ลู่โจวเดินออกมาจากลานหน้าศาลาที่เกิดเหตุพลังจากชุดเกราะมันอยู่เกินความคาดหมายของตัวเขาไปอย่างสิ้นเชิง ในตอนที่ชุดเกราะมันระเบิดออก สิ่งที่เหลือมีเพียงชิ้นส่วนชุดเกราะเท่านั้น เมื่อชุดเกราะระเบิดพลังใยสีแดงออกมา ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้พบกับคัมภีร์เปิดโลกา เมื่อเห็นคัมภีร์เล่มใหม่ลู่โจวก็นึกย้อนไปถึงคัมภีร์ที่ได้มาจากสุสานเมลิล็อต แม้ว่าคัมภีร์จะผ่านกาลเวลามานานแค่ไหนแต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เสียหายไปตามกาลเวลา ที่เกราะตัวนี้ยังอยู่มาหลายพันปีได้ก็คงจะมาจากพลังของคัมภีร์เปิดโลกาแน่
‘หรือว่านี่จะเป็นพลังพิเศษที่ชุดเกราะตัวนี้มี’
ในตอนนั้นเองซูยู่ชูก็ได้โค้งคำนับให้กับลู่โจว“พี่ใหญ่ หลินซินกับข้าต่างก็มีพื้นฐานที่เหมือนๆ กัน ข้าควรจะไปพบเขาเป็นการส่วนตัวดีไหม”
ลู่โจวมองไปที่ซูยู่ชู“ถ้าหากเจ้ายังมีพลังวรยุทธที่เคยมี ข้าก็คงจะไม่ห้ามเจ้า แต่ในตอนนี้เจ้าได้ตัดดอกบัวทองคำออกไปแล้ว เจ้าจะจัดการกับหลินซินได้ยังไงกัน”
ซูยู่ชูยกไม้เท้าขึ้นมาอย่างช้าๆนางเคาะมันลงบนพื้นก่อนที่ร่างพลังอวตารของนางจะปรากฏขึ้น พลังอวตารที่นางมีไร้ซึ่งดอกบัวทองคำ ที่ใต้เท้าของร่างอวตารมีกลีบดอกบัวสองกลีบกำลังหมุนเวียนอยู่
“ด้วยความเหลือจากท่านข้าจึงได้กลายมาเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวสองกลีบแล้ว” ที่สีหน้าของซูยู่ชูเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ การที่นางจะอวดอ้างไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกเลย หลังจากตัดดอกบัวทองคำนางก็ฝึกฝนตัวเองมาอย่างพากเพียร เป็นเพราะความสามารถที่นางมีจึงทำให้นางกลายมาเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวสองกลีบในเวลาอันสั้นได้
ลู่โจวส่ายหัว“สองกลีบมันน้อยเกินไป”
ใบหน้าของซูยู่ชูผิดหวัง
ในตอนนั้นเองซู่ฮ่องกงก็ได้พูดแทรก“อย่าได้เศร้าไปเลยผู้อาวุโสซู ข้าเพิ่งจะมีกลีบดอกบัวเพียงแค่กลีบเดียวเท่านั้น…แม้ว่าพวกเราจะตัดดอกบัวในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แต่ท่านก็ยังพัฒนาตัวได้เร็วกว่าข้าอยู่ดี”
“…”ซูยู่ชูเดินโซเซก่อนที่จะทรุดตัวลง
“ผู้อาวุโสซู!”
“ข้า…ข้าไม่เป็นไร”ซูยู่ชูมองไปที่ซู่ฮ่องกงที่อยู่ข้างๆ นาง ‘ช่างน่าหงุดหงิดอะไรแบบนี้ ทั้งความสามารถ พลังวรยุทธ ประสบการณ์ หรือแม้แต่เคล็ดวิชาที่มี เจ้านี่มันกล้าเปรียบเทียบตัวเองกับข้าได้ยังไงกัน’ ซูยู่ชูไม่อยากจะเชื่อว่าตัวนางจะถูกคนอย่างซูยู่ชูตามทัน
“อยู่ที่นี่และฝึกฝนพลังวรยุทธของเจ้าต่อไปจะดีกว่า…ถ้าหากเจ้าแข็งแกร่งมากกว่านี้ในอนาคตย่อมได้แสดงความสามารถแน่” ลู่โจวที่พูดจบหันหลังก่อนที่จะเดินจากไป
“เดินทางปลอดภัยท่านปรมาจารย์”
…
ลู่โจวเดินกลับไปยังศาลาตะวันออกตัวเขาไม่ได้รีบร้อนทำสมาธิกับเคล็ดวิชาใหม่ที่ได้รับมา จากประสบการณ์ที่เคยทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนแรก ลู่โจวในตอนแรกได้เข้าสู่สภาวะที่ไม่รู้สึกตัวไป ตัวเขาในตอนนั้นไม่ได้ดึงความสนใจให้อยู่กับตัวเองให้มากพอ เป็นเพราะตอนนั้นลู่โจวมีพลังวรยุทธที่ต่ำต้อย และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงเลือกที่จะขังตัวเองเพื่อทำสมาธิ
ในตอนนี้ราชสำนักกำลังจับตาดูศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ถ้าหากมีวิธีจัดการกับผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริงๆ ชุดเกราะพิเศษตัวนี้ก็คงจะไม่ใช่ไพ่ตายเพียงใบเดียวที่พวกเขามีแน่
เพื่อความปลอดภัยลู่โจวจึงตัดสินใจที่จะข่มขู่ราชสำนักต่อไป
…
วันรุ่งขึ้นมีจดหมายมาถึงสถานศึกษาไท่ชู
จดหมายฉบับนั้นได้สร้างความหวาดกลัวให้กับสาวกของสถานศึกษาไปชั่วครู่หนึ่ง
ผู้อาวุโสของสถานศึกษาไท่ชูรีบเรียกประชุมในทันที
ภายในห้องประชุม
หลินซินกวาดตามองไปที่ผู้อาวุโสทั้งหลายก่อนที่จะเอ่ยปากถามออกมา“โจวเหวินเหลียง หวังเจียนราง และจางกงอยู่ที่ไหนกัน”
“ท่านประมุขผู้อาวุโสทั้งสามคนได้ออกจากที่นี่ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วและพวกเขาก็ยังไม่กลับมา”
หลินซินขมวดคิ้วเล็กน้อย“ช่ามัน”
“ประมุขแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ส่งจดหมายมาอีกฉบับคราวนี้สิ่งที่ตัวเขาต้องการก็คือหัวของท่าน นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!”
ดูเหมือนกว่าการมาเยือนขององค์รัชทายาทจะสร้างความมั่นใจให้กับเหล่าผู้อาวุโสได้บ้าง
หลินซินได้พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์“ข้าตัดสินใจที่จะต่อสู้กับจีเทียนเด๋าในอีกสามวันต่อจากนี้ที่ยอดเขาดันยาง มีใครอยู่ไหม”
สาวกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น“ครับ ท่านประมุข”
“เอาชุดเกราะมาให้ข้า”
“ครับท่านประมุข”
ในเวลาไม่นานสาวกทั้งสองคนก็เดินถือกล่องเข้ามาในห้องประชุม
เมื่อหลินซินเห็นกล่องตัวเขาก็ได้พูดออกมาอย่างห้าวหาญ “จะสำเร็จหรือว่าล้มเหลวมันก็ขึ้นอยู่กับของชิ้นนี่แล้วล่ะ”
…
หลังจากนั้นไม่นานข่าวจากประมุขแห่งสถานศึกษาไท่ชูที่ต้องการท้าทายวายร้ายจีเทียนเด๋าก็ได้แพร่ไปทั่วยุทธภพพ
หลินซินประมุขแห่งสถานศึกษาไท่ชูเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบเท่านั้นแต่ทำไมกันเขาถึงได้กล้าหาญถึงขั้นท้าทายจีเทียนเด๋าได้
ทุกคนต่างก็พูดคุยเรื่องนี้กันมากขึ้น
…
ณตอนบ่าย สาวกของสำนักเฮ้งชูเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
ชิกงประมุขแห่งสำนักเฮ้งชูได้เรียกประชุมเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย
“ข้าได้ยินมาว่าหลินซินตั้งใจที่จะท้าประลองจีเทียนเด๋าบนยอดเขาดันยางพวกเจ้าคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงกัน” ชิกงเป็นผู้เปิดการสนทนา
“หลินซินต้องเสียสติไปแล้วแน่ในสมัยที่หลินซินยังหนุ่ม ตัวเขาไม่กล้าแม้แต่จะยั่วโมโหจีเทียนเด๋าซะด้วยซ้ำ แล้วทำไมตาแก่นั่นถึงอยากทิ้งชีวิตในตอนนี้ด้วย จะท้าประลองจีเทียนเด๋าผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเพื่ออะไรกันแน่?”
ผู้อาวุโสคนที่สามพูดขึ้น“ข้าได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทหลิวจือได้ไปเยี่ยมเยียนที่สถานศึกษาไท่ชู และเพราะการมาเยือนของเขาทำให้หลินซินมีความมั่นใจที่มากขึ้น”
“ความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้นความมั่นใจคงไม่เพิ่มมากขึ้นแน่เว้นแต่ว่าจะมีใครสักคนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะสามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ หรือไม่ก็สามารถติดตั้งเขตแดนพลังทั้งสิบบนยอดเขาดันยางได้”
ประมุขแห่งสำนักเฮ้งชูส่ายหัวก่อนจะพูดต่อ“ผู้อาวุโสของพวกเราก็ถูกศาลาปีศาจลอยฟ้าจัดการไป เป็นไปได้สูงที่เป้าหมายต่อไปของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะเป็นพวกเรา”..
ทุกๆคนต่างก็ตกตะลึง สิ่งที่ประมุขพูดล้วนถูกต้องทุกอย่าง สิ่งที่สถานศึกษาไท่ชูกำลังเจอก็คือสิ่งที่สำนักเฮ้งชูจะต้องเจอในอนาคต
“ส่งคนของพวกเราไปที่ยอดเขาดันยางไปสังเกตการณ์ซะ”
“ครับท่านประมุข”
…
สถานศึกษากลุ่มดาบหมีใหญ่
ประมุขโจวได้รวบรวมสาวกกว่าหลายคนก่อนจะพูดขึ้น“ข้าได้ยินมาว่าประมุขของสถานศึกษาไท่ชูหลินซินกำลังท้าทายจีเทียนเด๋าให้มาต่อสู้บนยอดเขาดันยาง พวกเจ้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ซะ จำเอาไว้ว่าแค่สังเกตการณ์ก็พอ”
“ครับท่านประมุข”
โจวยู่ไคพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น“ถ้าหากหลินซินพ่ายแพ้ พวกเจ้าก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าหากหลินซินชนะ พวกเจ้าก็ส่งจดหมายให้ข้าซะ”
“ครับท่านประมุข!”
…
ในเวลาเดียวกันที่สถานศึกษาลิขิตฟ้า,ยอดฝีมือทั้งหลายในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์, บริวารของราชสำนักทั้งหมด, ราชองครักษ์ และผู้รอดชีวิตจากสำนักใหญ่ทั้งสิบจากการสังหารหมู่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า ทุกๆ ฝ่ายต่างก็ส่งคนไปยังยอดเขาดันยางเช่นกัน
…
ณวันที่สาม
ที่ยอดเขาดันยาง
เช้าวันนี้เป็นวันที่สดใสและแสงแดดสายลมอ่อนๆ ได้พัดผ่านยอดเขาไป
หลินซินประมุขแห่งสถานศึกษาไท่ชูนั่งอยู่ที่ใจกลางแท่นหินขนาดใหญ่อย่างสง่างาม
สาวกอีกสองคนยืนอยู่ที่ด้านข้างของหลินซินทั้งสองคนต่างก็เหงื่อออกท่วมใบหน้าก็เพราะขาดความมั่นใจ
“กระจายข่าวออกไปนานแค่ไหนแล้ว”
“ข่าวถูกส่งออกไปเมื่อสองวันก่อนครับท่านประมุข”
หลินซินมองดูดวงอาทิตย์ที่อยู่เบื้องบน“ช่วยข้าสวมชุดเกราะซะ”
“ครับท่านประมุข”
เมื่อสาวกทั้งสองคนเปิดกล่องออกมาพวกเขาก็หยิบชุดเกราะไปที่ด้านข้างของหลินซินด้วยความเคารพ
หลินซินเหลือบมองไปที่ชุดเกราะก่อนที่จะถามออกมา“ทำไมชุดเกราะถึงได้ห่ออยู่ในชุดคลุมล่ะ”
“ผู้อาวุโสโจวได้บอกเอาไว้ถ้าหากเราซ่อนชุดเกราะไว้ในเสื้อคลุม ในยามที่พวกเราเปิดเผยชุดเกราะ เมื่อนั้นมันจะต้องเป็นภาพที่น่าประทับใจขึ้นแน่” สาวกคนหนึ่งได้ตอบตามหน้าที่ไป
ในวัยของหลินซินปูนนี้ตัวเขาไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามในวันนี้ตัวเขารู้สึกว่าตัวเองจำเป็นจะต้องแสดงความกล้าหาญและความน่าเกรงขามออกมา หลินซินที่สวมใส่ชุดเกราะอยู่ได้พูดขึ้น “ในตอนนี้…ข้าแน่ใจว่าจะต้องมีหลายสำนักคอยจับตาดูการต่อสู้ของข้า ข้าจะแสดงให้กับทุกคนได้เห็นเอง”
“ท่านประมุข…พวกเราต้องพึ่งพาท่านแล้ว”สาวกทั้งสองคนได้พูดก่อนจะถอยกลับไป
หลินซินได้หัวเราะก่อนจะพูดขึ้น“ข้ารู้ว่าคนจากทุกสำนักจะต้องคิดว่าข้าเสียสติไปแล้วแน่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้าได้ความมั่นใจนี้มาจากไหน…”
“ท่านประมุขชุดเกราะนี้ทำให้ท่านมั่นใจเพิ่มขึ้นอย่างงั้นเหรอ”
“เดี๋ยวพวกเจ้าก็ได้รู้เองแหละ”หลินซินลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้า
สาวกทั้งสองคนไม่รู้จะพูดอะไรอีก
…
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธกว่าหลายคนก็ได้บินไปยังยอดเขาดันยางทุกคนต่างก็ซ่อนตัวอยู่ในรอยแยกต่างๆ ทุกคนต่างก็เฝ้ามองยอดเขาอย่างไม่ละสายตา
…
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลาลับไปหลินซินก็หันกลับมามองทิศที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งอยู่ ไม่มีผู้ฝึกยุทธคนไหนบินเข้ามาตัวเขาแม้แต่คนเดียว เมื่อเห็นแบบนั้นหลินซินก็ได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “มหาวายร้ายเองก็รู้สึกกลัวเป็นสินะ…”
“เขาจะต้องกลัวท่านประมุขแน่ๆ”
ยิ่งลู่โจวมาถึงช้ามากขึ้นเท่าไหร่หลินซินก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่เวลาผ่านไป ตัวเขาก็ตั้งใจที่จะเดินทางกลับ
ในเวลาเดียวกันรถม้าลอยฟ้าก็ได้ปรากฏขึ้นมันเป็นรถม้าลอยฟ้าที่เต็มไปด้วยประกายแสง
ในที่สุดก็มาถึง!
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่รอบๆที่เหลือบเห็นรถม้าต่างก็เริ่มกระจายข่าว
“รถม้าลอยฟ้าของศาลาปีศาจลอยฟ้ามาถึงแล้ว!”