บทที่ 405 หักหน้า (1)
องค์หญิงซิ่นหยางรักสงบ บ่าวรับใช้ภายในเรือนจึงมีไม่มาก อีกทั้งโดยปกติแล้วจะรอกันอยู่ที่เรือนหน้า มีเพียงอวี้จิ่นกับองครักษ์หลงอิ่งที่มีสิทธิ์เข้าไปที่เรือนชั้นใน
อวี้จิ่นเดิมทีเป็นบุตรสาวสายตรงของตระกูลใหญ่ แตกต่างจากขุนนางหญิงที่เกิดในราชสำนัก นางสอบเข้ามาเป็นขุนนางที่จวนขององค์หญิงซิ่นหยางได้ด้วยความสามารถของตนโดยแท้
หลังจากที่อวี้จิ่นส่งไท่จื่อเฟยแล้วก็หันหลังกลับไปที่ห้องขององค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางนอนหลับยาวจนถึงย่ำค่ำถึงได้ตื่น นางตื่นมาก็รู้สึกแน่นหน้าอก
อวี้จิ่นเดินมาหา เห็นสีหน้านางไม่ค่อยสู้ดีนักจึงยกมืองามดุจหยกขึ้นจับชีพจรขององค์หญิงซิ่นหยางเบาๆ ก่อนถามอย่างเป็นห่วง “องค์หญิง เหมือนสัญญาณชีพท่านไม่ค่อยดีนัก ดื่มยาเสียหน่อยดีกว่าเพคะ”
อวี้จิ่นไม่ใช่หมอ เพียงแต่องค์หญิงซิ่นหยางป่วยมานาน จึงบังคับให้นางต้องรู้วิชาแพทย์นิดหน่อย
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้แย้ง นางลุกขึ้นนั่งโดยมีอวี้จิ่นคอยประคอง อวี้จิ่นหยิบหมอนหนุนมารองหลังให้นาง
เมื่ออวี้จิ่นไปเอายานางพลันชะงัก
บนโต๊ะมีขวดยาสองขวด ขวดหนึ่งเป็นยารักษาโรคหัวใจที่นางซื้อมาจากหมอยาแคว้นเยี่ยน อีกขวดเป็นยาลูกกลอนไป่ฮวาที่ไท่จื่อเฟยให้มาเมื่อครู่นี้
ยาลูกกลอนไป่ฮวาหายากยิ่งนัก เทียบกับยารักษาโรคหัวใจของหมอยาแคว้นเยี่ยนแล้วหายากกว่ามาก ว่ากันว่าสามารถรักษาได้สารพัดโรค
อวี้จิ่นได้เล่าเรื่องที่ไท่จื่อเฟยมาหาพร้อมทั้งมอบยาลูกกลอนไป่ฮวาให้ฟังแล้ว
“เอามาให้ข้าดูหน่อย” องค์หญิงซิ่นหยางบอก
องค์หญิงเคยเห็นยารักษาโรคหัวใจแล้ว ยามนี้สิ่งที่นางต้องการดูย่อมเป็นยาลูกกลอนไป่ฮวาของไท่จื่อเฟย
อวี้จิ่นหยิบยาลูกกลอนไป่ฮวามาจากบนโต๊ะ “เอ๊ะ”
“เป็นอะไรไปรึ” องค์หญิงซิ่นหยางถาม
“เหตุใดบนขวดจึงมีผ้าเพิ่มขึ้นมาเล่า ซ้ำยังมีลายมือด้วย”
กู้เจียวเป็นคนใช้ดินสอถ่านแท่งเรียวเขียนไว้ ไม่ได้น่าเกลียดเหมือนใช้พู่กัน เรียกว่าพอไปวัดไปวาได้
สำหรับอวี้จิ่นที่เป็นคุณหนูจากตระกูลบัณฑิตแล้ว บอกตรงๆ ว่าลายมือประเภทนี้ค่อนข้างอุจาดตา
ทว่าสิ่งที่ทำให้อวี้จิ่นสงสัยนั้นแท้จริงหาใช่ลายมือไม่
องค์หญิงซิ่นหยางมองไปยังขวดในมือนางพลางเอ่ย “ก่อนหน้านี้ไม่มีผ้ารึ”
“ข้าจำได้ว่าไม่มีนะเพคะ หรือว่าข้าจะจำผิด” อวี้จิ่นขมวดคิ้ว ก่อนจะมองไปยังส่วนบนสุด “หลงอี”
หลงอีทะยานตัวลงมายืนอยู่ห่างพวกนางทั้งคู่สามก้าว
อวี้จิ่นมองเขาพลางถาม “เมื่อครู่นี้มีใครมาหรือไม่”
หลงอีเงียบไม่ตอบ
“ช่างเถอะ ข้าจะถามเจ้าไปทำไม” อวี้จิ่นส่ายหน้า เรื่องนี้กลับย้ำเตือนนางว่าหลงอีเฝ้าอยู่ในห้อง ไม่มีทางปล่อยให้คนน่าสงสัยเข้ามาอยู่แล้ว
ดังนั้นนางคงจะจำผิดจริงๆ นั่นแหละ หรือไม่ก็นางไม่ได้สังเกตให้ดีแต่แรกว่าบนขวดมีผ้าผืนเล็กๆ อยู่
อวี้จิ่นยิ้มเอ่ย “คนขายยาลูกกลอนไป่ฮวาคงเป็นคนเขียนไว้กระมัง” ลายมือไท่จื่อเฟยไม่ได้แปลกประหลาดเช่นนี้
พอถูกขัดจังหวะเช่นนี้ องค์หญิงซิ่นหยางกลับไม่ได้เสวยยาลูกกลอนไป่ฮวาก่อน แต่เสวยยารักษาโรคหัวใจที่ปกติตัวเองกินอยู่ประจำไปสองเม็ด
กลางดึกสงัด องค์หญิงซิ่นหยางเริ่มไข้ขึ้น ผนวกกับเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง
“องค์หญิง!” อวี้จิ่นสวมแค่ชุดนอนโผมาหาแม้แต่ชุดคลุมตัวนอกก็ไม่ใส่ นางเลิกม่านเตียงขึ้นมองไปยังองค์หญิงซิ่นหยางที่สีหน้าซีดขาวทรมานอยู่บนเตียง ริมฝีปากไร้สีเลือด ก็พลันร้อนใจขึ้นมา
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้เป็นโรคหัวใจมาแต่กำเนิด แต่เพิ่งจะมาเป็นเมื่อไม่กี่ปีก่อน การตายของนายน้อยสะเทือนใจนางอย่างรุนแรง หัวใจของนางแหลกสลายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
อันที่จริงฤทธิ์ยารักษาโรคหัวใจในตอนแรกไม่เลว แต่พออาการป่วยรุนแรงขึ้น ประสิทธิภาพการรักษาของยารักษาโรคหัวใจก็ยิ่งอ่อนด้อยลงเรื่อยๆ จนถึงยามนี้ก็ระงับอาการไว้ไม่อยู่แล้ว
อวี้จิ่นนึกถึงยาลูกกลอนไป่ฮวาที่ไท่จื่อเฟยมอบให้ขึ้นมา นางจึงรีบเทออกมาเม็ดหนึ่ง
เม็ดยาเป็นสีขาว แต่อวี้จิ่นก็ไม่เคยเห็นยาลูกกลอนไป่ฮวาจริงๆ สักที ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ
นางเทน้ำอุ่นมาให้ แล้วป้อนยาเม็ดให้องค์หญิงซิ่นหยาง
ยาออกฤทธิ์ไวนัก ราวสองเค่อต่อมาองค์หญิงซิ่นหยางก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทรมานขนาดนั้นแล้ว อาการใจสั่นทุเลาลง และค่อยๆ หายเจ็บหน้าอกแล้วด้วย
ค่อนคืนหลังนางนอนหลับสนิททั้งคืน พอตื่นขึ้นมาไข้สูงก็ลดหายไปหมดอย่างคาดไม่ถึง
อวี้จิ่นบิดผ้ามาเช็ดหน้าผากให้องค์หญิงซิ่นหยางพลางปลอบ “คิดไม่ถึงว่าฤทธิ์ยาลูกกลอนไป่ฮวาจะน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้บ่าวน่าจะหามาให้องค์หญิงตั้งนานเสียก็ดี”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “เจ้าคิดว่ายาลูกกลอนไป่ฮวาจะหามาได้ง่ายๆ หรือ”
อวี้จิ่นหัวเราะ “ก็จริงเพคะ วิธีปรุงยาลูกกลอนไป่ฮวาเป็นเคล็ดลับเฉพาะของตระกูลไป๋แห่งแคว้นจ้าวมาโดยตลอด แต่ละปีจะปรุงแค่ครั้งเดียว หากซื้อมาได้ก็เป็นโชคดี ไท่จื่อเฟยช่างใส่ใจกันไม่น้อย”
“อืม” องค์หญิงซิ่นหยางขานรับเสียงแผ่วเบา
อวี้หยางเอ่ยต่อ “กินยาลูกกลอนไป่ฮวาวันละสองเม็ด ในเมื่อองค์หญิงตื่นแล้วก็รีบเสวยอีกเม็ดเถิดเพคะ”
เมื่อคืนนางทรมานรุนแรงนัก ไม่มีอารมณ์ไปดูหน้าตายาลูกกลอนว่าเป็นอย่างไร ยามนี้มาพินิจมองแล้วนางรู้สึกว่ามันแตกต่างจากยาลูกกลอนไป่ฮวาในตำนานไม่น้อย
ยาลูกกลอนไป่ฮวาไม่ได้ใช้ดอกไม้สดร้อยชนิดมาปรุงตามชื่อของมันหรอก เพียงแต่มันใช้กลีบดอกไม้จำนวนไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ตัวยาจึงมีกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้
ทว่ายาลูกกลอนชนิดนี้….เรียกยาเม็ดจะเหมาะกว่า มันมีสีขาว ไร้สีไร้รสชาติ
หากไม่ได้เห็นผลจริง องค์หญิงซิ่นหยางคงนึกว่าไท่จื่อเฟยซื้อยาลูกกลอนไป่ฮวาของปลอมมาเป็นแน่
“ดูท่าแล้วจะเชื่อตำนานไม่ได้ทั้งหมดนะ” นางเอ่ยจบก็รับน้ำอุ่นที่อวี้จิ่นส่งมาให้ แล้วกลืนยาลูกกลอนไป่ฮวาลงไป
องค์หญิงกลับเมืองหลวงเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะด้วยกฎเกณฑ์หรือความเหมาะสมย่อมต้องเข้าวังไปถวายพระพรจวงไทเฮาและฮองเฮา แต่เพราะไม่กี่วันก่อนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ยามนี้ดีขึ้นมากแล้วย่อมควรเตรียมตัวเข้าวัง
พอเสวยมื้อเช้าแล้ว องค์หญิงซิ่นหยางก็นั่งรถม้าไปยังวังหลวงพร้อมกับของขึ้นชื่อที่นำมาจากเขาเฟิงตู
ฮ่องเต้กำลังอ่านฎีกาอยู่ในห้องทรงอักษร
เว่ยกงกงค้อมกายเข้าห้องพลางเอ่ยทูล “ฝ่าบาท องค์หญิงซิ่นหยางขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตกใจเล็กน้อย วางฎีกาในมือลงก่อนจะตรัส “รีบไปเชิญองค์หญิงเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงไปเชิญองค์หญิงซิ่นหยางเข้ามาจากด้านนอกด้วยตัวเอง
องค์หญิงซิ่นหยางยืนอยู่ในห้องทรงอักษร ยกแขนขึ้นสองข้าง สองมือทับกันตรงหน้าผาก จากนั้นจึงค้อมกายคำนับ “น้องถวายบังคมฝ่าบาท”
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก!” ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์ไปหา “ยืนขึ้นเถิด!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” องค์หญิงซิ่นหยางยืดตัวขึ้นตรง
“เอ่อ…เอาเก้าอี้มาสิ!” ฮ่องเต้บอกกับเว่ยกงกง
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงยกเก้าอี้มาโดยไม่เบนสายตาล่อกแล่ก “เชิญองค์หญิงนั่งพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้มีพิธีรีตองมากมายนัก นางนั่งลงตามคำเชิญ
ฮ่องเต้อยากจะถูมือไปมา
จะว่าไปแล้วก็น่าละอาย แม้ว่าองค์หญิงซิ่นหยางจะเป็นน้องสาวพระองค์ แต่ทุกครั้งที่อยู่กับนางพระองค์ล้วนรู้สึกว่าองค์หญิงซิ่นหยางเป็นพี่สาวพระองค์
คนอื่นอาจจะมองไม่ออก มีเพียงฮ่องเต้ที่รู้ องค์หญิงซิ่นหยางเป็นลูกของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่เหมือนฮ่องเต้พระองค์ก่อนมากที่สุด
ทั้งใบหน้าที่เหมือนกัน และแววตาคู่นั้นยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่
ส่วนวิธีการ…
เมื่อก่อนพระองค์ไม่คิดว่าสตรีในวังหลังจะมีแผนการอะไร ยกเว้นจวงไทเฮา
ทว่าตั้งแต่เกิดเรื่องจิ้งไท่เฟยขึ้น พระองค์ก็ไม่กล้าประเมินสตรีคนใดในวังหลังต่ำอีกเลย
ยิ่งไปกว่านั้นหมู่นี้พระองค์นึกย้อนกลับไปอย่างละเอียดแล้ว เมื่อองค์หญิงซิ่นหยางอายุได้สิบสามปีก็ไม่ได้รับการปกป้องจากพระมารดาแล้ว ไม่ว่าจะในด้านใดก็ไม่นับว่าสนิทกับเสด็จแม่จวงและหลิ่วกุ้ยเฟยเลย ในสถานการณ์เช่นนั้นนางอยากปกป้องตัวเองช่างยากลำบากนัก
ทว่าพระองค์ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านางถูกใครรังแก
ต่อมานางมาแต่งกับเซวียนผิงโหว ยิ่งไม่มีใครกล้ารังแกนางเข้าไปใหญ่
บรรดาชาวบ้านลือกันว่าองค์หญิงซิ่นหยางเป็นน้องสาวที่พระองค์รักที่สุด มิฉะนั้นพระองค์คงไม่เลือกคู่หมั้นคู่หมายที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ให้แก่นางหรอก อย่างไรเสียตอนนั้นองค์หญิงที่อยากได้เซวียนผิงโหวก็มากมายเหลือจะกล่าวนัก
ใครจะไปคิดว่าการแต่งงานครานี้จะเป็นการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้พระองค์ก่อน พระองค์ก็แค่ทำตามประสงค์ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็เท่านั้น
ฮ่องเต้เก็บความคิดไปแล้วถามนาง “ป่วยอยู่มิใช่หรือ เหตุใดจึงยังเข้าวังมาอีกเล่า”
องค์หญิงซิ่นหยางตอบ “ไม่ได้อาการหนักอะไรเพคะ ถึงได้เข้าวังมาถวายพระพรฝ่าบาท”
“อ่า…” ฮ่องเต้ยกชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง “ไม่ได้เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”