัน อย่ามัวแต่ดึงสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้ามาเป็นพวกอย่างเดียวล่ะ ตบะของเจ้าก็ต้องฝึกฝนให้สูงขึ้นตามไปด้วย อย่าปล่อยให้พวกสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าที่มาทีหลังไล่ตามเจ้าทัน”

หานตั้วเทียนรีบให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ละเลยการบำเพ็ญของตนเอง

หลังจากที่เขากลับไปแล้ว หานเจวี๋ยก็เริ่มครุ่นคิด

ในเมื่อต้องรับสิ่งมีชีวิตพวกนี้เข้ามา ก็ต้องจัดแจงสถานะในสำนักซ่อนเร้นให้แก่พวกมันด้วยสินะ

ทหารซ่อนเร้น?

ศิษย์ในนาม?

………………………………………………..