ตอนที่ 380 ดูหลุมนี้สิ มันทั้งใหญ่และลึก (2)
ในขณะนั้นเอง ก็มีหมู่เมฆลอยมาจากทั่วทุกทิศทาง แล้วเข้าห่อหุ้มขาและเท้าทั้งสองข้างของฉยงเซียวและปี้เซียวเอาไว้แน่นในทันทีโดยไม่ให้โอกาสพวกนางได้ทันโต้ตอบ
“พี่สาว…”
ฉยงเซียวหน้าซีดเล็กน้อย ส่วนปี้เซียวได้บีบใบหูส่วนล่างของนางอย่างชำนาญในขณะที่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ทันใดนั้น เชือกผูกมังกรที่พันรอบร่างของหลี่ฉางโซ่ว กลายเป็นธารแสงสีทองแล้วสลายไปเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ทำการคารวะเต๋าให้ฉยงเซียวและปี้เซียวทันที และกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยขออำลาไปก่อนขอรับ”
ทันทีที่กล่าวจบ ก็มีเปลวเพลิงลุกโหมไปทั่วร่างของเขา หลังจากนั้นไม่นาน มันก็ท่วมท้นร่างของเขาจนหมด ในขณะที่ดวงตากลมโตของฉยงเซียวและปี้เซียวเบิกกว้าง จ้องมองเขาที่กลายเป็นเถ้าถ่านลอยกระจัดกระจายไปตามสายลม ร่างจำแลงหรือ?!
จู่ๆ ฉยงเซียวก็ได้ยินข้อความเสียงของหลี่ฉางโซ่วอีกครั้ง …
“คราวนี้ เกรงว่า ผู้น้อยจะชนะด้วยโชคแล้วขอรับ ผู้อาวุโสอวิ๋นเซียวเข้าใจได้ไม่ยาก ท่านรู้เรื่องนี้ดีกว่าผู้น้อย ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ผู้น้อยเพียงเคารพผู้อาวุโสอวิ๋นเซียวเท่านั้น และจะไม่มีความคิดพิเศษใดๆ ขอผู้อาวุโสโปรดถนอมตัวด้วยขอรับ”
เสียงของหลี่ฉางโซ่วหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วร่างของอวิ๋นเซียวก็ปรากฏขึ้นในสายตาของฉยงเซียวทันที…เทพธิดาผู้นี้ ซึ่งปกติแล้ว อ่อนโยนราวสายน้ำ แต่ในเวลานี้ ใบหน้างดงามของนางกลับดูเย็นชาอย่างยิ่ง
“คุกเข่า!”
และเกือบจะพร้อมๆ กับที่อวิ๋นเซียวปรากฏกาย ในขณะนั้น บนชายฝั่งทะเลบูรพาก็มีปลาตัวหนึ่งปรากฏขึ้นจากน้ำเงียบ ๆ ก่อนจะกลายเป็นบุรุษร่างกำยำวัยกลางคนแล้วขึ้นไปบนชายหาดร้างแห่งดินแดนเทวะทักษิณ
……
จากนั้น เขาก็ตบฝ่าเท้าลงไปเบาๆ แล้วร่างของเขาก็มีเสี้ยวควันสีเขียวบางๆ ลอยฟุ้งออกมาก่อนที่ร่างนั้นจะหายไปในทันที
มันไม่มีอะไรอื่นนอกจาก…
ความชั่วร้ายสูงขึ้นสามฉื่อ แต่เต๋าสูงขึ้นสามฉื่อครึ่ง[1] แม้เขาจะอยากเห็นภาพความรุนแรงในครอบครัวของเกาะซานเซียว แต่เขาก็ไม่อาจอยู่ที่นั่นได้นานด้วยเกรงว่าจะหาเรื่องใส่ตัว…
ตามการคาดการณ์ของหลี่ฉางโซ่ว เขาไม่ต้องห่วงว่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนนี้ที่รู้พื้นหลังของเขา จะไปไหนมาไหนในโลกบรรพกาล อย่างน้อยๆ ก็ในอีกสองสามพันปีข้างหน้า หลี่ฉางโซ่วจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เวลานี้ สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือ กลับไปซ่อนตัวที่สำนักตู้เซียน
ในเวลาเดียวกัน หลี่ฉางโซ่วก็หันกลับไปยังเมืองมนุษย์ที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาอยู่ แล้วเขาก็เห็นเด็กสาวที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ที่สวนหลังจวนแม่ทัพ
ในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปสิบสองปี บัดนี้ นางได้เจริญวัยจนเป็นสาวแรกแย้มแล้ว
ดังนั้น เมื่อออกจากการปิดด่านแล้ว เจียงหลินเอ๋อร์จึงได้พาจิ่วจิ่วมาที่นี่ครั้งหนึ่งเพื่อฝังเมล็ดพันธุ์เซียนให้เด็กสาว และทำสัญญากับบิดามารดาของนาง ในอีกปีหรือสองปีข้างหน้า พวกเขาก็จะพานางไปที่สำนักตู้เซียนอย่างเป็นทางการ
เจียงหลินเอ๋อร์จะรับนางเป็นศิษย์คนเล็ก นางจะเป็นอาจารย์อาน้อยจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้ เขาใช้แต่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เพื่อปกป้องนางและปฏิบัติต่อนางเฉกเช่นเดียวกับผู้คนบนยอดเขาหยกน้อย เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพของเด็กสาวแล้ว ก็นับได้ว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย หลังจากสังเกตกระบวนท่าของนางที่ฝึกกระบี่ เขาก็รู้สึกว่านางน่าจะมีความเข้าใจดีทีเดียว
ทว่าเขาไม่รู้ว่าอาจารย์ของเขาจะรู้สึกอย่างไรเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับ “ศิษย์น้องหญิงน้อย” ซึ่งคล้ายกับอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่อยู่หกส่วน
ถึงเวลาแล้วที่อาจารย์ของเขาจะได้รู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่ในสมัยนั้น… จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หันหลังกลับและออกจากเมือง เขาใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย มุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่เขาคุ้นเคยที่สุดอย่างรวดเร็ว
ในชั่วพริบตา เขาก็ผ่านเทือกเขานับพันและอยู่ห่างไกลจากแดนมนุษย์
หลังจากไปถึงเซียนจินแล้ว เวทหลบหนีของหลี่ฉางโซ่วก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วยาม เขาก็มาถึงประตูสำนักตู้เซียน
เขาบรรลุผลเช่นนั้นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเต็มกำลัง
การกลับไปที่ภูเขานั้นเรียบง่าย หลี่ฉางโซ่วใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกไป แล้วร่างหลักของเขาก็กลับคืนสู่สำนักได้อย่างไร้ตำหนิ
สิ่งแรกที่เขาจะทำคือ ไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์และคุกเข่าต่อหน้าภาพเหมือนของจอมปราชญ์เทพ และกราบไหว้บูชาอยู่เงียบๆ…เป็นเวลาครึ่งวัน…
พอถึงกลางคืน หลี่ฉางโซ่วก็จะกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยเพื่อกล่าวทักทายหลิงเอ๋อร์และสงหลิงลี่ก่อนจะกลับไปที่หอโอสถ
ก่อนหน้านี้ ในถังทองฮุ่นหยวน เขารับเพียงการหยั่งรู้ทั้งหมดโดยยังไม่ได้แยกแยะอย่างเต็มที่ เขาจะต้องเข้าปิดด่านอย่างน้อยๆ ยี่สิบ สามสิบปีก่อนที่จะผสานรวมขอบเขตพลังในยามนี้ของเขาได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วเข้าสู่เซียนจินแล้ว แผนพเนจรของยอดเขาหยกน้อยก็อาจก้าวหน้าไปได้มาก
ก่อนที่จะกลายเป็นเซียนจิน ความคิดของหลี่ฉางโซ่วถูกจำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องค่ายกลและกฎห้ามเท่านั้น
ทว่าบัดนี้เขาได้รับผลเต๋าอายุยืนแล้ว ขอบเขตพลังของเขาไม่ต่ำ เขาสามารถเริ่มต้นด้วยพลังเวทและรวมเข้ากับรากฐานค่ายกลที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง จากนั้นก็ค่อย ๆ ปรับแต่งยอดเขาหยกน้อยให้เป็นเครื่องมือเวทขนาดมหึมา! นอกจากนี้ หลี่ฉางโซ่วยังได้ตัดสินใจ กำหนดจุดหมายแรกสำหรับแผนพเนจรของยอดเขาหยกน้อยเอาไว้ด้วย
สวนหลังวังดุสิต!
แน่นอนว่า เขาไม่กล้าคิดถึงมันมาก…
ใกล้วังดุสิตเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดในการปลูกถั่ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องให้รากฐานของเขาในศาลสวรรค์มีเสถียรภาพมากขึ้นกว่านี้ และหลังจากที่เขาประสบความสำเร็จด้วยการสร้างผลงานยิ่งใหญ่มาก เขาก็ย่อมสามารถขอพระราชานุญาติจากองค์เง็กเซียนได้
ความจริงแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ฉีหยวนยังคงคิดอยู่ว่าเมื่อใดที่เขาควรจะไปที่ศาลสวรรค์เพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยและช่วยศิษย์ทั้งสองของเขา ปูทางสู่เต๋าสวรรค์ในภายภาคหน้า
หลี่ฉางโซ่วคิดอย่างรอบคอบและตัดสินใจปล่อยให้อาจารย์ของเขาเดินต่อไปในเส้นทางนั้น ไม่เช่นนั้นท่านอาจารย์คงไม่มีอะไรทำ ไร้จุดมุ่งหมาย และความหวังจริงๆ…
ในอนาคต เทพแห่งท้องทะเล หลี่ฉางโซ่ว ก็จะเป็น เทพแห่งท้องทะเล หลี่ฉางเกิง มันจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับหลี่ฉางโซ่วและศิษย์น้องหญิงของเขา หลิงเอ๋อร์ ที่จะไปยังศาลสวรรค์เพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย
นั่นย่อมจะเพิ่มการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง…
เดี๋ยวก่อน!
หลี่ฉางเกิง?!
ทันใดนั้น สายฟ้าสายเล็กๆ ก็แวบผ่านเข้ามาในหัวใจของหลี่ฉางโซ่ว หลังจากทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน จู่ๆ ก็มีข้อมูลชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตในชาติก่อนปรากฏขึ้นในความทรงจำของเขาอย่างชัดเจน
จากนั้น เขาก็ทำมุทราหยั่งรู้เพื่อคาดคำนวณและใคร่ครวญ และในท้ายที่สุด เขาก็อดจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปมาในห้องลับใต้ดินไม่ได้
สวรรค์! ข้าทำอะไรลงไปก่อนหน้านี้!?!
เสื้อคลุมสีขาว เซียนชราผมขาวร่างบาง และแส้หางม้า กุนซือขององค์เง็กเซียนที่แผ่รัศมีเทพลึกลับอยู่รอบกายเขา…
นั่นไม่ใช่ราชทูตขององค์เง็กเซียนที่อยู่ในภัยพิบัติของการเดินทางสู่ตะวันตก[2]หรอกหรือ? เขาร้องตะโกนว่า ‘มหาปราชญ์’ และพยายามหลอกล่อซุนหงอคงให้กลายเป็นปี้หม่าเวิน[3] และยังเป็นเซียนชราที่คอยวิ่งทำกิจธุระต่างๆ ทั้งยังอัญเชิญพระพุทธเจ้า…
มหาดาวทองคำขาว ไท่ไป๋ จินซิง[4]!?!
มหาดาวทองคำขาว หลี่ฉางเกิง!?!
หลี่ฉางโซ่วขาอ่อนยวบราวกับกลายเป็นวุ้น เขานั่งลงบนเก้าอี้ทรงกลม และอดจะเกาหูและแก้มไม่ได้ เขานึกถึงเรื่องราวของเขาที่อาจปรากฏในเรื่องนี้หลังจากมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพแล้วฉีกยิ้มกว้าง อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดดูอีกครั้ง เขาก็รู้สึกว่า มันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ยิ่งไปกว่านั้น กรรมระหว่างเขากับไท่ไป๋ จินซิงนั้น มันมหาศาลเกินไป…
นี่มันอันใดกัน?
ข้าได้ขุดหลุมยักษ์ให้ตัวเองแล้วกระโดดลงไปหรือไม่?
เขาก่นด่าความต่ำช้าของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
……
“เอิ๊ก!” ในป่าแห่งหนึ่งที่ชายแดนของดินแดนเทวะอุดร มีร่างสองสามร่างกำลังนั่งอยู่ในป่า พวกเขากำลังดื่มสุราและกินเนื้อ ปากของพวกเขาทุกคนล้วนเปื้อนเลือด
ในบรรดาร่างเหล่านี้ มีชายวัยกลางคนที่มีท่าทางสุภาพเรียบร้อย มีเปลือกไม้กองหนึ่งอยู่ข้างหน้าเขา
เขากำลังกินมันอย่างเอร็ดอร่อยและยังอดจะเรอออกมาไม่ได้ เขาไม่มีทางเลือก ตั้งแต่เขากินเปลือกไม้มาเป็นเวลาสามปี เขาก็หยุดกินมันไม่ได้
“ท่านเสือดำ มาลองลิ้มสุราและเนื้อดีๆ ที่พี่น้องของเรานำมาให้สิ!”
“เหอะๆๆ” ปีศาจเสือดำที่เพิ่งแปลงร่างชั่วขณะยิ้มอย่างภูมิใจ “ไม่หรอก ข้ากินนี่ก็อิ่มและพอใจแล้ว ทุกคน กินเร็วๆ นะ งานที่องค์ราชาทรงมอบหมายให้เรา จะรอช้าไม่ได้ ”
“ไม่ต้องห่วง ท่านเสือดาว หากท่านไม่บอกว่าท่านจะทำสำเร็จในครั้งนี้อย่างแน่นอน พวกเราก็จะไม่เป็นไร[5]!”
ปากของปีศาจเสือดำกระตุก เขาไม่เชื่อเช่นนั้น
เขาคิดกับตัวเองว่า ‘คราวนี้ ข้าจะทำให้สำเร็จ ข้าจะเปิดอาณาเขตใหม่ให้ราชาแรดและยึดครองภูเขานั้น!’
ดังนั้น ในอีกครึ่งเดือนหลังจากนั้น…
ข่าวโลกบรรพกาล: ที่ชายแดนระหว่างดินแดนเทวะอุดรและดินแดนเทวะบูรพา มีปีศาจเฒ่า แรดเซียนเทียนตัวหนึ่ง ถูกกองกำลังสามเผ่าปีศาจสังหาร และอาณาเขตของมันก็ถูกแบ่งส่วนออก
………………………………………………………………..
[1] เปรียบดั่งธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ ในที่นี้ก็คือต่อให้มีความชั่วร้ายเพิ่มขึ้นมากเพียงใด แต่เต๋าจะยิ่งใหญ่กว่าเสมอ (ดั่งที่เปรียบว่าอย่างน้อยครึ่งฉื่อ) ซึ่งผู้เขียนปรับมาจากความดีงามสูงขึ้นหนึ่งฉื่อ แต่ความชั่วร้ายสูงขึ้นสิบฉื่อ
[2] หมายถึงเรื่องไซอิ๋วที่มีซุนหงอคงเป็นตัวเอกซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ซึ่งบางที่ก็ใช้ชื่อว่าการเดินทางสู่แดนชมพูทวีป
[3] คนเลี้ยงม้าสวรรค์
[4] เทพไท่ไป๋จินซิงหรือเรียกกันว่า เทพไท่ไป๋ ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งดาวศุกร์ ถือเป็นเทพชั้นสูงแห่งเต๋า ทรงเป็นราชทูตประจำองค์เง็กเซียน ทั้งยังมีบางกลุ่มยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการศึกสงครามเนื่องจากเก่งกาจด้านค่ายกลและใช้มันปราบทัพนับหมื่นได้
[5] ตรงนี้จะเป็นทำนองว่า ปีศาจเหล่านั้นน่าจะเชื่อว่า ปีศาจเสือดำเป็นคนที่พูดอะไรแล้วจะไม่เกิดขึ้นจริง จึงบอกว่าไม่ให้เขาพูด โดยผู้เขียนน่าจะอิงจากที่ปีศาจเสือดำเคยลั่นวาจาเมื่อครั้งที่เชื่อว่าหลี่ฉางโซ่วจะไม่รอดชีวิตจากการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เซียนจินแน่ๆ แต่สุดท้าย ผลก็กลับเป็นตรงกันข้ามเพราะ ว่าหลี่ฉางโซ่วรอดพ้นนั่นเอง