ภาค 3 บทที่ 151 ข้าเห็นภูเขาสีเขียว

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 151 ข้าเห็นภูเขาสีเขียว
ดวงตาของคุณหนูจวินลืมขึ้นช้าๆ

สิ่งที่เข้าสู่สายตาเป็นอย่างแรกก็คือท้องฟ้าสว่างใสกว้างไกลต้นฤดูใบไม้ร่วงของแดนเหนือ ที่ตามติดมาก็คือใบหน้าคนสามดวงอีกครั้ง

เป็นใบหน้าแปลกหน้าสามดวง อายุใกล้เคียงกับบุรุษสองคนที่ลักพาตนเองมา สองตาสบกับคุณหนูจวิน พวกเขาก็เค้นรอยยิ้มบางออกมา

หน้ายิ้มนี่ขัดเขินอยู่บ้างเก้กังอยู่บ้างแต่ก็อยากแสดงความเป็นมิตรของตนเอง เหมือนเช่นคนทำไร่ไถนาผู้ซื่อตรง

คุณหนูจวินไม่อยากถามอีกแล้วว่าพวกเขาเป็นใคร นางหลุบสายตาลง

คนหลายคนนั้นเหมือนจะเคร่งเครียดอยู่บ้างแล้ว

“คุณหนูจวินท่านอย่าร้อนใจ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว” บุรุษคนหนึ่งในนั้นรีบเอ่ย

ทว่าเวลานี้ที่ต้องการไม่ใช่คำปลอบใจทำนองนี้

“คุณหนูจวินนอนอยู่นานมากแล้ว อาจไม่สบาย ไม่สู้ลุกขึ้นนั่งเถอะ” บุรุษอีกคนหนึ่งรีบเอ่ยอีก

ดวงตาของคุณหนูจวินเงยมองพวกเขาอีกหน

เห็นสภาพของนาง บุรุษที่เสนอขึ้นมา ถูมือดีอกดีใจทันที

“เร็วเร็ว” เขาว่า ไม่ได้ก้าวเข้ามาประคอง แต่มองด้านซ้ายขวา “ซานโก๋วจื่อ”

ถูกเรียกชื่อ เสียงที่เด็กน้อยอยู่บ้างเสียงหนึ่งไม่ยินดี

“ข้าก็โตแล้ว” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินขำอยู่บ้าง

นี่คือพวกเขาหลีกเลี่ยงชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดอยู่หรือ?

นี่มีความหมายไหม?

หรือนางเดินมาถึงที่นี่เองได้รึ?

“คุณหนูจวิน ยามไม่ปกติจึงกระทำการไม่ปกติ” บุรุษคนนั้นมองสีหน้าของนางออก ถูมือเอ่ย แม้พูดมีเหตุผลยิ่ง แต่เขาก็ยังกระสับกระส่ายอยู่บ้าง เหมือนคำพูดนี้ไมใช่คำพูดที่เขาอยากเอ่ย

คนทำนาคนหนึ่งพูดคำเช่นนี้ออกมาไม่ได้จริงๆ นอกเสียจากมีคนสอน

คุณหนูจวินไม่สืบสาวเรื่องเหล่านี้ชั่วคราว

บุรุษคนนั้นพูดจบก็ตะโกนไปด้านนั้นอีกหลายที เด็กวัยรุ่นคนนั้นในหมู่สามคนที่ลักพาตัวนางถึงอิดๆ ออดๆ เดินเข้ามา พยุงคุณหนูจวินลุกขึ้นนั่ง

แม้ใต้ร่างปูหญ้าอยู่ นอนหนึ่งคืนก็ทรมานยิ่ง คุณหนูจวินอดไม่ได้พรูลมหายใจ ขยับร่างกายที่แข็งทื่อ พร้อมกันนั้นสายตากวาดมองรอบด้าน

นี่เป็นทางภูเขาเส้นหนึ่ง แต่ด้านหน้าดูไปแล้วภูมิประเทศราบเรียบ มีดินโคลน กลิ่นอายสัตว์เลี้ยงรวมถึงควันไฟประกอบอาหารอ้อยอิ่งเดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี

นี่เหมือนหมู่บ้านสักแห่งจริงๆ

“คุณหนูจวิน ท่านนั่งดีๆนะ” บุรุษเอ่ย เริ่มเคลื่อนรถ บุรุษคนอื่นตามไปรอบด้าน

พวกเขาเหมือนไม่กังวลสักนิดว่าคุณหนูจวินจะหนีไป

คุณหนูจวินนิ่งเงียบ

นี่คงเป็นเพราะมีความเชื่อมั่น

ทว่านางว่าง่ายเช่นนี้ไม่เอะอะ ไม่โวยวาย กระทั่งตั้งคำถามก็ไม่มี พวกเขาก็ไม่รู้สึกประหลาดใจหรือ?

ก็คงไม่สนใจ?

ใครจะสนใจเสียงร้องของสัตว์ที่ถูกขังในกรง

“….เดินทางราบรื่นไหม?”

“แน่นอน”

“ล้วนเป็นลูกเล่นที่เห็นอยู่บ่อยๆ”

คุณหนูจวินได้ยินพวกเขาคุยกันเสียงเบา

ลูกเล่นที่เห็นอยู่บ่อยๆ หมายถึงอะไร?

ผู้คุ้มกันด้านนอกกระโจม? อาวุธลับในกระโจม?

สำหรับคนเป็นโจร ผู้คุ้มกันคงเห็นบ่อยยิ่ง แต่อาวุธลับในกระโจมเกรงว่าคงเห็นไม่บ่อยกระมัง

นั่นเป็นสิ่งที่อาจารย์สอนนางเชียวนะ

“ข้าน่ะ ค่ายกลอาวุธลับนี่ ข้าบอกว่าเป็นที่สองก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่ง” เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

เห็นบ่อย…ลูกเล่น?

คำพูดของบุรุษหลายคนยังดำเนินไปต่อ

“…ลูกหมูของบ้านเถียถุ่ยเกิดหรือยัง?”

“…ผักแห้งของเหล่าอวี๋โถวข้าขายให้เขาแล้ว พบลูกค้าใหญ่เข้า…”

พวกเขาเริ่มพูดถึงชีวิตของคนทำนาบ้านตระกูลนั้นบ้านตระกูลนี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว

อาจารย์บอกว่าเจ้าอยากหลอกผู้อื่นก็จำเป็นต้องหลอกตนเองก่อน เจ้าอยากให้คนอื่นเชื่อว่าตนเองทำนา ถ้าอย่างนั้นตนเองก็ต้องมองตนเองเป็นคนทำนาคนหนึ่งจริงๆ

คุณหนูจวินมองไปทางคนเหล่านี้ แล้วก็มองสภาพของพวกเขาชัดเป็นครั้งแรก

บุรุษทั้งหมดเจ็ดคนนี้ อายุน้อยที่สุดสิบเอ็ดสิบสองปี อายุมากที่สุดสี่สิบกว่าปี สวมเสื้อผ้าป่านเนื้อหยาบ หน้าตาผิวพรรณหยาบกระด้างสายลมแสงแดดทิ้งร่องรอยไว้บนนั้น

สำเนียงของพวกเขาล้วนเป็นของท้องถิ่น

เห็นนางมองมา คนหลายคนก็หยุดพูดมองมาทางนางด้วย

“คุณหนูจวินต้องการสิ่งใดหรือ?” บุรุษที่อายุมากรีบเอ่ยถาม

คุณหนูจวินไม่ได้เอ่ยคำ ละสายตาออก

บุรุษทั้งหลายก็ไม่ได้ตั้งคำถามอีก บุรุษอายุมากโบกมือให้ทุกคนเดินทางไปข้างหน้าต่อ

รถถูกขับอ้อมตีนเขาลูกหนึ่ง ตรงหน้าคุณหนูจวินพลันโล่งกว้างสว่างไสว เป็นที่ราบผืนหนึ่งอย่างที่คิด ในนั้นบ้านกระจัดกระจายอยู่ มีเด็กน้อยวิ่งเล่นโวยวายเดินวิ่งอยู่ด้านใน แสงอรุณของฤดูใบไม้ร่วงส่องไปทั่ว สว่างไสวแล้วยังสงบสุข

พวกเขา…เป็นใครกันนะ?

ในใจคุณหนูจวินคิดขึ้นอีกครั้ง นี่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว

สายตาของนางมองไปด้านหน้า ฉับพลันทั้งร่างพลันชาวูบ นิ่งแข็งไปแล้ว

นาง มองเห็นเขาลูกหนึ่ง

เขาลูกหนึ่ง

นี่เป็นหมู่บ้านภูเขาแห่งหนึ่ง ด้านหลังหมู่บ้านอิงเขาลูกหนึ่งอยู่

นี่คือ นี่คือ….

“นี่คือภูเขาไง”

บุรุษด้านข้างค้นพบท่าทางผิดปกติของนาง ได้ยินเสียงพึมพำของนาง เอ่ยตอบอย่างไม่เข้าใจ

หรือว่าคุณหนูจวินคนนี้ไม่เคยเห็นภูเขามาก่อน? ทำไมคนทั้งร่างประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดไปแล้ว?

“ข้าบอกแล้วว่าพวกเราล้วนเป็นชาวเขา ล่าสัตว์ปลูกพืช…” บุรุษอีกคนก็เอ่ยตามบ้าง

คุณหนูจวินรู้สึกเพียงร่างกายแข็งทื่อจนจะหักสะบั้น

“ภุเขาแห่งนี้คือ…” เสียงนางเอ่ยขึ้นแหบพร่า

ในที่สุดก็จะถามว่าตนเองอยู่ที่ใดแล้วกระมัง? บุรุษทั้งหลายสบตากัน สีหน้าไม่ได้กังวล ยังคงผ่อนคลายสบายๆ

กลัวอะไร ต่อให้นางรู้ว่านี่คือเขาอะไร แล้วทำอย่างไรได้เล่า?

“ภุเขาแห่งนี้คือ…” บุรุษคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเป็นมิตร

คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ คุณหนูจวินพูดออกมาก่อนแล้ว

“จางชิงซาน” นางเอ่ย มองภูเขาตรงหน้า

บุรุษคนนั้นอึ้งไปนิดหนึ่ง คนอื่นที่เหลือก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน

“ที่แท้คุณหนูจวินก็รู้อยู่แล้ว?” บุรุษเอ่ยขึ้น “เขาจางชิงซานของพวกเราชื่อดังปานนี้เชียว?”

เขาจางชิงซาน

จางชิงซาน

เป็นชื่อปลอมจริงๆ ด้วย

ทุกสิ่งเป็นเรื่องหลอกลวงจริงๆ ด้วย

คุณหนูจวินมองภูเขาลูกนี้ น้ำตาพลันไหลลงมา

“จางชิงซาน” นางเอ่ย “จางชิงซาน”

บุรุษทั้งหลายตกใจสะดุ้งโหยง

“เขาจางชิงซานเป็นอะไรหรือ?” ทุกคนเอ่ยถามพร้อมเพรียง

จางชิงซานเป็นอะไรหรือ?

ในที่สุดนางก็ได้เห็นเขาจางชิงซานแล้ว แต่จางชิงซานตายแล้ว!

คุณหนูจวินปิดหน้าร้องไห้โฮ

บุรุษหลายคนตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า

“ข้าไม่ได้พูดอะไรนะ?” บุรุษคนหนึ่งสีหน้าวิตกเอ่ยขึ้น

ส่วนเด็กผู้ชายด้านข้างเบะปาก

“พวกผู้หญิงชอบร้องไห้” เขาเอ่ยขึ้นท่าทางเข้าใจและลุ่มลึก

เพียงแต่น่าเสียดาย ครู่เดียวก็ถูกฝ่ามือตบลงบนกะโหลก

“ไสหัวไปข้างๆ ไป” บุรุษอายุมากเอ่ยด่า มองไปทางคนอื่นๆ เอ่ยเสียงเบา “คิดว่าอารมณ์คงสะสมมาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็พังทลายแล้ว”

นี่ก็ถูก เด็กสาวคนนี้ท่าทีตลอดทางที่มาผิดจากคนปกติเกินไปแล้ว

“แต่ คนที่ทำการปลูกฝีออกมาได้ย่อมต้องต่างจากคนปกติล่ะนะ” บุรุษคนหนึ่งเอ่ยอีกครั้ง “ก็ไม่แปลกอะไร”

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมพวกเขารู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของคุณหนูจวินสมเหตุสมผล

นี่ก็อธิบายไม่ได้แล้ว

บุรุษหลายคนสีหน้ามึนงง บางคนถูมือ บางคนกุมศีรษะ

“สรุปคือผู้หญิงชอบร้องไห้ ใครจะรู้ว่าพวกนางร้องไห้ทำไม” ท้ายที่สุดบุรุษอายุมากก็ตบต้นขาเอ่ย

“อาขุย นี่เป็นคำพูดข้านะ” ซานโก๋วจื่อเอ่ย

บุรุษอายุมากยกมือไปทางเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ซานโก๋วจื่อกระโดดผลุงออกไปแล้ว

“อารอง” เขาร้องเสียงดัง โบกมือไปทางถนนด้านหน้า

ผู้คนมองไป เห็นคนมากมายเดินมาจากในหมู่บ้าน เห็นชัดยิ่งว่ามองเห็นพวกเขากลับมาแล้ว

บุรุษหลายคนรีบเข้ามาต้อนรับ

“หัวหน้าหมู่บ้าน” พวกเขามองเห็นผู้ชายที่นำหน้าก็ร้องเรียก

คนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าหมู่บ้านเป็นบุรุษอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างคุณหนูจวิน

“นี่เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยเสียงเคร่งเครียด

“ใครจะรู้ อยู่ดีๆ ปุบปับก็ร้องไห้แล้ว” บุรุษหลายคนเอ่ยขึ้นพร้อมเพรียง

จะไม่รู้ได้อย่างไร เปลี่ยนเป็นใครถูกลักพาตัวก็ต้องร้องไห้ทั้งนั้น” หัวหน้าหมู่บ้านส่ายหัว

“พวกเจ้านี่นะ ปลอบเด็กไม่เป็น” เขาเอ่ย “ต้องเป็นพวกเจ้าทำนางกลัวแล้วแน่”

บุรุษหลายคนนั้นทำหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมต้องการอธิบาย หัวหน้าหมู่บ้านพลันเดินผ่านพวกเขาไปยืนตรงหน้าคุณหนูจวินแล้ว

“คุณหนูจวิน” เขาสีหน้าอ่อนโยน เสียงแผ่วเบาลงอยู่บ้างเอ่ยขึ้น “ท่านไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ใช่คนร้าย”

คุณหนูจวินหยุดร้องไห้ ลดแขนเสื้อลงมองมา

ไม่ร้องแล้วจริงด้วย คนที่ล้อมอยู่รอบด้านโล่งอก

คุณหนูจวินมองบุรุษตรงหน้า ดวงเนตรชุ่มน้ำตาพลันเบิกกว้าง

นางจำเขาได้

แม้เทียบกับทหารคนนั้นบนภาพวาดกระบวนทัพที่วาดด้วยหมึกพู่กันดูไปแล้วแก่ขึ้นมากนัก แต่คนที่เห็นครั้งเดียวไม่มีทางลืมเช่นนี้อย่างนาง จำได้ง่ายดายยิ่ง

เขา!

เขาก็ปรากฏตัวแล้ว!

“ท่าน ท่าน…” นางขยับปากพึมพำ คำพูดยังไม่ทันออกจากปากก็หลับตาอ้าปากร้องไห้ดังโฮโฮ หนักยิ่งกว่าที่ร้องไห้ก่อนหน้านี้อีก

คนที่ล้อมรอบด้านตกใจสะดุ้งโหยง

หัวหน้าหมู่บ้านยืนอยู่ที่เดิมกระอักกระอ่วนยิ่ง ดันยังมีคนไม่มีตายื่นหัวมาอีก

“หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านทำคนกลัวแล้ว”