ตอนที่ 487 ต้องเร็วที่สุด

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 487 ต้องเร็วที่สุด

ทว่า ไป๋จิ่นจื้อถูกมารดาสั่งให้เปลี่ยนเสื้อผ้าสองชุดแล้ว สาวน้อยเริ่มรู้สึกหงุดหงิด

เมื่อไป๋ชิงเหยียนพาชุนเถามาถึงหน้าประตูเรือน ไป๋จิ่นจื้อรีบวิ่งออกไปต้อนรับที่หน้าประตูทันทีที่ได้รับรายงาน “เหตุใดพี่หญิงใหญ่ถึงมาที่นี่เจ้าคะ มีเรื่องอันใดจะใช้ให้ข้าทำหรือเจ้าคะ”

ฮูหยินสามหลี่ซื่อได้ยินเสียงจึงถลกชายกระโปรงเดินแหวกม่านออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส “อาเป่ามาหรือ!”

ฮูหยินสามหลี่ซื่ออยู่ในชุดสีเรียบลายดอกบัวสีทอง มวยผมเป็นทรงกลมสูง ปักด้วยปิ่นปักผมเรียบๆ ใบหูประดับด้วยต่างหูมุก เป็นการแต่งกายที่เรียบง่ายแต่ดูสง่างาม

หลี่ซื่อถนัดเรื่องการแต่งกายมากที่สุด ไป๋จิ่นจื้ออยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จึงสวมเสื้อผ้าสีเรียบ ทว่า หลี่ซื่อเอาใจใส่บุตรสาวมาก แม้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเรียบง่าย แต่ไป๋จิ่นจื้อดูโดดเด่นมาก

“ท่านอาสะใภ้สาม!” ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพหลี่ซื่อ จากนั้นกล่าวขึ้น “เมืองหลวงส่งจดหมายมาบอกว่าท่านย่าให้จิ่นจื้อไปเมืองหลวงเจ้าค่ะ ข้ามาพาจิ่นจื้อไปเอาของที่เรือนข้าจะได้ถือโอกาสกำชับนางด้วยเจ้าค่ะ”

“กลับเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ” หลี่ซื่อตะลึง “องค์หญิงใหญ่ได้บอกหรือไม่ว่าเรียกจิ่นจื้อกลับไปด้วยเรื่องอันใด”

“ท่านย่าไม่ได้บอกในจดหมายเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนเอาชื่อขององค์หญิงใหญ่มาอ้าง หลี่ซื่อจึงไม่กล้าซักถามมากนัก

หลี่ซื่อเป็นกังวลเล็กน้อย นางบีบผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น สีหน้าส่อแววไม่สบายใจ เอ่ยถามต่อ “ให้จิ่นจื้อออกเดินทางเมื่อใด”

“ออกเดินทางวันนี้เลยเจ้าค่ะ” ใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนมีแต่รอยยิ้ม พยายามทำตัวให้เป็นปกติ หลี่ซื่อจะได้ไม่รู้สึกกังวล “ข้าจะให้หลูผิงตามจิ่นจื้อไปด้วย ท่านอาสะใภ้สามไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นรอยยิ้มของไป๋ชิงเหยียน อีกทั้งมีหลูผิงติดตามไปด้วย หลี่ซื่อจึงวางใจลงไม่น้อย กล่าวกับไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ “อารู้ว่าเจ้าเป็นคนรอบคอบ ถามไปก็เท่านั้น เจ้าคุยกับจิ่นจื้อไปก่อน ข้าจะให้คนเตรียมเก็บของให้จิ่นจื้อ”

หลี่ซื่อรู้ดีว่าไป๋ชิงเหยียนต้องการคุยกับไป๋จิ่นจื้อเป็นการส่วนตัว ทว่า นางไม่ใช่คนใจแคบ คิดเล็กคิดน้อย บัดนี้ตระกูลไป๋ไม่มีบุรุษหลงเหลืออยู่แล้ว ตระกูลไป๋กำลังตกอยู่ในอันตราย ต้องการความสามัคคี รวมใจเป็นหนึ่งจากทุกคนในตระกูล ไป๋ชิงเหยียนพาร่างกายที่ไม่แข็งแรงของตัวเองไปสู้รบที่หนานเจียงเพื่อตระกูลไป๋ได้ บุตรสาวของนางสามารถเดินทางไปกลับเมืองหลวงและซั่วหยางเพื่อตระกูลไป๋ได้เช่นกัน

“ลำบากท่านอาสะใภ้สามแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพแล้วจากไป

ไป๋จิ่นจื้อเดินตามไป๋ชิงเหยียนออกมาจากประตูเรือน สาวน้อยเข้าไปคล้องแขนของไป๋ชิงเหยียน เอ่ยถามเสียงเบาหวิว “พี่หญิงใหญ่ต้องการให้ข้าทำสิ่งใดเจ้าคะ”

ไปจิ่นจื้อติดตามไป๋ชิงเหยียนมานานแล้ว หากพี่หญิงใหญ่ต้องการให้นางไปหยิบของที่เรือนปัวอวิ๋น พี่หญิงใหญ่ส่งสาวใช้มาตามนางก็พอแล้ว ในเมื่อพี่หญิงใหญ่มาด้วยตัวเองเช่นนี้แสดงว่านางนำสิ่งของติดตัวมาด้วยแล้ว ทว่า หากไม่มีของจะให้นางจริงๆ ก็แสดงว่าพี่หญิงใหญ่ต้องการสั่งงานกับนางโดยไม่อยากให้ท่านแม่รับรู้

“เดี๋ยวเจ้าไปยังภูเขาคงต้งกับลุงผิง คุมตัวคนคนหนึ่งกลับไปเมืองหลวง คนผู้นี้คือคนของจวนเหลียงอ๋องหรือไม่ก็คนของจวนหวังซึ่งปลอมตัวเป็นโจรลักพาตัวเด็กกลับไปให้เหลียงอ๋องใช้ปรุงยาวิเศษ เจ้าสอบสวนคนผู้นั้นให้รับสารภาพและมอบตัวให้องค์รัชทายาทโดยเร็วที่สุด”

ไป๋จิ่นจื้อได้ยินก็เบิกตาโพลงทันที ใช้เด็กปรุงยาวิเศษอย่างนั้นหรือ!

เหลียงอ๋องอำมหิตถึงเพียงนี้เชียวหรือ!

ไป๋จิ่นจื้อกัดฟันกรอด กำหมัดคารวะ “พี่หญิงใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ จิ่นจื้อจะเร่งเดินทางไปถึงเมืองหลวงให้เร็วที่สุดเจ้าค่ะ!”

ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางไป๋จิ่นจื้อที่กำลังเดือดดาลด้วยสีหน้าจริงจัง เอื้อมมือไปกุมมือที่ยกคารวะของน้องสาวเอาไว้ กล่าวขึ้น “เรื่องนี้คือข้ออ้างที่ใช้ให้เจ้าไปพบองค์รัชทายาท เจ้ามีภารกิจสำคัญในการไปเมืองหลวงครั้งนี้ เจ้าจงแสร้งทำเป็นเล่าให้องค์รัชทายาทฟังโดยไม่ตั้งใจว่าพี่อยากเสนอให้องค์รัชทายาทส่งกองทัพใหม่ไปยังหนานเจียง ให้ทหารกองทัพไป๋ช่วยฝึกฝนให้พวกเขากลายเป็นกองทัพที่แข็งแกร่ง ทว่า พี่กลัวว่าผู้อื่นจะคิดว่าพี่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงจึงไม่ได้เสนอเรื่องนี้ต่อองค์รัชทายาท แต่เจ้าคิดว่าเป็นความคิดที่ดีมาก!”

“ที่สำคัญเมื่อพบฟางเหล่าซึ่งเป็นที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทผู้นั้นไม่จำเป็นต้องเอาใจเขา ทว่า แสร้งทำเป็นสนิทสนมกับเขาสักหน่อย แสร้งทำเป็นบ่นว่าพี่ระมัดระวังตัวเกินไปเมื่ออยู่ต่อหน้าฟางเหล่า ทำให้เขาเห็นด้วยกับคำกล่าวของเจ้าให้ได้”

แม้ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของไป๋ชิงเหยียน ทว่า ไป๋จิ่นจื้อพยักหน้ารัว “พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ เสี่ยวซื่อจะออกเดินทางทันทีโดยไม่หยุดพัก พรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางไปถึงเมืองหลวงและจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “เรื่องนี้เร่งด่วนมาก เจ้าเก็บสัมภาระเสร็จจงรีบออกเดินทางโดยเร็วที่สุด!”

มิเช่นนั้น หากฮ่องเต้มีราชโองการลงมาคงแก้ไขสิ่งใดไม่ได้อีกแล้ว

ไม่นาน ไป๋จิ่นจื้อแบกสัมภาระที่ฮูหยินสามหลี่ซื่อจัดเตรียมให้ออกเดินทางท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ของหลี่ซื่อ

ไป๋ชิงเหยียนยืนกำชับให้หลูผิงดูแลไป๋จิ่นจื้อให้ดีอยู่นอกประตูจวน มองส่งไป๋จิ่นจื้อและหลูผิงจากไปท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับหายไปจากขอบฟ้า ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกภูมิใจในตัวน้องสาวมาก

เพียงไม่นาน เสี่ยวซื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยไม่รู้ตัว กลายเป็นสตรีคนเก่งของตระกูลไป๋ที่ไป๋ชิงเหยียนวางใจมอบหมายภารกิจสำคัญให้นางทำได้ หากท่านอาสามมองเห็นไป๋จิ่นจื้อในตอนนี้ เขาคงภูมิใจในตัวบุตรสาวคนนี้มาก

ดาบต้องค่อยๆ ลับถึงจะคม บางทีไป๋ชิงเหยียนควรปล่อยให้ไป๋จิ่นจื้อได้ลองทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้แล้ว ไม่ใช่เอาแต่บอกให้น้องสาวทำตามแผนที่นางวางไว้ เมื่อไป๋จิ่นจื้อกลับมาจากเมืองหลวง ไป๋ชิงเหยียนตั้งใจปล่อยให้น้องสาวรู้จักคิดและตัดสินใจเรื่องราวด้วยตัวเอง

รอบด้านเต็มไปด้วยอันตราย ไป๋ชิงเหยียนไม่อาจเก็บน้องสาวไว้ข้างกายได้ตลอดเวลา

ขอเพียงยังอยู่ในเมืองซั่วหยาง ต่อให้ไป๋จิ่นจื้อทำผิดพลาดก็ไม่เป็นอันใด

เมื่อร่างของไป๋จิ่นจื้อและหลูผิงหายลับไปจากสายตา ชุนเถาจึงกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่ กลับเรือนเถิดเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า เตรียมหมุนตัวกลับจวน ทว่า ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกเสียก่อน “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว”

องครักษ์ตระกูลไป๋รีบชักดาบคุ้มกันไป๋ชิงเหยียน ชุนเถาถลาเข้าไปขวางหน้าไป๋ชิงเหยียนเอาไว้

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ คุกเข่าก้มศีรษะแนบพื้นอยู่ด้านล่างบันไดของจวนไป๋ “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว บ่าวคือผู้ดูแลอูข้างกายของอดีตประมุขไป๋พ่ะย่ะค่ะ บ่าวมีเรื่องทูลให้องค์หญิงทราบพ่ะย่ะค่ะ!”

ไป๋ชิงเหยียนมองดูชายวัยกลางคนที่เอาแต่โขกศีรษะลงบนพื้นด้วยร่างที่สั่นเทา หญิงสาวโบกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์ถอยห่าง

องครักษ์ของตระกูลไป๋ถอยห่างออกไป ผู้ดูแลอูได้ยินเสียงดาบถูกเก็บเข้าฝักจึงกล้าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาหยุดอยู่ที่รองเท้าหนังสีดำของไป๋ชิงเหยียน จากนั้นก้มศีรษะแนบพื้นอีกครั้ง กล่าวขึ้น “องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้โปรดให้บ่าวทูลองค์หญิงตามลำพังด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้สำคัญมาก บ่าวมาวนเวียนอยู่หน้าจวนไป๋สองเดือนกว่าแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสพบหน้าองค์หญิงเสียที องค์หญิงได้โปรดเชื่อใจบ่าวเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ไป๋ชิงเหยียนเคยได้ยินกู่เหล่าเล่าให้ฟังว่าผู้ดูแลอูเป็นคนเก่งกาจคนหนึ่ง เขาคอยรับใช้ข้างกายไป๋ฉีอวิ๋น เป็นดั่งมันสมองของเขา

ตอนนี้อยู่หน้าจวนไป๋ ไป๋ชิงเหยียนจึงไม่กลัวผู้ดูแลอูเล่นตุกติก หญิงสาวเอ่ยสั่ง “พาเขาเข้ามา…”

องครักษ์รับคำ จากนั้นเดินเข้าไปลากผู้ดูแลอูเข้าไปในจวนไป๋ พาไปยังโถงรับรอง ผู้ดูแลอูคุกเข่าก้มศีรษะคำนับแนบพื้นกระเบื้องหินกลางโถงรับรองอย่างนอบน้อมและระมัดระวัง