ตอนที่ 276 ข่าวลือกระฉ่อน

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 276 ข่าวลือกระฉ่อน

จินหลิวหลีถึงกับประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้?”

อวี้ชิงลั่วกลอกตาใส่ นางไม่ได้ออกไปข้างนอกมาหลายวันแล้ว จะไปรู้ได้อย่างไรกันว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?

“อืม ตอนที่ข้าเพิ่งมาที่นี่ ข้าได้ยินคนในโรงน้ำชาพูดคุยเกี่ยวกับเจ้าด้วย บอกว่าฮูหยินอะไรสักอย่างนี่แหละ” จินหลิวหลีลากเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามอวี้ชิงลั่ว ครั้นพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองโม่เสียน เมื่อเห็นท่าทางเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่าย จึงพูดต่อไปว่า “ตอนนี้เมืองหลวงมีข่าวลือหนาหู บอกว่าเสนาบดีฝ่ายขวากับหมอปีศาจเป็นคู่สร้างคู่สมจากสวรรค์ ภายภาคหน้าก็คงได้แต่งงานกัน แม่นางชิงหมอปีศาจกำลังจะกลายเป็นฮูหยินของท่านเสนาบดีแล้ว”

“…” อวี้ชิงลั่วชะงัก อยู่ดี ๆ เหตุใดถึงได้มีเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้?

โม่เสียนขมวดคิ้ว สีหน้าดูเคร่งขรึม หมุนกายเดินออกไป

จินหลิวหลีเลิกคิ้วและกระทุ้งอวี้ชิงลั่ว “ระหว่างเจ้ากับเสนาบดีฝ่ายขวา เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”

“เรื่องนี้ ใครเป็นคนปล่อยข่าว?” อวี้ชิงลั่วไม่ตอบคำถามแต่กลับย้อนถาม

“คาดว่าคงเพิ่งกระจายข่าวไม่นานมานี้ โม่เสียนก็ยังไม่รู้เลย ข่าวคงแพร่กระจายออกไปยังไม่กว้าง แต่เจ้าเองก็รู้ดี ข่าวลือแบบนี้กระจายออกไปรวดเร็วมาโดยตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความนิยมของเมืองหลวงนอกจากเรื่องการแข่งขันสี่อาณาจักรก็หมอปีศาจนี่แหละ ประกอบกับหลีจื่อฟานที่เดิมทีก็เป็นคนที่ถูกกล่าวถึงอยู่แล้ว ข้าว่าถึงช่วงค่ำ คงได้ลือกันทั่วถนนและตรอกซอยต่าง ๆ แม้แต่เด็กสามขวบก็คงรู้กันหมดว่าเสนาบดีฝ่ายขวาและหมอปีศาจเป็นคู่กันแล้ว”

จินหลิวหลีวิเคราะห์ไว้ไม่ผิดเลย ข่าวลือนี้เพิ่งจะเริ่มได้ไม่นาน หลังจากโม่เสียนวิ่งออกมาจากเรือนของอวี้ชิงลั่วแล้ว พ่อบ้านหยางก็วิ่งเข้ามาเกี่ยวกับข่าวลือพอดิบพอดี

ตอนนี้คนที่มีอำนาจตัดสินใจภายในตำหนักมีแค่แม่นางอวี้ ท่านโม่และท่านเหวินเท่านั้น เรื่องเกี่ยวกับแม่นางอวี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่นำข่าวลือนี้มาบอกท่านโม่ เพื่อดูว่าเขามีความคิดเห็นใด ๆ หรือไม่

โม่เสียนเม้มปากแน่นเดินออกจากตำหนักอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นที่ใด ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปทั่วถนนตรอกซอย ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว

ต่อให้คิดอยากจะหยุด เกรงว่าก็คงมิอาจทำอะไรได้แล้ว

ตอนนี้ เขาทำได้แค่ไปรายงานกับนายท่าน เพื่อขอให้นายท่านตัดสินใจ

โม่เสียนและเหวินเทียนปรึกษากันแล้ว ท้ายที่สุดเหวินเทียนจึงอยู่ดูแลความปลอดภัยของอวี้ชิงลั่วอยู่ที่ตำหนัก ส่วนโม่เสียนรีบออกเดินทางไปยังที่พักของเย่ซิวตู๋ ก็พบว่าเย่ซิวตู๋กำลังมองหนานหนานฝึกซ้อมอยู่

ตอนที่หนานหนานเห็นว่ามีคนวิ่งเข้ามา ก็รีบยิ้มให้โม่เสียนด้วยความตื่นเต้น ปล่อยกระบี่ไม้ขนาดเล็กในมือเพื่อจะหาของกิน

เย่ซิวตู๋เคยชินกับพฤติกรรมน่าอายเช่นนี้ของหนานหนานไปแล้ว เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของโม่เสียน จึงปล่อยหนานหนานไป หลังจากล้างมือก็เดินออกมาจากลาน

ครั้นได้ฟังรายงานของโม่เสียนจนจบ เย่ซิวตู๋กลับยิ้มจาง ๆ และเงียบขรึมไป

เสิ่นอิงกลับรู้สึกโกรธมาก กล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือที่นี่ แม่นางอวี้เป็นคนของท่านอ๋อง ไม่เกี่ยวอะไรกับเสนาบดีฝ่ายขวาสักหน่อย”

“ท่านอ๋อง หรือว่าเรื่องนี้เสนาบดีจะให้คนปล่อยข่าวออกไป?” เผิงอิงคาดเดาพลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ

เย่ซิวตู๋ส่ายหน้า “เสนาบดีฝ่ายขวาคงไม่ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ เรื่องนี้หากถูกแพร่งพรายออกไปมิได้เกิดผลดีกับเขา”

“แล้วจะเป็นใครเล่าขอรับ? เหตุใดถึงได้มาจับคู่แม่นางอวี้กับเสนาบดีฝ่ายขวา? ต่อให้ปล่อยข่าว ก็ควรจะปล่อยข่าวว่าแม่นางอวี้และท่านอ๋องเป็นคู่สวรรค์สรรค์สร้างสิ” เสิ่นอิงรู้ดีว่าช่วงนี้เย่ซิวตู๋อารมณ์ไม่ดี เขาจึงพูดด้วยคำพูดดี ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น เย่ซิวตู๋ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาก หลังจากเหลือบตามองอีกฝ่ายก็หลับตาลงอย่างช้า ๆ

ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันมองเผิงอิง “ไปตรวจสอบมาว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังข่าวลือนี้เป็นใคร”

“ขอรับ” เผิงอิงพยักหน้า หมุนกายรีบบินออกไปอย่างรวดเร็ว

เย่ซิวตู๋เงียบขรึมไปอีกครู่หนึ่ง จึงหันมาถามโม่เสียน “ทางฝั่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นเช่นไรบ้าง?”

“สถานการณ์ของเสนาบดีฝ่ายขวาไม่ค่อยสู้ดีขอรับ หลังจากเสนาบดีฝ่ายขวาออกไปจากตำหนักอ๋อง เขาก็ล้มป่วย เขาไม่ได้เข้าประชุมราชสำนักช่วงเช้ามาหลายวันแล้ว ฮ่องเต้กังวลใจเพราะเรื่องนี้มาก ถึงขั้นส่งหมอหลวงไปที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวาหลายคนอย่างต่อเนื่อง แต่เสนาบดีฝ่ายขวาก็ยังไม่ดีขึ้น”

เย่ซิวตู๋กระตุกมุมปากหัวเราะหนึ่งเสียง “อืม เสด็จพ่อก็คงให้ความสนใจอวี้ชิงลั่วแล้ว”

โม่เสียนชะงัก จากนั้นก็ตระหนักขึ้นได้ ก็จริง หมอหลวงไม่สามารถรักษาโรคให้เสนาบดีฝ่ายขวาได้ ตอนนี้หมอปีศาจก็อยู่ที่ตำหนักอ๋องซิว ฮ่องเต้ให้ความสำคัญและหวงแหนเสนาบดีฝ่ายขวามาก พระองค์ย่อมคิดอยากจะให้แม่นางอวี้ออกหน้าช่วยเหลือเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นแน่

“ไป เข้าวัง” เย่ซิวตู๋ขึงมุมปากเป็นเส้นตรง มองไปด้านหน้าพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

สิ้นเสียง เขาก็เห็นหนานหนานวิ่งเข้ามา ทั้งยังจับขาของเย่ซิวตู๋พร้อมกับเริ่มส่งเสียงเรียก “ท่านพ่อ ข้าเห็นท่านลุงโม่เสียนมาหาท่านแล้ว เช่นนั้นก็คงต้องมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับท่าน ท่านรีบไปเถิด ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าไม่แอบอู้แน่นอน ข้าจะฝึกซ้อมต่อ ข้าจะอยู่ที่นี่อย่างมีสติและขยันขันแข็ง”

เย่ซิวตู๋ถึงกับเลิกคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ “งั้นรึ? เดิมทีพ่ออยากให้เจ้าไปพักกลางวันสักหน่อย แต่ในเมื่อเจ้าขยันขันแข็งเช่นนี้ ก็ฝึกซ้อมต่อเถิด”

หนานหนานได้ยินก็ถึงกับตัวแข็งทื่อ ยิ้มแย้มด้วยท่าทางประจบประแจง รีบให้ความสนใจและพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านพ่อ การตัดสินใจของท่านตรงตามที่ท่านแม่เคยพูดไว้ว่าไม่ว่าจะทำสิ่งใดต้องทำงานควบคู่กับการพักผ่อนถึงจะทำให้งานดีขึ้น เมื่อครู่ท่านพ่อบอกให้ข้าไปพักกลางวันถือเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดปราดเปรื่องนัก งั้นก็ตกลงตามนี้นะ ข้าไปนะ ลาก่อน”

เป็นเพราะกลัวว่าเย่ซิวตู๋จะเปลี่ยนใจ หนานหนานจึงรีบพูดให้จบภายในรวดเดียวโดยไม่หยุดหายใจ สิ้นเสียง ร่างเล็ก ๆ ก็วิ่งกลับเข้าไปด้านในห้อง หายไปไม่เห็นแม้แต่เงาภายในพริบตาเดียว

เสิ่นอิงและโม่เสียนถึงกับอ้าปากค้างอย่างห้ามไม่อยู่ เพื่อให้ได้พักผ่อน ถึงขั้นใช้กระบวนท่าฝ่าเท้าของตระกูลลู่เพื่อหลบหนี ไม่รู้ว่าหากตระกูลลู่รู้ว่าทักษะเฉพาะของตระกูลลู่ถูกหนานหนานนำมาใช้ในเวลาเช่นนี้ จะรู้สึกจุกอกหรือไม่

เย่ซิวตู๋หัวเราะเบา ๆ เขาสั่งให้คนรับใช้ภายในจวนดูแลหนานหนานให้ดี จากนั้นจึงนำเสิ่นอิงและโม่เสียนออกจากจวน

แม้ว่าการเดินทางไปที่วังจะรวดเร็ว แต่ข่าวลือเหล่านั้นที่ดังเข้ามาในหูของพวกเขาทั้งสามคน ก็เริ่มจะเชื่อถือไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว มีบางข่าวลือบอกว่าเสนาบดีฝ่ายขวาและหมอปีศาจแอบตกลงเป็นการส่วนตัวไว้นานแล้ว

บางข่าวลือก็พูดว่าเสนาบดีฝ่ายขวาช่างมีความสุขนัก ตัดสินใจแต่งงานกับอวี้ชิงโหรวและหมอปีศาจพร้อม ๆ กัน

มีคนพูดไว้ว่า เสนาบดีฝ่ายขวาไม่ชอบอวี้ชิงโหรว มิเช่นนั้นคงแต่งงานและให้นางย้ายมาอยู่ในจวนนานแล้ว

เสิ่นอิงนั่งอยู่ที่ขอบรถม้า ยิ่งฟังคิ้วก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน ลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาไม่เข้าใจเลย เรื่องที่มิได้รับการพิสูจน์ประเภทนี้ พวกเขาก็ยังนำไปกระจายอย่างกระตือรือร้นและคึกคักเช่นนี้

โม่เสียนทนไม่ไหวแล้ว “นายท่าน หากข่าวลือเช่นนี้ถูกแพร่งพรายออกไปอาจส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อแม่นางอวี้เป็นอย่างมาก ให้ข้าไปชี้แจงตามโรงน้ำชาแต่ละแห่งดีหรือไม่ขอรับ?”

“ไม่ต้อง” เย่ซิวตู๋หลับตาเอนตัวพิงเข้ากับข้างตัวรถม้าอย่างเกียจคร้าน หัวเราะเยาะ “เรื่องนี้เรามีแผนในใจแล้ว”

ส่วนจะชี้แจงข่าวลืออย่างไร เขาย่อมทราบเป็นอย่างดี

……………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ใครเป็นคนปล่อยข่าวกันนะ ใช่สองแม่ลูกเฉินจีซินนั่นหรือเปล่า

ถ้าท่านอ๋องเป็นคนปล่อยข่าวเองนี่ฮาเลยนะ คดีพลิกอย่างแรง

แผนแก้ข่าวในใจของท่านอ๋องคืออะไรล่ะนั่น

ไหหม่า(海馬)