จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่นั่งอยู่สูงชำเลืองมองเบื้องล่าง จิ้นอ๋องกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น ฮ่องเต้กอดกุมความหวังอันน้อยนิดพลางถามขึ้น “เจ้าสาม สิ่งใดทำให้เจ้าสติฟั่นเฟือนถึงขั้นลงมือกับฉุนเกอเอ๋อร์”
จิ้นอ๋องก้มศีรษะลงถึงพื้นกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นไหว “ลูกถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง ไม่ว่าเสด็จพ่อจะลงโทษลูกอย่างไร ลูกก็จะยอมรับแต่โดยดี เพียงแต่บุตรชายของลูก และภรรยาล้วนไม่มีความผิด ขอเสด็จพ่อโปรดทรงเมตตาปล่อยทั้งสองไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หากทำร้ายจิ้งอ๋องซื่อจื่อจะมีโทษสถานใด ในเมื่อจิ้งอ๋องซื่อจื่อในตอนนี้ยังปลอดภัยดี ฉะนั้นการลงโทษสถานหนักเกินควรก็คงไม่ได้ แต่จะลงโทษสนามเบาก็คงไม่ได้เช่นกัน
จิ้นอ๋องรู้แจ้งแก่ใจว่าโทษทัณฑ์ที่ตัวเองจะได้รับคงมิใช่สถานเบาอย่างแน่นอน นั่นมิใช่เพียงเพราะฉุนเกอเอ๋อร์เป็นหลานชายคนโปรดของจิ่งหมิงฮ่องเต้ แต่สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นคือเขาแสดงตัวว่าตัวเองหมายตาตำแหน่งนั้นไว้
ซึ่งนี่คือสิ่งที่จิ่งหมิงฮ่องเต้รับไม่ได้ที่สุด
หากในราชวงศ์ ไร้ซึ่งความเป็นพ่อเป็นลูก ไม่ว่าจะคิดอย่างไร การยกตำแหน่งให้คนๆ หนึ่ง และคนๆ นั้นหมายตาตำแหน่งของเขาอยู่ จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร
“เจ้าสาม ข้าผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก นี่ข้ายังไม่ตายเลย เจ้าก็ลงมือกับลูกชายของพี่น้องแล้วงั้นหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟาดลงบนบัลลังก์มังกรด้วยพระพักตร์คล้ำหม่น “หากข้ายกตำแหน่งนั้นให้เจ้า เจ้าจะไม่หวัดหัวทุกผู้ทุกคนที่อาจเป็นภัยคุกคามหรือ”
สายตายังคงจดจ้องไปที่จิ้นอ๋องที่กำลังคุกเข่านิ่ง ในใจเจ็บปวดรวดร้าวเกินทน
ในความทรงจำที่ผ่านมา บุตรชายคนนี้เป็นคนพูดน้อย ส่วนใหญ่แล้ว มักจะอ่อนน้อมถ่อมตน นอกจากฉินอ๋องแล้ว บุตรชายคนนี้เนี่ยแหละที่เขารู้สึกวางใจรองลงมา แต่เหตุไฉนถึงได้กลายเป็นคนน่ากลัวเพียงนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้หวนนึกถึงเรื่องที่เหล่าขุนนางเสนอให้แต่งตั้งองค์รัชทายาท
ทั้งที่ความจริงแล้วเขาทราบดีว่า สิ่งที่เหล่าขุนนางร้องขอเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
การที่ตำแหน่งองค์รัชทายาทถูกทิ้งว่างรังแต่จะทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ
แม้ก่อนหน้านี้ เขาใช้ข้ออ้างว่าอดีตไท่จื่อยุยงให้คนอื่นสังหารอันจวิ้นอ๋อง ก็ยังมีขุนนางหลายคนคัดค้านการปลดไท่จื่อ คงเป็นเพราะพิจารณาว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ตามมาในภายหลัง
หากมิใช่เพราะอดีตไท่จื่อลอบมีสัมพันธ์สวาทกับหยางเฟย ซึ่งเป็นความผิดที่ไม่อาจยกโทษ เขาคงไม่ปลดไท่จื่อออกจากตำแหน่ง และเนื่องจากเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ทำให้ยามที่ต้องเผชิญกับการกดดันของเหล่าขุนนาง เขาถึงได้ปฏิเสธเสียงแข็ง
เขารู้ดีว่าการปล่อยให้ตำแหน่งองค์รัชทายาทว่างอยู่อย่างนั้นมีแต่จะส่งผลเสียตามมา แต่เพราะเคยผิดหวังจากอดีตไท่จื่อ ทำให้การตัดสินเลือกคนใหม่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งต้องรอบคอบมากกว่าเดิม
แต่หากไท่จื่อองค์ใหม่สู้ไท่จื่อองค์ก่อนไม่ได้เล่า ถึงเวลานั้นคงไม่สามารถปลดได้อีกแล้ว
ทำไมไอ้พวกลูกบังเกิดเกล้าพวกนี้ถึงรอนิดรอหน่อยไม่ได้เลย!
จิ่งหมิงฮ่องเต้เจ็บปวดพระทัย ทว่าสายตาที่มองไปยังจิ้นอ๋องยังคงไว้ซึ่งความเย็นชา
ฝ่ายจิ้นอ๋องที่ก้มศีรษะอยู่ก็นึกเย้ยหยันในใจ ผิดหวังในตัวเขาอย่างนั้นรึ หึๆ เสด็จพ่อเคยคาดหวังในตัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เสด็จพ่อเคยชายตามองมาที่เขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เขาเป็นโอรสองค์ถัดมาจากอดีตไท่จื่อ ในเมื่อโอกาสมากองอยู่ตรงหน้า เขาไม่ควรคว้าไว้ และปล่อยให้ไอ้เด็กตัวเล็กๆ ได้ไปครองอย่างนั้นหรือ
เขาก็อยากจะเลิกคิ้ว และสบถวาจาดั่งใจนึกใส่คนที่ไม่เคยเห็นเขามีตัวตนยามที่คนพวกนั้นก้มหัวให้เขาอย่างนอบน้อมและหวาดกลัว
เพียงแต่ตอนนี้คงทำได้เพียงยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้สินะ
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ จิ้นอ๋องรู้สึกว่าตนเองตกหลุมพรางที่ใครบางคนวางไว้ เพราะมิฉะนั้นคนที่ทำร้ายฉุนเกอเอ๋อร์คงไม่ถูกพบตัวได้ง่าย แล้วเขาเองก็คงไม่ถูกสาวถึงตัวเร็วเพียงนี้
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายแล้วเขาก็แพ้อยู่ดี ซึ่งเขาเองก็ยอมรับผลนั้น
“พานไห่ ส่งราชโองการไป…”
จิ้นอ๋องเหงื่อกาฬชุ่มโชกบนเรือนร่างสั่นเทา รอท่าให้จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวต่อ
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาลงแล้วกล่าวเนิบนาบ “จิ้นอ๋องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน วางแผนปองร้ายผู้เป็นหลานชาย จิตใจชั่วช้าสามานย์ ลดยศเหลือเพียงจวิ้นอ๋อง นับตั้งแต่นี้ไป ทั้งจิ้นอ๋อง ชายา และบุตรหลานจะต้องอยู่เฝ้าสุสานหลวงสืบไป…”
ผู้คนในตำหนักหลายคนลอบสูดหายใจเข้าปอด
จิ้นอ๋องถูกลงโทษให้ไปดูแลสุสานหลวง ช่างน่าอนาถยิ่งนัก
แน่นอนว่า หากจิ้นอ๋องทำร้ายไท่ซุนหรือไท่จื่อ นั่นคงมิใช่ความผิดทั่วๆ ไป เพราะเป็นการล่วงเกินเบื้องสูง การลงโทษเช่นนั้นไม่ถือว่ารุนแรงเกินไป
โทษทัณฑ์จากการทำร้ายจิ้งอ๋องซื่อจื่อร้ายแรงถึงปานนี้ เพียงพอจะยืนยันว่าจิ้งอ๋องซื่อจื่อสำคัญในสายพระเนตรของฮ่องเต้เพียงไร
จิ้นอ๋องตั้งใจฟัง ร่างของเขายังคงสั่นอยู่อย่างนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไร้ซึ่งวี่แววความสงสาร เขาใคร่ครวญก่อนจะกล่าวเสริม “ให้พระสนมอัน พระมารดาของจิ้นอ๋องออกจากวัง และไปอยู่ที่สุสานหลวงกับจิ้นอ๋อง”
มรสุมที่ตั่วหมัวมัวก่อไว้ทำให้เขาไม่อยากเก็บอันตรายที่อาจแฝงเร้นไว้ในวังหลังอีกแล้ว
พระสนมอันเก็บตัวเงียบอยู่ในวังหลังเสมอมา ดังนั้นการให้นางได้ออกไปอยู่กับบุตรชายอาจมิใช่เรื่องเลวร้าย
แม้พระสนมอันที่ได้ทราบราชโองการจะรู้สึกเศร้าใจแทนบุตรชาย แต่ถึงกระนั้นนางก็เฝ้ารออนาคตที่กำลังจะมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางเฝ้ารอวันที่จะได้อยู่กับลูกหลานมานานเพียงใด
ตามกฎมณเฑียรบาล สนมชั้นผินต้องรอให้องค์จักรพรรดิเสด็จสวรรคตเสียก่อน พวกนางจึงจะได้ออกจากวังไปอาศัยอยู่กับบุตร และส่วนนางสนมที่ไม่มีบุตรก็จะเข้าไปอยู่อาศัยที่วัด เพื่อตัดขาดจากโลกภายนอก
เดิมทีนางคิดว่าตนเองคงไม่มีอายุยืนยาวจนกระทั่งฝ่าบาทเสด็จสวรรคต แต่นางไม่คิดว่าฝ่าบาทจะทรงเมตตาถึงเพียงนี้…
พระสนมอันไม่ได้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ นางเพียงแต่ไปถวายความเคารพฮองเฮาอย่างสุดซึ้งที่ตำหนักคุนหนิง
ฮองเฮาเฝ้ามองพระสนมอันที่ซบหน้าผากอยู่ที่พื้น พลางถอนหายใจแต่เพียงในใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลุกขึ้นเถิด ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เจ้าได้ออกจากวังไปอยู่กับจิ้นอ๋อง ก็เพราะทรงเมตตาต่อเจ้า ขอเจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่นและหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อน เพียงเพราะจิ้นอ๋องถูกลงโทษเลย…”
พระสนมอันรีบตอบรับ “เหนียงเหนียงวางพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันรู้ดีว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ หม่อมฉันเข้าวังมานานหลายปี เพราะมีเหนียงเหนียงคอยดูแลหม่อมฉันมาโดยตลอด จากนี้ไป หม่อมฉันอาจไม่มีโอกาสได้พบหน้าเหนียงเหนียงอีกแล้ว จึงขอใช้โอกาสนี้ขอถวายพระพรให้เหนียงเหนียงทรงมีชีวิตที่สุขสำราญสืบไปเพคะ”
ฮองเฮาพยักหน้าให้นางในที่ยืนอยู่ด้านข้าง
นางในนำห่อผ้ามามอบให้แก่พระสนมอัน
ฮองเฮาตรัสนุ่มนวล “ของข้างในคือเครื่องประดับและอาภรณ์ราคาแพง ไม่ว่าเจ้าจะได้ใช้มันหรือไม่ ก็จงเอาติดตัวไปด้วย ถือว่าข้าให้ในฐานะคนรู้จักกัน”
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียง” พระสนมอันรับห่อผ้านั้นไป พลางปาดน้ำตาก่อนจะโขกศีรษะให้ฮองเฮาอีกครั้ง “หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
พระสนมอันออกไปแล้ว ฮองเฮาถึงยืดหลังขึ้นพลางหันไปกล่าวแก่นางในคนสนิท “ไปที่ตำหนักองค์หญิงฝูชิง”
โลกนี้จะมีเรื่องใดดีไปกว่าการได้อยู่กับคนในครอบครัว หวังว่าสุดท้ายแล้วครอบครัวของจิ้นอ๋องจะคิดได้เช่นกัน
……
ราชโองการถึงส่งไปยังจวนจิ้นอ๋อง บ่าวรับใช้ในจวนตกอยู่ในความโกลาหลเพียงครู่หนึ่ง เมื่อถูกพระชายาจิ้นอ๋องออกปากตำหนิ ทั้งหมดก็กลับสู่ความสงบ
จิ้นอ๋องใบหน้าเศร้าสร้อย “เหวินจวิน ข้าขอโทษ…”
พระชายาจิ้นอ๋องหัวเราะพลางคว้ามือจิ้นอ๋องมาจับไว้ “สามีภรรยาเป็นคนๆ เดียวกัน ท่านอ๋องมิจำเป็นต้องกล่าวเช่นนั้นเลยเพคะ”
“แต่นับแต่นี้ไป เจ้าและลูกๆ จะต้องไปเฝ้าอยู่ที่สุสานหลวงอันเหน็บหนาว ห่างไกลจากความเจริญ…”
พระชายาจิ้นอ๋องยื่นมือไปแตะริมฝีปากของจิ้นอ๋อง พลางกล่าวนุ่มนวล “ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยเพคะ แค่ครอบครัวเราได้อยู่พร้อมหน้ากันก็พอแล้วเพคะ ท่านอ๋อง หม่อมฉันพูดอย่างไม่ปิดบังเลยนะเพคะ ตั้งแต่ที่ท่านอ๋องคิดจะทำเช่นนั้น ในสมองของหม่อมฉันก็หยุดคิดถึงความล้มเหลวไม่ได้ หนำซ้ำยังฝันร้ายอยู่บ่อยๆ แต่วันนี้เราทุกคนยังปลอดภัยดี เพียงเท่านั้นหม่อมฉันก็พอใจแล้วเพคะ…”
พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวพร้อมน้ำตาที่ไหลประหนึ่งสายฝน ในที่สุดความหวั่นวิตกหลายคืนค่ำที่ผ่านมาก็ได้กลับสู่สภาวะปกติ จากนี้ไปนางจะได้ใช้ชีวิตอย่างคล่องตัวเสียที
ชีวิตราบเรียบประหนึ่งสายน้ำเป็นชีวิตที่นางปรารถนาเป็นที่สุด นางดีใจที่อย่างน้อยท่านอ๋องมีโอกาสกลับตัวก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้
เพราะหากครั้งนี้จิ้งอ๋องซื่อจื่อเสียชีวิต หรือหากอนาคตท่านอ๋องแก่งแย่งชิงตำแหน่งกับคนอื่นๆ จนก่อความผิดใหญ่โตกว่านี้ เกรงว่าพอถึงเวลานั้น อาจต้องแลกมาด้วยชีวิตของท่านอ๋องเอง ส่วนชีวิตนางและลูกคงถึงคราวอวสานไม่ต่างกัน
ไม่นานนัก ที่จวนจิ้นอ๋องก็เหลือทิ้งไว้แต่ความว่างเปล่า ประตูจูลั่นดาลแน่นสนิท ผู้คนที่ผ่านไปมาถอนหายใจเมื่อเห็นภาพนั้น แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง
……
ในขณะเดียวกันที่จวนฉีอ๋อง เจ้าของจวนยืนแหงนหน้ามองฟ้าพลางหัวร่อออกมาด้วยความสะใจ
ฉีอ๋องเร่งรี่เข้าไปที่เรือนหลักเพื่อจะนำข่าวดีที่จิ้นอ๋องถูกลงโทษไปเล่าให้พระชายาฟัง