บทที่ 394 คุณชายบอกให้พวกเราไปเลย

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 394 คุณชายบอกให้พวกเราไปเลย

สวีฉางหลินหรี่ดวงตาเรียวยาว ความเยือกเย็นรอบกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น

“เจ้าคิดว่า ข้าจะปล่อยของสำคัญที่อยู่ในมือเพื่อคนที่ไม่สำคัญพวกนี้หรือ?”

ผู้ชายสวมหน้ากากชะงักงัน น้ำเสียงผ่อนคลายกล่าวว่า“ถ้าเป็นคนอื่น อาจจะไม่ แต่นายพลสวีท่านไม่มีทางให้คนตายเพราะท่านหรอก จุดนี้ ข้านับถือนายพลสวี”

นายพลสวียิ้มอย่างเยือกเย็น โค้งเอว แล้วปล่อยเด็กน้อยสองคนเดิน

พอเท้าของเด็กทั้งสองคนติดพื้น จึงลืมตาขึ้น ก็เลยได้เห็นพ่อของพวกเขาล้วงมือเข้าไปในแขนของตัวเอง แล้วหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา

ตอนที่สมุดเล่มนั้นปรากฎออกมา ผู้ชายสวมหน้ากากคนนั้นเกร็งไปทั้งตัว

ในเมื่อสวีฉางหลินเอาสมุดออกมา อย่างนั้นทุกอย่างถือเป็นเรื่องง่ายแล้ว……

เหมือนสวีฉางหลินไม่รู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไป เขาฉีกหน้าปกออก ปรากฎให้เห็นตัวอักษรด้านใน

“ตอนนี้ กฎเกณฑ์ในการค้าขายแลกเปลี่ยนนี้ ข้าเป็นคนกำหนด”

ผู้ชายสวมหน้ากาก กล่าวว่า“กฎเกณฑ์อะไรหรือ?”

“เจ้าปล่อยคนหนึ่งออกไปอย่างปลอดภัย ข้าจะฉีกหนึ่งหน้า”

ผู้ชายสวมหน้ากากส่ายหน้า กล่าวว่า“นายพลสวี ท่านลืมว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้วหรือ ข้าสามารถสั่งให้คนฆ่าพวกท่านให้หมด ถึงเวลานั้นเอาสมุดนี้ไปก็จบแล้ว”

“อย่างนั้นเจ้าต้องลองดู”สวีฉางหลินตอบรับคำข่มขู่ทีละคำ

ผู้ชายสวมหน้ากากก้มหน้า ภายในใจรีบทำตัวให้สงบ

นับจากจำนวนคน ทางด้านพวกเขาถือมีอำนาจ แต่สวีฉางหลิน….เขากลัวว่าจะเอาไว้ไม่ได้ ถ้าปล่อยเขาออกไปจริงๆ พวกเขาทุกคนรวมถึงคนในสมุดจะต้องถูกฝังไปพร้อมกันด้วย

นึกถึงจุดมุ่งหมายของตัวเอง เขาเลยกล่าวขึ้นว่า“ได้”

สวีฉางหลินพยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ชุดแรก สามคน”

กล่าวพูดแล้วก็ได้ฉีกกระดาษสามแผ่นหน้า

เขาส่งสายตาให้องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างคนหนึ่ง องครักษ์รับทราบ ยื่นมือออกไป หนีบเด็กทั้งสองคนไว้ใต้รักแร้ แล้วสาวเท้าออกไปด้านนอก

องครักษ์ที่อยู่ตรงประตูขวางไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว ผู้ชายสวมหน้ากากโบกสะบัดมือ คนเหล่านั้นเลยหลบหลีก

องครักษ์แบกเด็กน้อยสองคนที่เงียบสงบไว้ และสาวเท้าเดินออกไปจากห้อง

รอคนจำนวนหนึ่งหายใจ ด้านนอกเงียบสงบไร้เสียงเคลื่อนไหว

ผู้ชายสวมหน้ากากมองสวีฉางหลินอีกครั้ง “นายพลสวี เชิญต่อได้เลย”

สวีฉางหลินไม่ได้ตอบ ภายในใจนับเวลาพอประมาณแล้ว เขาถึงได้พูดว่า“ครั้งนี้ ก็อีกสามคน”

กล่าวแล้ว ก็ฉีกอีกสามหน้า องครักษ์ที่อยู่ข้างกายรีบเคลื่อนไหว เดินไปทางประตู มือแต่ละข้างคว้าขอทานมาข้างละคน หมายจะเดินออกไป

ครั้งนี้องครักษ์ที่ดูแลเรือนไม่ได้ขวางทาง เอียงตัวให้พวกเขาออกไป

ครั้งถัดไป ผู้ชายสวมหน้ากากไม่ได้เร่งเร้าแล้ว ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว นายพลสวีคนนี้ต้องการรอเวลา รอจนเขาคิดว่าพวกเขาออกไปได้แล้ว

ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาเร่งเร้าไปก็ไม่มีประโยชน์

ทางด้านนอก โจวกุ้ยหลานเห็นเด็กทั้งสองคนออกมา ก็ไม่ได้หลบซ่อนอีกต่อไป นางวิ่งออกมา มือโอบลูกน้อยทั้งสองเข้าสู้อ้อมอก

ร่างกายนุ่มนวลของเด็กทั้งสองคนอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนนาง ทำให้นางรู้สึกอบอุ่น ทำให้จิตใจของนางค่อยๆสงบลง

“ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้ว…..”

ไม่ใช่แค่ปลอบใจลูกน้อยสองคน นี่ยังเป็นการปลอบใจตัวนางเองด้วย

“ท่านแม่ อานอานคิดถึงท่านแม่….”

เสี่ยวรุ่ยอานเป็นคนสุขุมตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้เขาไม่สามารถควบคุมความกลัวของตัวเองได้เลย

เสี่ยวรุ่ยหนิงอยากจะเอ่ยปากพูด เขาสะอึกทำให้คำพูดทั้งหมดถูกกลืนกินไป เขาทำได้เพียงกอดท่านแม่ของเขาแน่นเพื่อไม่ให้กลัวมากขนาดนั้น

“ไม่เป็นไรๆ พวกเราหลบซ่อนคนชั่วก็หาพวกเราไม่เจอแล้ว!”

โจวกุ้ยหลานกล่าวพูด มือก็คว้าเอาลูกทั้งสองคนมา จากนั้นภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ พวกนางได้หาสถานที่เปลี่ยนพากันหลบซ่อน

เมื่อรู้ข้อตกลงการแลกเปลี่ยนกันของสวีฉางหลินกับฝ่ายตรงข้าม คนจำนวนหนึ่งก็จ้องมองอยู่ตรงประตู

ต่อให้เด็กทั้งสองคนปลอดภัยแล้ว ภายในใจของโจวกุ้ยหลานยังมีก้อนหินก้อนหนึ่งมาทับทำให้นางหายใจติดขัดอยู่

คนออกมาทีละชุดๆ คนด้านนอกยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเสี่ยวเก๋อออกมาแล้ว ก็นั่งลงบนพื้นลุกไม่ขึ้น เพราะขาอ่อนปวกเปียก

“เสี่ยวเก๋อ เจ้ารีบลุก แล้วพาพวกเขาหนีไปเร็วเข้า!”โจวกุ้ยหลานจับแขนของเสี่ยวเก๋อ พยายามดึงเขาลุกขึ้น

เพียงแต่ แรงของนางที่อยู่ภายใต้การอ่อนปวกเปียกของเสี่ยวเก๋อนั้นมันไม่มีประโยชน์เลยสักนิดหนึ่ง

“ไม่….ไม่ได้แล้ว ท่านพี่ ข้า…ข้าขาอ่อนแรง……”เสี่ยวเก๋อบ่นพึมพำ นึกถึงคนที่ตายอยู่ในห้องเมื่อสักครู่นี้ เขาก็รู้สึกตัวสั่นไปหมด

“ขาอ่อนแรงก็ต้องลุก! อีกเดี๋ยวถ้าพวกเขาออกมา พวกเราก็ตายกันหมดนะ!”ตอนนี้โจวกุ้ยหลานไม่มีกระจิตกระใจมาปลอบพวกเขาหรอกขอทานอีกคนหนึ่งลุกขึ้นจากพื้น สีหน้ากระวนกระวายใจ

จะเอาชีวิต! นี่มันเป็นเรื่องถึงแก่ชีวิต!

เสี่ยวเก๋อก็หวาดกลัว รีบลุกขึ้นจากพื้น

“ท่านพี่ พวกเราต้องหนี หนีตอนนี้เลย!”

โจวกุ้ยหลานดึงมือเขาไว้ กล่าวว่า“ข้าจะรอคน พวกเจ้าหนีไปยิ่งไกลยิ่งดี”

กล่าวพูดแล้ว ก็ให้องครักษ์สองคนคุ้มกันพวกเขาออกไป

องครักษ์สองคนสบตากัน ต่างเห็นความลังเลใจในแววตาของฝ่ายตรงข้าม ถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นองครักษ์ของคุณชาย แต่สถานการณ์แบบนี้ เอาคนเหล่านี้ออกไปถือว่าดีที่สุด…….

“ยังซื่อบื้ออะไรกันอยู่? รีบไป! พวกเจ้าอยากให้สวีฉางหลินมีภาระเยอะหรือ?”

โจวกุ้ยหลานกล่าวตะคอกด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำใส่พวกเขา

พวกเขาถูกตะคอกใส่อย่างนี้ เลยไม่ลังเลอีก จากนั้นได้พาพวกเสี่ยวเก๋อออกไป แม้แต่เสี่ยวรุ่ยอานกับเสี่ยวรุ่ยหนิงก็ถูกพาไปด้วย

เมื่อรอเสี่ยวจิ่ว ออกมา คนอื่นเลยเข้าไปประคองเสี่ยวจิ่ว

เสี่ยวจิ่วห่อไหล่ของตนเอง ตอนนี้เริ่มมีเลือดไหลออกมา ชัดเจนว่าบาดแผลได้ถูกทำฉีกขาดอีกครั้ง

“คุณชายสั่งให้พวกเราหนีไป”น้ำเสียงของเสี่ยวจิ่วเย็นเฉียบแล้ว

“เขาอยู่ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง?”

โจวกุ้ยหลานถาม

เสี่ยวจิ่วกระแอมไอ น้ำเสียงยังคงสุขุมกล่าวว่า“ยังเหลือเขากับเสี่ยวปาอยู่ด้านใน คุณชายบอกว่าให้พวกเราออกไป”

โจวกุ้ยหลานเม้มริมฝีปากแน่น จากก้นบึ้งหัวใจ นางอยากจะรอเขา ตอนนี้เขา ตกอยู่ในอันตราย นางอยากจะร่วมเผชิญหน้ากับเขา

แต่สติบอกกับนาง ถ้าเกิดนางอยู่ จะต้องเป็นภาระของสวีฉางหลิน หรือเวลาต่อมา นางอาจจะทำให้สวีฉางหลินหนียากด้วย

“คุณชายบอกให้พวกเราหนีไป”

เสี่ยวจิ่วกล่าวขึ้นอีกครั้ง

หัวใจของโจวกุ้ยหลานราวกับถูกเหล็กทิ่มแทง ไม่ได้เจ็บมาก แต่ทว่ากลับทำให้รู้สึกไม่สบาย

นางกัดฟันแน่น ครู่ใหญ่ๆ ถึงได้กล่าวว่า“ได้”

ภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์จำนวนหนึ่ง นางประคองเสี่ยวจิ่ว เดินไปตรงสถานที่ที่เอาม้าผูกไว้

เสี่ยวจิ่วเสียเลือดมาก คนทั้งคนซบอยู่บนตัวของโจวกุ้ยหลาน โจวกุ้ยหลานสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นของเสื้อตัวเอง

ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป กลัวว่าเลือดของนางจะหมดตัวแน่

โจวกุ้ยหลานกัดฟัน ตัดสินใจแน่วแน่ คว้าแขนทั้งสองข้างของเสี่ยวจิ่วมาวางบนไหล่ของตนเอง คนทั้งคนคุกเข่าลง มือทั้งสองข้างกอดจับขาของเสี่ยวจิ่วไว้ จากนั้นออกแรง แบกเสี่ยวจิ่วไว้ข้างหลัง

“ฮูหยินน้อย……”เสี่ยวจิ่วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอิดโรย

“เจ้าดูแลข้ามาตั้งนาน ให้ข้าปกป้องเจ้าสักครั้งนะ”โจวกุ้ยหลานจงใจพูดแบบไม่อะไรสบายๆ สาวเท้าก้าวเดินอย่างรวดเร็ว

ไม่สามารถให้นางออกแรงได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นบาดแผลจะมีเลือดออกมากขึ้น