บทที่ 532 คุ้มกันทางเข้า

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 532 คุ้มกันทางเข้า

ส้งเย่นกุยมองปลายดาบที่ชี้ตรงมาที่ตัวเองแวบหนึ่ง หันหน้าไปข้างหนึ่งเล็กน้อย เงียบไม่พูดจา ในแววตาค่อนข้างสลด

“ไม่เกี่ยวกับเขา” หลานเยาเยาถอนหายใจ

จากนั้นออกแรงกดแขนที่จื่อเฟิงถือดาบไว้ลงไป เคลื่อนตาไปมอง เย็นหงตะลึงงันอยู่ที่นั่นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

“เทพธิดา……”

“ข้าไม่เป็นไร ราชครูเทียนเวิงมาแล้ว พวกเราต้องเตรียมพร้อมให้ดี”

พูดจบ ก็มองส้งเย่นกุยแวบหนึ่ง ส้งเย่นกุยสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง รีบหันศีรษะมาทันที พยักหน้าเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินนำทางอยู่ด้านหน้า

วังทองที่ใหญ่โต สีทองอร่ามเป็นผืนแผ่น ใต้ความสั่นไหว ที่ตกลงพื้นทั้งหมดล้วนเป็นแสงสีทองอร่าม

รอจนความสั่นไหวดั่งแผ่นดินไหวเริ่มค่อยๆสงบ ส้งเย่นกุยพาหลานเยาเยาพวกเขามาถึงห้องลับที่หนึ่ง ด้านในเป็นที่เดียวที่ไม่ใช่ทองคำ แต่กลับแปลกประหลาดมาก

เพราะว่าในห้องลับทุกที่ล้วนเป็นปุ่มกดกลไกแต่ละชนิดแต่ละอย่าง ยังมีสิ่งของคล้ายกับฟันเฟือง กำลังหมุนวนไม่หยุด มีที่หมุนเร็ว มีที่หมุนช้าเป็นพิเศษ

มีที่หนึ่งในนั้นที่หยุดหมุนแล้ว กระทั่งยังมีควันสีดำพุ่งออกมา ควันสีดำในอากาศแผ่กระจายกลิ่นอายที่เหม็นมาก

ส้งเย่นกุยกล่าว : “ที่นี่คือห้องควบคุมกลไกใต้ดินทั้งหมดของวังทอง”

เขาเดินเข้าไป ถึงที่หนึ่งที่กำแพงที่เต็มไปด้วยปุ่มกดกลไก หาสถานที่ที่หนึ่งที่สะอาดเป็นเงาได้อย่างแม่นยำ ยื่นมือกำมือเป็นหมัดแน่น ทุบทางจุดที่สะอาดและเป็นเงา

“กึกกึก” หลังจากเสียงหนึ่ง เสียงดังก้องเล็กน้อย

ทันใดนั้นที่เรียบๆทั้งแผ่นที่เป็นเงาและสะอาดก็แตกเป็นสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ขยายออกอีก ก็เหมือนกับร่องเว้าบุ๋มลงไปเช่นนั้น

นั่นเป็นช่องลับเล็กๆช่องหนึ่ง ส้งเย่นกุยเอื้อมมือหยิบตำราโบราณเล่มหนึ่งที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองจากในร่องเว้าบุ๋ม จากนั้น มืออีกข้างก็ตีไปบนช่องลับโดยตรง ช่องลับถูกผลักกลับไปทันที พื้นผิวกำแพงนั้นกลับคืนเป็นลักษณะที่แวววาวและสะอาดในพริบตา ดูไม่ออกว่ามีร่องรอยของช่องลับโดยสิ้นเชิง

“หนังสือนี้เป็นรูปภาพรายละเอียดของการควบคุมกลไกทั้งหมดของห้องลับห้องนี้ แม้ว่าจะไม่ธรรมดา แต่อ่านอย่างตั้งใจแล้วจะเข้าใจได้ง่ายมาก”

พูดพลาง ส้งเย่นกุยก็มาถึงด้านหน้าของเย็นหงแล้ว เอาตำรายัดเข้าในมือของนางโดยตรง

“เจ้าไม่มีกำลังภายใน ไม่เป็นวิทยายุทธ แต่เจ้ารู้หนังสืออีกทั้งสมองก็ปราดเปรื่อง ห้องลับห้องนี้ลึกลับเป็นที่สุด พวกเขาจะหาที่นี่ไม่เจอ กลไกเหล่านี้จะควบคุมโดยเจ้า”

สีหน้าเย็นหงเต็มไปด้วยความเงอะงะ

แต่ส้งเย่นกุยพูดมาไม่ผิด นางไม่เป็นวิทยายุทธ ไม่มีกำลังภายใน ออกไปรบราฆ่าฟันพร้อมกับพวกเขามีแต่จะเป็นภาระเท่านั้น เรียนรู้การควบคุมกลไกเหล่านี้ด้วยความรวดเร็วเป็นที่สุดยังจะดีกว่า

“ได้ จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”

พูดพลาง นางก็พลิกตำราที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง หน้าแรกนางก็งงงันแล้ว

อักษรนางล้วนรู้จัก เชื่อมเข้าด้วยกันก็อ่านไม่เข้าใจแล้ว

ไม่มีอะไรเกินไปกว่าลายมืออักษรที่อ่านยาก?

มองดูอักษรและรูปภาพที่เหมือนกับเรียงความตัวหนังสือโบราณที่อ่านเข้าใจยาก เย็นหงเดินไปด้านหน้ากลไกที่หนึ่ง เพียงสัมผัสเบาๆนิดหน่อย แต่ก็สัมผัสเพียงเบาๆนิดหน่อยเท่านั้น ไม่กล้าลงมือรุนแรง

กลับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังเล็กน้อยรอบหนึ่ง เย็นหงรีบเก็บมือกลับทันที

นางเงยหน้าขึ้นมา ใช้แววตาอ้อนวอนมองไปทางหลานเยาเยา กลับพบว่าสามคนที่เดิมทียืนอยู่ด้านหน้านางหายตัวไปแล้ว ด้านหน้าว่างเปล่า

ก็ไปเช่นนี้เลย?

เชื่อใจนางขนาดนี้เชียวหรือ?

ขณะเดียวกันที่เย็นหงสงสัย เวลานี้ด้านนอกปรากฏอย่างกะทันหัน เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย สามคนที่ผมเผ้ารุงรังสีหน้างงงัน

ข้าเป็นใคร?

ข้าอยู่ที่ไหน?

เมื่อครู่ได้เผชิญอะไรแล้ว?

หลานเยาเยาและจื่อเฟิงมองไปทางส้งเย่นกุยพร้อมกัน แม้ไม่ได้พูดจา แต่ในดวงตามีความสงสัยเหมือนกัน ทำให้ส้งเย่นกุยอดไม่ได้ที่จะเอากำปั้นวางไว้ข้างปากแล้วกระแอมเบาๆเสียงหนึ่ง

“ข้าเป็นเพียงวิชาการรักษา ไม่เข้าใจกลไก อย่ามองข้าเช่นนี้ ข้าก็โดนดีดออกมาแล้วขอรับ”

“……”

“……”

ทั้งๆที่เห็นได้ว่าเป็นเหมือนบุคคลที่เก่งกาจต่างไปจากคนธรรมดา ลักษณะท่าทางของปัญญาชนที่ไม่เปื้อนโลกีย์โลกมนุษย์ ทำเรื่องขึ้นมาราวกับว่าจะพึ่งพาไม่ค่อยได้

แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ไม่จุกจิกกับสิ่งนี้แล้ว การฆ่าฟันศัตรูข้างนอกสำคัญยิ่งกว่าหน่อย

จัดระเบียบเสื้อผ้าเล็กน้อย ส้งเย่นกุยจึงพาพวกเขาสองคนไปทะเลทรายจุดที่เชื่อมต่อกับทางเข้าวังทอง

เพิ่งจะถึง ก็ถูกเหตุการณ์ด้านหน้า ทำให้ตกใจจนเหาะถอยหลังไปโดยตรง

ทางเข้าถูกฝืนให้เปิดออกเป็นรอยบากกว้าง ทรายสีเหลืองเต็มท้องฟ้าดั่งน้ำไหลพุ่งมาทางพวกเขา พุ่งหมุนออกมาอย่างรวดเร็ว อบอวลไปทุกที่

รอยบากกว้างใหญ่ขนาดนี้ เททรายสีเหลืองเข้าไปอีก พวกไม่มีวิธีที่จะเฝ้าปากอุโมงค์ได้แล้ว ทำได้เพียงแยกย้ายไปคุ้มกัน

ส้งเย่นกุยมาถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสาทองคำที่ยกสูงขึ้นมา พวกมันเหมือนต้นไม้เก่าแก่ที่อ้วนและแข็งแรง เกิดขึ้นมาจากพื้นผิว ทั้งยังดันหลังคาของวังทองที่สูงสิบกว่าเมตร

เห็นได้ชัดว่าใหญ่โตโอ่อ่า ภาพสีทองเหลืองอร่ามโชติช่วง แต่ถูกทรายสีเหลืองทะลักเข้ามาครอบคลุมเป็นเนินที่เลอะเทอะมากกว่าครึ่ง

ส้งเย่นกุยอยู่ห่างจากทรายสีเหลืองกองใหญ่นั้นไกลมาก แต่ใต้เท้ากลับเหยียบถึงทรายละเอียดชั้นบางๆ

เมื่อเขาโบกมือ ทรายบางๆใต้เท้ารวมทั้งรอบๆ ทั้งหมดถูกกวาดไปหมดเกลี้ยง

ทรายบางๆที่เบาดั่งหมอกตกอยู่บนทรายสีเหลืองชั้นหนาๆนั้นที่อยู่ห่างไปสองสามเมตร ทีแรกคือเงียบสงบ แต่นาทีที่ตกลงไปนั้น ทรายสีเหลืองหนาๆระเบิดออกอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าสิ่งของอะไรที่ออกมาจากข้างในอย่างฉับพลัน

เมื่อแสงเย็นวาบ แรงสังหารคุกรุ่น โจมตีมาทางเขาอย่างดุเดือด

ส้งเย่นกุยเอียงศีรษะเล็กน้อย มองดูมีดแหลมคมที่อยู่ใกล้ๆ หรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อยกแขนที่เรียวยาว นิ้วมือดีด ลำตัวที่แหลมคมอย่างรุนแรงของมีดได้แหลกสลายในพริบตา บุคคลที่ถือมีดใหญ่ด้วยพลังที่ไร้รูปร่างกระเด็นออกไปโดยตรง ตามเลือดที่กระอักออกมา คนผู้นั้นพุ่งออกมาจากสถานที่ในทะเลทรายสีเหลือง แล้วยังกระทบเข้าไปที่เดิม แสดงออกมาเป็นดอกไม้ทะเลทรายผืนหนึ่ง

การจู่โจมนี้ ทำให้นักฆ่าที่หลบซ่อนอยู่ในทรายสีเหลือง ทั้งหมดถูกจู่โจมออกมา

หลังจากที่ไม่มีที่ให้หลบซ่อน นักฆ่าเหล่านั้นพุ่งการฆ่ามาทางส้งเย่นกุยทั้งหมด…….

ส้งเย่นกุยมองดูคนเหล่านี้ที่แรงสังหารดุเดือด ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ เอาร่างกายพิงที่เสาทองคำอันใหญ่ด้านหลัง ไร้ความสนใจ

เจ้านายไม่ได้บอกว่าราชครูเทียนเวิงเก่งกาจเช่นโน้นเช่นนี้หรือ?

เขายังอยากพบเจอต่อกรสักตั้งล่ะ!

ใครจะรู้ว่าจะพบเพียงพวกอันธพาลเหล่านี้ รู้สึกหมดสนุกในทันที จากนั้นเพียงโบกมือ นักฆ่าเหล่านั้นก็ถูกดีดออกไปไกลหลายเมตร แต่ละคนกระอักเลือดแล้วยังไม่รู้จักวิ่งหนี คิดไม่ถึงว่ายังต้องการเข้ามารนหาที่อีก

ไม่มีทางอื่น ส้งเย่นกุยทำได้เพียงส่งพวกเขากลับไปในทรายสีเหลือง

มองดูกองทรายสีเหลืองหนาๆนั่น ถูกทุบกระแทกครั้งหนึ่งและอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏเป็นรอยหลุมออกมาแล้ว ยังจะด้านหน้าล้มลงด้านหลังตามมาติดๆอีก

“อ้า!”

เมื่อนักฆ่าคนสุดท้าย ถูกทุบกระแทกเข้าไปในทรายหนาๆอย่างรุนแรงแล้ว ก็ไม่มีคนปีนออกมาอีก

“เรื่องจิ๊บจ๊อย”

พูดประโยคเช่นนี้ออกมาอย่างง่ายดาย แล้วก็สะบัดแขนเสื้อ ไปแล้ว ไม่ได้เอาทรายละเอียดไปสักเม็ด

เมื่อเทียบกับความง่ายดายสบายๆของส้งเย่นกุย เห็นได้ชัดว่าจื่อเฟิงมีการสังหารอย่างไม่ลังเล คล่องแคล่วฉับไวไม่ไว้ชีวิต

โดยสรุป แต่ละกระบวนท่าปลิดชีวิต แต่ละดาบปาดตรงคอ

สังหารนักฆ่าเหล่านั้น กลืนน้ำลายโดยตรง ล้วนอกสั่นขวัญแขวนหวาดผวาหมดแล้ว แต่ก็ไม่กล้าล่าถอย อย่างไรเสีย การรอคอยหลังจากที่ล่าถอยของพวกเขาเป็นการทรมานแบบตายทั้งเป็น เมื่อเป็นเช่นนี้ สู้สักตั้งไปซะเลยยังดีกว่า แม้ว่าตายก็ตายอย่างไม่ทรมาน

ภายใต้การกวัดแกว่งดาบที่องอาจห้าวหาญของจื่อเฟิง ตาหูจมูกปากที่งามสง่า รูปร่างที่สูงโปร่ง บวกกับแววตาที่เย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ เป็นเทพเจ้านักฆ่าผู้หนึ่งโดยแท้ มีท่าทางของเย่แจ๋หยิ่งร้อยละแปดสิบ

“ชิ้ง~~~”

หลังจากเสียงแสบหูการสั่นสะเทือนของดาบแหลมคมค่อยๆสงบลง เลือดสดหยดหนึ่งหยดลงมาจากดาบ “แปะ” รอบหนึ่ง ร่วงลงที่พื้น

ที่พื้นเต็มไปด้วยศพระเกะระกะ จื่อเฟิงไม่มองสักแวบ ก็หมุนตัวก้าวยาวๆจากไป

กลับเป็นหลานเยาเยาทางนั้น ทั้งผืนเงียบสงบเป็นพิเศษอย่างแปลกประหลาด

ทรายสีเหลืออบอวลเต็มฟ้าดั่งหมอกควัน ปกคลุมการมองเห็นให้เลือนราง มองรอบๆไม่ชัด ราวกับว่าตกลงไปในดินแดนที่ปราศจากผู้คน ถูกความดำมืดปกคลุม

“ซ่าซ่า……”

เสียงเสื้อคลุมโบกพลิ้วอย่างรวดเร็ว เล็กละเอียดมาก อีกทั้งรวดเร็วเป็นที่สุด หลานเยาเยาจับกุมได้ในทันที

ฝ่ามือที่ได้ขับเคลื่อนกำลังภายในล่วงหน้า จู่โจมไปทิศทางของเสียง ในพริบตาก็มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้น