ตอนที่ 161-1 เสี่ยวไป๋โอ้อวด โบยตีชายโฉด
ศิษย์สำนักซู่ซินจงสองคนนำความกลับไปยังจวนไท่ซืออย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาใส่สีตีไข่ อีกฝ่ายเขียนข้อความลงบนกระดาษเป็นเทียบประชันถึงซู่ซินจง หากแพ้ ชีวิตของนางจะเป็นของซู่ซินจง หากชนะ ซู่ซินจงจะเป็นของนาง
ว่ากันด้วยความเป็นกลางแล้ว เทียบเชิญฉบับนี้ออกจะเขียนมาอย่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำสักเท่าไร ซู่ซินจงเป็นสำนักอะไร ใช่อะไรที่บุตรีจากตระกูลเล็กๆ ที่ถูกทอดทิ้ง จะมาขอแลกเปลี่ยนในระดับเดียวกันเช่นนี้ได้หรือ
อย่าว่าแต่ชีวิตของเฉียวเวยเดิมทีก็ไม่ใช่ของมีค่าอะไรเลย ต่อให้มีค่า ก็ไม่ได้มีค่าถึงขั้นซู่ซินจงทั้งสำนัก
แต่การที่เฉียวเวยปากกล้าเช่นนี้ ก็ทำให้สวี่ฮูหยินโกรธเกรี้ยวจนแน่นอก
ซู่ซินจงมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เพียงนี้ เดิมทีคิดว่าการให้ศิษย์ซู่ซินจงไปส่งเทียบประชันให้ถึงที่ จะทำให้สตรีนางนั้นอกสั่นขวัญแขวน ใครจะรู้ว่าสตรีนางนั้นกลับย้อนมาส่งเทียนประชันให้กับพวกเขา หากนางไม่รับ จะไม่เท่ากับเกรงกลัวสตรีนางนั้นหรือ
“อาจารย์หญิง พวกเราควรทำเช่นไร” ศิษย์พี่หญิงห้าเอ่ยถาม
ศิษย์พี่หญิงห้าเป็นศิษย์หญิงที่เชื่อฟังมากที่สุดคนหนึ่ง ยามปกติหากไม่มีเรื่องอะไร จะทำตามคำสั่งของสวี่ฮูหยินผู้เดียว จึงได้รับความเอ็นดูจากสวี่ฮูหยินมาก
สวี่ฮูหยินเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ทำอย่างไร ก็ต้องให้บทเรียนคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้สักหน่อยน่ะสิ”
ศิษย์พี่หญิงห้าเอ่ยด้วยความไม่สบายใจว่า “เรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงเรื่องสำคัญ ต้องหารือกับท่านอาจารย์สักหน่อยหรือไม่” การเอาซู่ซินจงทั้งสำนักไปเดิมพัน คิดอย่างไรก็รู้สึกน่าหวาดกลัว
สวี่ฮูหยินไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งจำเป็น ด้วยความสามารถของนางกับลูกศิษย์ทั้งหลาย พวกนางรับมือนังเด็กป่าเถื่อนคนหนึ่งได้แน่นอน เหตุใดถึงต้องให้เรื่องนี้ไปถึงสวี่หย่งชิงด้วย หากเรื่องไปถึงเขาจริง เกรงว่าเขาคงเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย “เจ้าไปเรียกทุกคนมาที บอกว่าข้ามีเรื่องจะสั่งการ”
“เจ้าค่ะ”
ศิษย์พี่หญิงห้าถอยออกไป
ตกเย็นวันนั้น เฉียวเวยกำลังตรวจสอบการหมักไข่เยี่ยวม้าชุดหนึ่งอยู่ พิราบส่งสารตัวหนึ่งก็บินลงมาอยู่ที่หน้าต่างตรงหน้านาง นางเปิดออกดูจึงเห็นว่าเป็นจดหมายตอบรับจากสวี่ฮูหยิน
สวี่ฮูหยินรับเทียนประชันของนางแล้ว
จึ๊ๆ สวี่ฮูหยินผู้นี้ยั่วนิดยั่วหน่อยไม่ได้เลยจริงๆ
ทำให้นางคิดถึงอู๋ต้าจินที่เป็นหัวหน้าพรรคชิงหลงคนก่อน อู๋ต้าจินเป็นคนหยาบกระด้าง ซ้ำยังป่าเถื่อนจนเป็นนิสัย บางครั้งถึงขั้นข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น อู๋ต้าจินก็ไม่เคยเอาพรรคชิงหลงทั้งพรรคไปวางลงบนโต๊ะเดิมพันตั้งแต่ครั้งแรกเช่นนี้
เป็นนางที่ค่อยๆ ชี้นำเขา ยั่วโมโหเขา ถึงได้ทำให้อู๋ต้าจินกระโดดลงหลุมพรางที่นางวางเอาไว้อย่างดีได้
แต่กระนั้นครั้งนี้ นางยังไม่ทันคิดให้ดีเลยว่าจะหลอกล่อสวี่ฮูหยินอย่างไร สวี่ฮูหยินก็กระโดดลงไปเองอย่างแทบจะทนรอไม่ไหวเสียแล้ว
นี่มันบังคับให้นางกระทำเรื่องไม่ดีชัดๆ
ไม่รู้เลยว่าเจ้าสำนักสวี่ผู้นั้นรู้หรือไม่ว่าฮูหยินของตนแอบทำเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้
ชีเหนียงหิ้วตะกร้าส้มเข้ามา “ฮูหยิน บ้านต้าจ้วงปลูกเองที่บ้าน ภรรยาของต้าจ้วงเด็ดมาให้ตะกร้าหนึ่ง ไว้ให้ท่านกินให้หนำใจเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยม้วนกระดาษกลับอย่างเก่า “วางไว้บนโต๊ะเถิด”
ชีเหนียงมองแผ่นกระดาษที่ถูกนายหญิงของตนม้วนเก็บแล้วถามเบาๆ ว่า “ซู่ซินจงส่งข่าวมาแล้วหรือ ท่านจะไปจริงๆ หรือ”
เฉียวเวยนิ่งไป เอ่ยพร้อมสายตาแน่วแน่ว่า “ไปสิ ต้องไปแน่”
“คลี่คลายกันด้วยดีไม่ได้หรือ” ชีเหนียงอดเป็นห่วงไม่ได้
นางมาอยู่ในชาติภพประหลาดตั้งนานเพียงนี้ ที่นี่มีตัวหลัวที่ร่าเริงมีไหวพริบ มีปี้เอ๋อร์ที่น่ารักน่าคบหา มีพี่สะใภ้ใหญ่ที่มากคุณธรรมใจกว้าง และก็มีป้าหลัวที่ใจดีมีเมตตา แต่คนที่รู้ใจนางจริงๆ ก็ยังเป็นชีเหนียง
เฉียวเวยหันไปมองนาง แล้วเอ่ยตามตรงว่า “ชีเหนียง นี่ก็คือความไม่ยุติธรรมของโลกนี้ ในราชวงศ์ทั้งหมด คนชั้นล่างที่ต่ำต้อยอย่างพวกเราไม่มีเรื่องเกียรติหรือศักดิ์ศรีให้พูดถึง พวกเราก้มหัว ไม่ใช่เพื่อไกล่เกลี่ย แต่เพื่อโยนเกียรติและศักดิ์ศรีของตนออกไปให้พวกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นชั้นสูงระบายโทสะ เมื่อพวกเขาระบายโทสะจนสิ้นแล้ว เรื่องนี้ถึงจะผ่านไปได้ หากยังระบายไม่มากพอ ชีวิตของข้าก็จะเสียไปเปล่าๆ ชีวิตนี้ของข้า เป็นคนเร่ร่อนทำงาน หัวหน้าพรรคชิงหลง คุณหนูจวนเอินปั๋ว ฮูหยินจวนกั๋วกง เหล่าไท่ไทตระกูลหมิง…มากเกินไปๆ หากข้ายอมถอยไม่ว่าก้าวใดก้าวหนึ่ง ข้าคงไม่ได้มายืนพูดคุยกับเจ้าอยู่ที่นี่ หากข้าไม่ตายไปแล้ว ก็คงถูกบุรุษเหยียบย่ำ หรือไม่ก็คงถูกไล่ตะเพิดไปจากข้างกายหมิงซิว พาลูกทั้งสองเร่ร่อนไปไกลแสนไกล… ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากถอย ชีเหนียง เป็นพวกเขาที่ไม่ยอมให้ข้าถอย!”
ชีเหนียงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเฉียวเวยผ่านอะไรมามากมายเพียงนี้ ตอนที่นางมา เฉียวเวยมีบ้านแล้ว การค้าก็เริ่มมีหนทางรุ่งเรือง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงด้านดีเท่านั้น นางจึงคิดเอาเองว่าอดีตของนางบางทีอาจจะไม่ได้ยากลำบากดังเช่นแม่หม้ายคนอื่นๆ
จนกระทั่งได้ยินอีกฝ่ายพูดเรื่องเหล่านี้ นางถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายแบกรับอะไรมาบ้าง ซึ่งคนทั่วไปไม่อาจเทียบได้เลย
ชีเหนียงจับมือนายหญิงของตนไว้ ขอบตาแดงเล็กน้อย นางคิดอยากพูดปลอบใจอะไรอีกฝ่ายบ้าง แต่กลับพบว่าตนไม่รู้ว่าจะกล่าวออกไปเช่นไร
นางไม่นับว่าเป็นคนพูดไม่เป็น แต่ชั่วขณะนี้ นางกลับคิดอะไรไม่ออกขึ้นมาอย่างปรหลาด
นางน่าสงสารเกินไป
นางไม่รู้ว่าสตรีนางหนึ่งต้องเข้มแข็งเพียงใดถึงจะผ่านเรื่องราวอย่างที่ฮูหยินของตนประสบมาได้ นางมักคิดว่าการที่ตนผ่านการที่ครอบครัวล้มตายแตกสลายมาได้นั้น ตนเองเก่งมากๆ แล้ว แต่เรื่องราวของตนเมื่อเทียบกับของฮูหยิน ยังไม่ควรค่าจะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
เฉียวเวยกลับสงบเยือกเย็น ตั้งแต่เล็กจนโต มีคลื่นลมอะไรบ้างที่ไม่เคยประสบ นั่นเป็นหนทางแห่งความยุติธรรม แต่ก็มีบางมุมที่ความยุติธรรมเข้าไม่ถึง นางถูกทอดทิ้งเอาไว้ในมุมเช่นนั้น เติบโตมาอย่างชอกช้ำไปทั้งตัว
นางเข้าใจเหตุผลข้อหนึ่งมานานแล้ว ความสงบเงียบที่ว่านั่น ไม่ได้ได้มาด้วยการอดทน แต่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา
คนดีไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายยอมทนและถอยให้ หากต้องยอมทนและถอยให้ คนผู้นั้นไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
ในเมื่อเป็นคนใจร้าย เช่นนั้นจะมีเหตุอะไรให้พูดคุยกัน
การต่อกรกับพวกเขา วิธีการเดียวก็คือต้องทำให้อีกฝ่ายหวั่นเกรงตนให้ได้ ไม่กล้าคิดจะทำอะไรตน ไม่เช่นนั้นสิ่งพี่เขาเรียกร้อง สิ่งที่เขาจะกระทำรังแก มีแต่จะไม่มีวันสิ้นสุด
ชีเหนียงลอบถอนหายใจ “เช่นนั้น…เช่นนั้นอย่างน้อยท่านก็หารือกับคุณชายหมิงสักหน่อยสิ คุณชายหมิงรอบรู้มากสามารถ บางทีอาจจะมีวิธีรับมือซู่ซินจงก็เป็นได้”
เฉียวเวยผายมือออก “เขาก็เป็นศิษย์ซู่ซินจงเช่นกัน”
“อะไรนะ” ชีเหนียงตกใจมาก
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ข้าขอถามเจ้า สวี่ฮูหยินเป็นอาจารย์หญิงของเขา หากข้าเรียกเขามาเพื่อไปต่อกรกับอาจารย์หญิงของเขา เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป จะเป็นการทำผิดมหันต์หรือไม่”
ชีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย “เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น คำโบราณว่าไว้ได้ดีนัก เป็นอาจารย์วันหนึ่ง เป็นบิดาตลอดไป ในเมื่อสวี่ฮูหยินเป็นอาจารย์หญิงของคุณชายหมิง เช่นนั้นก็มีฐานะประหนึ่งมารดาผู้ให้กำเนิด คุณชายหมิงไม่กตัญญูเชื่อฟังนาง ผู้คนจะวิพากษ์วิจารย์เขาได้ ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปยังไม่เท่าไร แค่เป็นประเด็นให้ถกกันเท่านั้น อดทนหน่อยก็ผ่านไปแล้ว แต่หากเป็นพ่อค้า หรือขุนนาง คงจะกระทบต่ออนาคตอย่างมาก”
คนเขาเป็นขุนนางนี่นะ ครั้งก่อนคณะขุนนางทูตที่ไปส่งคนจากชนเผ่าซยงนีว์ เขายังเป็นคนที่เดินอยู่หน้าสุดเลยด้วยซ้ำ
แต่ก็ด้วยเพราะเหตุนี้ จึงทำให้คนที่ริษยามีมากเป็นพิเศษด้วยกระมัง อย่างพวกยิ่นอ๋องเป็นต้น
หากให้คนสารเลวอย่างยิ่นอ๋องนั่นรู้ว่าเขากระทำเรื่องที่ไม่สมควร ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะกล่าววาจาว่าร้ายอะไรเขาในท้องพระโรงบ้าง
นางไม่อยากเปิดโอกาสนี้ให้กับยิ่นอ๋อง
…
ชีเหนียงกลับไปที่เรือนเล็ก อากุ้ยกับจงเกอร์นอนหลับไปแล้ว พวกเขาทั้งสองนอนกันไม่เรียบร้อย ผ้าห่มถีบกระเด็นออกไปไกล อากุ้ยหนังหนาไม่รู้สึกอะไร แต่จงเกอร์กลับหนาวจนตัวขดเป็นกุ้ง
ชีเหนียงก้าวเข้ามาห่มผ้าห่มให้จงเกอร์ ทั้งยังคลี่ผ้าห่มอีกผืนมาห่มให้อากุ้ย
“อากุ้ยเอ๋ย” นางเอ่ยเรียกเสียงเบา
สิ่งที่ตอบนางกลับมาคือน้ำเสียงงึมงำของอากุ้ย
นางนั่งเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าอากุ้ยจะไม่ตื่นขึ้นมา จึงเอาเงินลงจากเขาไป
…
วันต่อมา เฉียวเวยกินอาหารเช้าเป็นเพื่อนลูกๆ ส่งทั้งสองไปยังสถานศึกษาของซิ่งไฉเฒ่า แล้วจึงเคลื่อนตัวไปยังสถานที่นัดหมาย
สถานที่ที่นัดหมายกันไว้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่อยู่ในสวนหมู่ตันแห่งหนึ่งที่เป็นของสวี่ฮูหยิน ในสวนหมู่ตันมีดอกหมู่ตันหลากหลายประเภทบานสะพรั่งอยู่เต็มไปหมด มีทั้งแบบทั่วไปและแบบที่แทบจะพบเห็นตามตลาดไม่ได้เลย สวนแห่งนี้เปิดกว้างให้กับบุคคลภายนอก ทั้งยังไม่เก็บเงินค่าเข้าชม แต่ชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถเข้าได้
เฉียวเวยคิดว่านางน่าจะจัดอยู่ในประเภทชาวบ้านทั่วไปเช่นกัน แต่เมื่อมีหนังสือประชันวาที นางก็เข้าสวนชั้นสูงแห่งนี้ได้กับเขาเหมือนกัน
เวลานี้เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี แขกที่เข้ามาชมดอกหมู่ตันในช่วงเช้ากลับกันไปแล้ว แขกช่วงบ่ายยังไม่มีใครมา ในสวนจึงมีคนอยู่เพียงน้อยนิด ดอกหมู่ตันกำลังบานสะพรั่ง บรรยากาศเป็นที่น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีแก่ใจจะชื่นชมสักนิด
ที่สวี่ฮูหยินเลือกสถานที่เป็นที่นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นที่สนใจของจวนไท่ซือและสวี่หย่งชิง หากมีใครถามขึ้นก็แค่บอกว่านางพาศิษย์ทั้งหลายมาชมดอกไม้ที่สวนหมู่ตัน
สวนแห่งนี้มีบริเวณกว้างขวาง หลังจากเดินอ้อมผ่านสวนเล็กๆ ที่มีดอกหมู่ตันเบ่งบานแล้ว ก็เป็นสนามหญ้ากับป่าต้นไป๋ฮว่า สวี่ฮูหยินในวัยเยาว์ก็เล่าเรียนการขี่ม้ายิงธนูร่วมกับพี่น้องที่นี่
ผู้ดูแลพอเห็นเจ้านายเก่า ก็ยินดียิ่งนัก จึงจะเชิญนางเข้าไปยังเรือนหลักแต่กลับถูกปฏิเสธ
นางให้ผู้ดูแลตั้งยกพื้นขึ้นบนสนามหญ้า ผู้ดูแลคิดว่านางจะเชิญคณะละครมาร้องรำให้ฟัง จึงตั้งเวทีเสียรวดเร็วและสวยงาม
จากนั้นยังยกโต๊ะเก้าอี้มาวางอยู่กลางแจ้งอีกหลายแถว ทั้งยังสั่งผลไม้ของกินเล่นสดใหม่มาให้อีก ยิ่งไปกว่านั้นยังกลัวว่าสวี่ฮูหยินจะถูกแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงเผาจะแสบผิว จึงยังกางร่มคันใหญ่ตรงจุดที่นางนั่งอีกด้วย
ตอนที่เฉียวเวยมีศิษย์พี่หญิงห้าเดินนำเข้าไปถึงสนามหญ้านั้น ทั้งหมดล้วนจัดเตรียมเอาไว้อย่างพร้อมพรักแล้ว มีศิษย์หลายคนขี่ม้ายิงธนูกันอยู่ในสนามหญ้า สวี่ฮูหยินนั่งเล่นสบายๆ อยู่บนเก้าอี้แถวหน้าสุดและหรูหราที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยได้พบฮูหยินเจ้าสำนักซู่ซินจงในตำนาน นางดูมีอำนาจบารมีมากกว่าสตรีชั้นสูงทั่วไปจริงๆ เสียด้วย นางอยู่ในชุดโปร่งพลิ้วสีเขียว ทรงผมรวบขึ้นเป็นมวยเดี่ยว แล้วใช้ปิ่นหยกสีเขียวทั้งเล่มตรึงไว้อยู่ทางด้านบน อายุของนางใกล้เคียงกับฮูหยินสี่ แต่ลักษณะท่าทางดูโดดเด่นกว่าฮูหยินสี่ นางมีใบหน้าที่งดงามยิ่งนัก วันเวลาทิ้งร่องรอยจางๆ ไว้ที่หางตาของนาง แต่ไม่ได้ดูมีอายุเลยสักนิด กลับยิ่งทำให้นางดูมีเสน่ห์มากขึ้น
“ฮูหยินเจ้าสำนัก” เฉียวเวยเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
สายตาของสวี่ฮูหยินมองไปยังเฉียวเวย อันที่จริงตั้งแต่ชั่วขณะแรกที่เฉียวเวยก้าวเข้ามาในสวน นางก็คอยสังเกตเฉียวเวยมาตลอด เฉียวเวยแต่งกายเรียบง่าย แต่มองดูแล้วมีบารมีแผ่ออกมาอย่างเข้มข้น ทำให้คนยากที่จะมองข้าม
ตามปกติคนประเภทนี้จะมีหลักการและความดื้อรั้น ไม่ยอมอะลุ่มอล่วย หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เป็นคนน่ารังเกียจ
ลองคิดดูก็เห็นจริง หากนางรู้จักอะไรดีชั่วมากพอ นางคงยอมถอยให้ตั้งแต่นางส่งคนขึ้นเขาไปหาแล้ว จะกล้าส่งเทียบประชันวาทีให้ซู่ซินจงอย่างโอหังเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างไม่รู้จักประเมินตนเอาเสียเลย!
ทว่ารูปโฉมของสตรีนางนี้ก็ประณีตหมดจดยิ่งนัก งดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ สามารถบอกว่างามล้มบ้านล้มเมืองได้ทีเดียว มีแค่สายตาที่ดุดันเกินไป ไม่เป็นที่น่าชอบพอสำหรับนาง
“เจ้าก็กล้ามาจริงๆ ด้วยนะ” สวี่ฮูหยินเอ่ยประชด
เฉียวเวยนั่งลงบนเก้าอี้ข้างนางอย่างไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ข้าไม่ได้ทำเรื่องน่าละอายอะไร ไม่กลัวผีสางมาเคาะประตู จะมีอะไรไม่กล้ามากัน กลับเป็นพวกเจ้าซู่ซินจงที่อวดเบ่งแสดงอำนาจรังแกผู้อื่นก่อน ศิษย์สายหลักเอาชนะแม่ครัวคนหนึ่งไม่ได้นั้นมาทีหลัง คงไม่มีหน้าไปเดินอยู่ในเมืองหลวงแล้วกระมัง”
สวี่ฮูหยินกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น “ปากคอเราะร้าย!”
เฉียวเวยหันไปมอง ก็เห็นพวกศิษย์ซู่ซินจงที่ยืนอยู่สงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลัง จะนั่งก็ไม่กล้านั่ง นางไม่เห็นศิษย์น้องหญิงกับหมิงซิว แต่กลับไม่แปลกใจที่ได้เห็นศิษย์พี่หญิงรอง ตรงมือศิษย์พี่หญิงรองยังมีผ้าป่านพันอยู่เลย สีหน้านางนั่นเรียกว่าน่าสนใจมากทีเดียว เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ แล้วหันหน้าไปในขณะที่ศิษย์พี่หญิงรองแทบจะมองมาด้วยสายตาเดือดดาล “ข้าก็มาถึงแล้ว ฮูหยินเจ้าสำนักจะประชันอย่างไรหรือ ที่บ้านข้ามีธุระรออยู่อีกเป็นกระบุงโกย รีบประลองให้เสร็จเร็วๆ หน่อยข้าก็จะได้รีบกลับ”
สวี่ฮูหยินยิ้มเยาะ “แค่กลัวว่าเจ้าจะไม่มีชีวิตเดินออกไปจากที่นี่น่ะสิ”
เฉียวเวยยิ้ม “หรือว่าบางที ข้าอาจไม่มีโอกาสได้เรียกท่านว่าฮูหยินเจ้าสำนักอีก”
แต่ไหนแต่ไรมาคนในยุทธภพมีแต่ต่อกรไม่ต่อปาก ต่อให้ขนกันมาทั้งหมด มีสวี่ฮูหยินสักสิบคนรวมกัน เกรงว่าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียวเวย
สวี่ฮูหยินไม่คิดอยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ นางตั้งสติแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้ทำร้ายคนเก่งนักหรอกหรือ เจ้ากับข้ามาประลองยุทธ์กันสักยกหนึ่ง ใครถูกรุกไล่จนตกเวลทีไปได้ก่อนจะถือว่าคนนั้นแพ้ เจ้าตกลงหรือไม่”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ฟังดูก็ยุติธรรมดี”
“ต่อกรกับคนประเภทนี้จำเป็นต้องให้อาจารย์หญิงลงมือเองตั้งแต่เมื่อไร ให้เฟิ่งจือสั่งสอนนางก็พอแล้ว!”
คนที่พูดคือหนึ่งในคนที่นำความมาบอกเฉียวเวยถึงบ้าน – ศิษย์น้องแปด ที่แท้เขาก็ชื่อเฟิ่งจือนี่เอง
สวี่ฮูหยินเอ่ยด้วยความลังเลว่า “เรื่องนี้… คงจะไม่ดีกระมัง”
ศิษย์น้องแปดเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรไม่ดีหรอกขอรับ วรยุทธ์ของข้าเป็นรองอาจารย์หญิง หากข้าเอาชนะนางได้ อาจารย์หญิงก็ยิ่งเอาชนะนางได้เข้าไปใหญ่ หากนางกลัวว่าจะแพ้ให้ข้าก็ไม่เป็นไร พวกเราซู่ซินจงมีศิษย์อยู่ตั้งมากมาย ก็ให้นางเลือกมาอีกสักสองสามคนก็แล้วกัน แข่งกันแบบสองในสาม หรือสามในห้าก็ได้ แล้วแต่นาง!”
จึ๊ๆ คำพูดเหล่านี้ช่างไหลลื่นเหลือเกิน หากบอกว่าไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อน เฉียวเวยยังไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำ
เดิมทีนางไม่ใช่คนฝึกวรยุทธ์ การจะสู้ตัวต่อตัวกับศิษย์ซู่ซินจงนางก็เสียเปรียบมากแล้ว นี่ยังจะให้นางผลัดเปลี่ยนคู่ต่อสู้อีก คงคิดจะเอาให้นางหมดแรงตายบนเวทีเลยกระมัง
“เป็นถึงศิษย์สำนักใหญ่ เหตุใดถึงมารังแกสตรีแม่ค้าอ่อนแอคนหนึ่งเช่นนี้ ข้ายังแทบจะทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
ตรงประตูทางเข้าสนามหญ้า จู่ๆ ก็มีเสียงบุรุษไม่คุ้นหูดังขึ้น
เฉียวเวยหันมองตามเสียงไป ก็พลันอึ้งไปทันที นายท่านหก?
นายท่านหกไม่ได้มองเฉียวเวย เขาพาเอาพุงพลุ้ยๆ ของตนเดินเข้ามาช้าๆ ราวกับถังเบียร์เดินได้ ด้านหลังนายท่านหก มีผู้ดูแลฉิวที่ผอมเพรียวสุภาพเรียบร้อยตามมาด้วย
เฉียวเวยกำลังจะกล่าวทักทายตั้งสอง แต่นายท่านหกชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน “ไอ้หยา นี่แม่นังจากตากูงไลกัง เหตุไลจึงงกงามเพียงนี้”
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด
นายท่านหกยกพัดมาเชยคางเฉียวเวยให้เงยหน้าขึ้น ก่อนจะกดสายตาลงเอ่ยกับนางว่า “มาอยู่กะข้าสิ ข้าจะให้เจ้าไล้กินลี อยู่สบาย ใครลังแกเจ้า ข้าจะลังแกพวกมังกับไปให้โหมด!”
ศิษย์น้องแปดขมวดคิ้วมุ่น “กลางวันแสกๆ เช่นนี้ ตาเฒ่าเจ้าชู้มาจากที่ไหนกัน ซู่ซินจงใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาท้าทายได้หรือ”
“นี่เป็งสิดซู่ซิงจงจิงๆ ล้วยหลือนี่ ข้ายังคิว่าตัวข้าตาไล้แวว ซู่ซิงจงไม่ช่ายสำนักชื่อลังหลอกหลือ เหตุไลถึงเอาคงในสำนักมาลังแกสะตีบอบบางไล้เลี่ยวแลงเสียล่าย” นายท่านหกไม่รู้ไปเลียนแบบสำเนียงทางใต้มั่วๆ ซั่วๆ เช่นนี้มาจากไหน พูดทีเล่นเอาเฉียวเวยเกือบหัวเราะพรืดออกมา
ศิษย์พี่หญิงรองลูบมือขวาที่ยังคงเจ็บไม่หาย พลางเอ่ยต่อว่าต่อขานว่า “นางไม่ใช่สตรีบอบบางที่ไร้เรี่ยวแรงสักนิด! นางมันจิตใจโหดเหี้ยมโดยแท้! แผลของข้าก็เป็นนางที่ทำ!
นายท่านหกหันไปมองศิษย์พี่หญิงรอง “ตายเลี้ยว แม่นังหนูน้อย เจ้าอย่าสู้ผู้อึ่งไม่ไล้แล้ววิ่งกับไปฟ้งคงที่บั้งเสะ หนำซ้ำยังเลียกคนทั้งบั้งมาลุมลังแกคงอื่นอีก พวกเจ้าไม่ช่ายสำลักด่งดังมีชื่อเสียงเลี้ยว หยั่งพวกเจ้านี้เลียกว่าอังธพาล!”
เฉียวเวยก็มองออกว่านายท่านหกมาเพื่อช่วยนางบุก ในใจจึงนึกสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงมาที่นี่ได้ แต่ใบหน้ากลับไม่เผยแววประหลาดสักนิด
“ท่านเป็นใครหรือ” สวี่ฮูหยินถามด้วยสีหน้าคงเดิม
“ข้าจาทำอาไลไม่ปิบังซื่อแซ่ ลู่เสี่ยวลิ่ว เป็งศิษย์สายนอกสมาคมกระบี่ ฮูหยิงแค่ลูก็ลู้ว่าเป็งชงชั้งสูงส่ง เซื่อว่าคงเป็งฮูหยิงเจ้าสำนักเป็งแน่ ลู่เสี่ยวลิ่วขอคาลว้า” นายท่านหกพูดสำเนียงประหลาด ท่าทางยามทำความเคารพก็ประหลาด
สมาคมกระบี่เป็นสำนักทางตอนเหนือ เหตุใดคนผู้นี้ถึงมีสำเนียงนางใต้ไปได้
สวี่ฮูหยินนึกสงสัย
นายท่านหกหยิบตราคำสั่งชิ้นหนึ่งออกจากเอวมาส่งให้สวี่ฮูหยินดู “ข้าเป็งคงฉิวโจว ทำการค้าอยู่ที่ฉิวโจว พี่ชัยลุกพี่ลุกน้องของข้าเป็นศิษย์พี่อาวูโสหลี่ว์ของสมาคมกลาบี่”
สมาคมกระบี่มีศิษย์พี่อาวุโสหลี่ว์อยู่คนหนึ่งจริงๆ ศิษย์พี่อาวุโสทั้งสี่มี เจี่ยง มั่ว ซย่า หลี่ว์ ศิษย์พี่อาวุโสหลี่ว์อยู่ลำดับที่สี่ เป็นคนอ่อนน้อม ไม่เป็นที่รู้จักของคนภายนอกมากนัก การที่เขารู้ว่ามีศิษย์พี่อาวุโสหลี่ว์อยู่ ทั้งยังมีตราคำสั่งของสมาคมกระบี่ ดูท่าคงจะเป็นศิษย์สมาคมกระบี่จริงๆ
คนผู้นี้อยู่ประจำทางตอนใต้ คิดว่าคงไปมาหาสู่กับสมาคมกระบี่ไม่มากนัก แต่หากเขาเป็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องของศิษย์พี่อาวุโสหลี่ว์จริง แล้วเอาเรื่องนี้ไปบอกสมาคมกระบี่ เกียรติของซู่ซินจงคงป่นปี้หมดแน่
สวี่ฮูหยินพยายามตั้งสติ “นายท่านลู่ ท่านอาจจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว เป็นแม้นางผู้นี้ที่ส่งเทียบประชันมาให้พวกเราซู่ซินจงก่อน พวกเราแค่รับเทียบประชันของนางเท่านั้น”
สีหน้านายท่านหกดูกระจ่างแจ้งแก่ใจ “อา เช่งนั้งก็เป็งแม่นังน้อยผู้นี้ก็ชั่งไม่รู้จักผ๊าสูงแผ่งดิงต่ำน่ะเสะ!”
ศิษย์น้องแปดรีบเอ่ยว่า “ใช่แล้ว! นางไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ ข้าย่อมต้องสั่งสอนนางแทนอาจารย์หญิงของพวกเรา!”
“นี่…เก็งว่าคงไม่ดีกามัง” นายท่านหกเอามือลูบคาง
สวี่ฮูหยินเชิญนายท่านหกให้นั่งลง พอนายท่านหกนั่งลงแล้ว สวี่ฮูหยินก็ถามเขาว่าไม่ดีที่ตรงใด เขาจึงตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากทั่งส่งลูกศิษย์ออกไปประชัง นังก็ควงส่งศิษย์ของนังออกไปประชังล้วยใช่ลึไม่ ไม่อย่างนั้งก็ไม่ยุติธรรมน่ะเสะ!”
สวี่ฮูหยินเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากแม่นางเฉียวมีลูกศิษย์ก็ย่อมได้สิ แต่เกรงว่าคงจะไม่มีกระมัง”
ดวงตาเฉียวเวยพลันสั่นไหว “ใครบอกว่าข้าไม่มี” นางชี้ไปทางพุ่มหมู่ตัน “เสี่ยวไป๋ ออกมา!”
เสี่ยวไป๋วิ่งออกมาอย่างองอาจกล้าหาญ เมื่อครู่มันเพิ่งจัดการเจ้างูพิษไปตัวหนึ่ง กำลังคึกคักทีเดียว
งูพิษที่ดอกหมู่ตันเลี้ยงเอาไว้ คืออาหารอันโอชะ!