ตอนที่ 162-1 ชนะอย่างใสสะอาด

สวี่หย่งชิงกับจีหมิงซิวยืนอยู่บนเวที

ท้องฟ้าไม่รู้มืดครึ้มลงตั้งแต่เมื่อไร ชั่วขณะก่อนหน้า สนามหญ้ายังเขียวชอุ่มสดใส เวลานี้ดูคล้ายมีความมืดครึ้มจางๆ ปกคลุม

สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดชายอาภรณ์ของทั้งสองให้ปลิวไสว โบกสะบัดราวกับเริงระบำ

รัศมีอันกล้าแข็งของทั้งสองฟาดฟันกันอยู่กลางอากาศ ต่างฝ่ายต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม เพ่งมองไปทางฝั่งตรงข้ามโดยไม่หันหนีไปไหน

คนที่ล้อมดูอยู่โดยรอบพากันกลั้นหายใจ มองสวี่หย่งชิงที มองจีหมิงซิวที เวลานี้แม้แต่หัวใจยังแทบกระดอนขึ้นมาอยู่ตรงลูกกระเดือก

การประชันระหว่างศิษย์อาจารย์เช่นนี้ ไม่ว่าในสำนักไหนก็มีให้พบเห็นน้อยนัก แต่พวกเขายามอยู่ในซู่ซินจงก็มักไปหาอาจารย์เพื่อฝึกวิชาเป็นประจำ แต่กระนั้นที่ต่างไปก็คือ ครั้งนี้สิ่งที่ตัดสินไม่ใช่ความชนะหรือพ่ายแพ้ของพวกเขาเอง

พวกลูกศิษย์ที่ใส่สีตีไข่ในเรื่องความขัดแย้งระหว่างน้องหญิงเล็กกับเฉียวเวยเริ่มรู้สึกว่าตนไม่น่าทำเช่นนั้น หากพวกเขาไม่ได้บอกเล่าความน่ารังเกียจของเฉียวเวยให้อาจารย์หญิงฟังเสียเกินจริงๆ อาจารย์หญิงกับเฉียวเวยจะไม่มาถึงขั้นนี้กันใช่หรือไม่

ที่ศิษย์น้องหญิงถูกเฉียวเวยต่อว่า อันที่จริงนางกล่าวที่ถูกต้องยิ่งนัก ในความเป็นจริงศิษย์น้องหญิงไม่ค่อยรู้ประสาสักเท่าไร ที่ทุกคนชื่นชอบนาง นอกจากอายุของนางที่ยังน้อย ทุกคนจึงยอมผ่อนปรนให้นางแล้วนั้น ที่ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะหากพวกเขาชื่นชอบนาง พวกเขาก็จะได้รับความชื่นชอบจากอาจารย์และอาจารย์หญิงไปด้วย

หากพวกเขาไม่ใช่ลูกศิษย์สำนักซู่ซินจง หากพวกเขาก็ถูกเอามา “เป็นเครื่องมือ” ต่างๆ นานา พวกเขาจะรู้สึกดีหรือไม่

สมองส่วนใดของพวกเขาที่ไม่ถูกกัน ถึงได้โยนความผิดทุกอย่างไปให้เฉียวเวย?

เฉียวเวยต่างหากที่ไม่ได้ทำอะไรผิดมากที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นคู่หมั้นของศิษย์พี่สี่ แต่กลับถูกเพื่อนร่วมสำนักของศิษย์พี่สี่ดูหมิ่นต่างๆ นานา หากเปลี่ยนเป็นพวกเขา พวกเขาก็คงนึกโกรธเหมือนกันกระมัง

เพียงแต่มาคิดได้ในเวลานี้จะมีประโยชน์อันใด

เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่ยากจะย้อนกลับแล้ว

สวี่หย่งชิงมองจีหมิงซิวนิ่งๆ “ข้าขอถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ามั่นใจว่าจะทำเช่นนี้”

“ขอรับ” จีหมิงซิวสายตาแน่วแน่

“เจ้ารู้ผลที่จะตามมาของการกระทำเช่นนี้หรือไม่ นี่เจ้ากำลังอกตัญญูต่ออาจารย์ของสำนัก” สวี่หย่งชิงพูดให้ฟังดูร้ายแรงขึ้น

สายตาจีหมิงซิวยังคงไม่มีแวววูบไหบใดๆ “อาจารย์ หมิงซิวไม่คิดอยากอกตัญญู เพียงแต่ภรรยาของหมิงซิว ก็จะให้ใครมารังแกเอาตามใจไม่ได้”

เรื่องนี้ใครจะยืนได้มั่นคงกว่ากัน ยากที่จะบอกได้ แต่เมื่อลูกธนูขึ้นเทียบบนคันธนูแล้ว จะไม่ยิงออกไปไม่ได้ การประลองครั้งนี้ หากไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ เช่นนั้นก็เป็นที่แน่ชัดว่าต้องดำเนินต่อไป

แต่ฝ่ายใดจะยอมแพ้กันเล่า

เฉียวเวย?

สวี่หย่งชิง?

“ข้าไม่มีทางทำร้ายนางจนถึงชีวิต”

นี่เป็นการบอกจีหมิงซิวอย่างเป็นนัยๆ ว่าให้เกลี้ยกล่อมเฉียวเวยให้ยอมถอย หลังจากยอมถอยแล้ว ซู่ซินจงจะไม่ไปหาเรื่องเฉียวเวยอีก ฟังดูแล้ว คล้ายจะเป็นการค้าที่คุ้มมากทีเดียว

แต่เฉียวเวยได้รับความอยุติธรรมมามากเกินไป จนถึงทุกวันนี้นางยังต้องแบกรับชื่อเสียงเลวร้ายอย่างการยั่วยวนยิ่นอ๋อง เขาจะทำใจปล่อยให้นางกลายเป็นเรื่องตลกของคนในใต้หล้าได้อย่างไร

จีหมิงซิวเอ่ยพร้อมสายตานิ่งขรึม “ฝ่ามือที่หนึ่ง”

สายตาของสวี่หย่งชิงมีแววโกรธเคืองให้เห็น “เจ้าอย่าโง่เขลานักเลย เจ้ารู้ว่าเจ้ารับไม่ไหว ต่อให้รับไหว แล้วยกซู่ซินจงให้นาง นางจะจัดการอย่างไร จะให้ทุกคนยอมรับได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องเหลวไหลที่อาจารย์หญิงของเจ้าก่อขึ้น ผู้อาวุโสของสำนักเหล่านั้นจะยอมลงให้กับเจ้าสำนักคนใหม่หรือ”

สีหน้าจีหมิงซิวยังคงไม่เปลี่ยน “เรื่องหลังจากนี้ ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง”

สายตาสวี่หย่งชิงมีแววซับซ้อนแวบผ่าน “เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ข้าถูกใจที่สุด อาจารย์เคยคิดว่าหลังจากนี้ไปร้อยปี อาจารย์จะยกซู่ซินจงให้เจ้า”

จีหมิงซิวเอ่ยว่า “อาจารย์น่าจะรู้ว่านั่นเป็นไปไม่ได้”

ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของซู่ซินจงมีความพิเศษ นั่นคือทั้งไม่อยู่ในดินแดนของต้าเหลียง และไม่อยู่ในอานัติของหนานฉู่ จิตใจของบรรบุรุษจะว่ากล้าก็กล้า จะว่าไม่กล้าก็ไม่กล้า พวกเขาไม่คาดหวังให้สำนักต้องไปอยู่ใต้อุ้งมือของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง ดังนั้นยามส่งต่อสำนักให้คนรุ่นต่อไปจึงกำหนดไว้ว่า “ไม่ขึ้นกับฝ่ายใด” – ไม่รับใช้ราชวงศ์ ไม่ขึ้นกับขุนนาง

หากจีหมิงซิวต้องการจะสืบทอดซู่ซินจง เขาจะต้องละทิ้งตำแหน่งเสนาบดีของต้าเหลียง

สวี่หย่งชิงในอดีต เคยเป็นที่ถูกใจของฮ่องเต้หนานฉู่มาก่อน จนตั้งใจจะแต่งตั้งเขาเป็นราชครู แต่ถูกสวี่หย่งชิงปฏิเสธ

สวี่หย่งชิงมีปณิธานอยู่กับสำนัก ส่วนจีหมิงซิวอยู่กับใต้หล้า นอกจากเขาจะแก้ไขกฎสำนัก หาไม่แล้วต้องมีสักวันที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนทั้งสองฝ่าย

สวี่หย่งชิงขมวดคิ้ว “ในเมื่อเจ้าดึงดันถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็เตรียมรอฝ่ามือจากข้าเถิด”

จีหมิงซิวมองไปยังสวี่หย่งชิง

สวี่หย่งชิงฟาดฝ่ามือที่หนึ่งออกมา

ฝ่ามือนี้ใช้กำลังภายในเพียงห้าส่วน แต่กำลังภายในห้าส่วนของเขาก็เทียบเท่ากับพลังสิบส่วนของชื่ออีเว่ยทั่วไปของจวนยิ่นอ๋องแล้ว แขนเสื้อใหญ่กว้างของเขาโบกสะบัดขึ้นเต็มแรง สะบัดพลิ้วขึ้นโดยไม่มีลม ชั่วขณะที่กระแทกถูกหัวไหล่ของจีหมิงซิวนั้น ตัวจีหมิงซิวถึงกับกระตุกไปทีหนึ่ง จากนั้นคล้ายว่าเขาเหยียบถูกกระดานลื่น จนถอยกรูดไปด้านหลังถึงห้าเมตร พื้นรองเท้าครูดกับไม้กระดานจนเห็นเป็นรอยเท้ายาวๆ สองรอย ประกายไฟกระเด็นออกมาจากปลายเท้า ฝ่าเท้าคล้ายถูกสุมไฟเผาอย่างไรอย่างนั้น

จีหมิงซิวรวบรวมกำลังภายใน ประคองร่างกายช่วงล่างให้มั่นคง จนสามารถหยุดเอาไว้ได้ก่อนที่จะหล่นลงจากเวทีไป

ฝ่าเท้าคล้ายถูกไฟเผา หน้าอกรวดร้าว ของเหลวเค็มๆ มีกลิ่นคาวแล่นขึ้นมาที่ลำคอ เขากลืนมันกลับลงไป มีบางส่วนที่กลืนกลับไปไม่ทัน จึงไหลย้อยออกมาตรงมุมปาก

มือเฉียวเวยที่ลูบขนให้เสี่ยวไป๋อยู่พลันชะงัก

สวี่ฮูหยินก็อึ้งไปเช่นกัน นางมองทั้งสองคนบนเวทีด้วยความเป็นกังวล

ศิษย์คนอื่นๆ ของซู่ซินจงแทบจะหายใจกันไม่ได้อยู่แล้ว ทุกคนตาโตอ้าปากค้างขณะมองไปยังศิษย์พี่สี่ อาจารย์ใช้กำลังภายในเพียงห้าส่วนก็สามารถทำให้ศิษย์พี่สี่กระอักเลือดได้แล้ว หลังจากนี้ยังมีอีกสองฝ่ามือ ศิษย์พี่สี่จะทนไหวหรือไม่หนอ

จีหมิงซิวเช็ดเลือดที่มุมปาก สายตาร้อนระอุ เดินกลับไปยังจุดที่เคยยืนอยู่ “ฝ่ามือที่สอง”

ฝ่ามือที่สองใช้กำลังภายในของสวี่หย่งชิงไปเจ็ดส่วน ลมหอบใหญ่ประหนึ่งเกลียวคลื่นพุ่งทะยานไปตามเวที กลองใหญ่ที่อยู่ข้างเวที ทนรับกำลังภายในที่ลอยมาถึงไม่ไหว มันส่งเสียงดังปัง ก่อนจะแตกละเอียด!

จีหมิงซิวไม่ได้หลบเลี่ยง ฝ่ามือของสวี่หย่งชิงกระแทกเข้าที่หน้าอกเขาอย่างจัง

ตัวเขาประหนึ่งว่าวที่เชือกขาด ลอยละลิ่วออกไปจากเวที กำลังภายในกลุ่มใหญ่ยักษ์คล้ายเข็มทองที่แทงทะลุไปตามตัว ทิ่มแทงเส้นเอ็น ไล่ทำลายไปอย่างดุดัน ตัวเขาลอยคว้างไปกลางอากาศ แม้แต่ศีรษะยังรู้สึกมึนงง

ตัวจีหมิงซิวร่วงหล่นลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กำลังจะกระแทกลงตรงที่นั่งของผู้ชมนั้น จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้น พลิ้วกายหลบเลี่ยงไปได้อย่างคล่องแคล่ว เขาเปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือ ดันลมหอบหนึ่งลงกับพื้น เป็นแรงส่งให้ตนตีลังกากลับขึ้นไปบนเวที เขาจับแท่นกลองไว้เพื่อประคองตัว ไม่ให้ตนเองหล่นลงจากพื้นกระดาน

เลือดคาวๆ ตรงลำคอ ตีขึ้นมาราวกับระลอกน้ำ ก่อนจะพุ่งออกมาทางมุมปากอย่างไม่อาจควบคุมได้

เขากระอักเลือดสดๆ ออกมา

ด้านล่างเวทีมีเสียงสูดหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าไป

ฝ่ามือนี้ของอาจารย์เชื่อว่าคงใช้กำลังภายในไปเจ็ดส่วน เมื่อครู่ศิษย์พี่สี่ยังถึงกับสลบไปแล้ว แค่ก่อนตัวจะตกลงกับพื้นเขาพลันได้สติขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ หากช้ากว่านี้อีกเพียงครึ่งก้าว คงได้กระแทกลงกับพื้นแล้ว

นี่เป็นกำลังภายในเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้นนะ ศิษย์พี่สี่ดูย่ำแย่เพียงนี้แล้ว เมื่อรวมกับอาการบาดเจ็บจากฝ่ามือก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่สี่แทบจะยืนไม่อยู่อยู่แล้ว

เฉียวเวยขยำขนพังพอนของเสี่ยวไป๋ด้วยความตื่นเต้น

เสี่ยวไป๋ถูกบีบจนแลบลิ้นออกมา ถึงกับกรอกตาบนใส่

สวี่หย่งชิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อีกฝ่ามือหนึ่ง เจ้าคงไม่เหลือชีวิตรอดแล้ว ยังจะประลองหรือไม่”

สวี่ฮูหยินหันไปตะคอกใส่เฉียวเวย “เหตุใดเจ้าถึงใจร้ายใจดำเช่นนี้ เจ้ายังไม่รีบยอมแพ้อีก? ไม่เห็นหรือว่าหมิงซิวบาดเจ็บถึงเพียงไหนแล้ว หากจะสู้ต่ออีกเขามีแต่จะตายเท่านั้น! แค่เพื่อให้หายโมโห เจ้าถึงกับเอาชีวิตหมิงซิวเข้าแลกเชียวหรือ เจ้าต่อว่าบุตรสาวข้าว่าเห็นแก่ตัว เจ้าลองดูตัวเจ้าที เจ้าเห็นแก่ตัวกว่าผู้ใดทั้งสิ้น!”

เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อย่ามาแสร้งทำท่าว่าเป็นห่วงเป็นใยหมิงซิวหน่อยเลย ยามเขาก้าวขึ้นเวที ก็ไม่เห็นท่านจะห้ามปรามนี่ ท่านคิดจะมารุกไล่เอาเวลานี้ บังคับให้ข้ายอมแพ้ ฝันไปเถอะ!”

หากนางยอมแพ้ สองฝ่ามือแรกนั้นก็เท่ากับเจ็บตัวฟรีน่ะสิ! เจ้าสำนักมีความเชื่อของเจ้าสำนัก หมิงซิวเองก็มีความยึดมั่นของหมิงซิว ไม่จำเป็นต้องให้นางยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตทุกคนเอาไว้ ตั้งแต่เขาก้าวขึ้นเวทีก็รู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ หากนางยอมแพ้ นางไม่ได้เสียหน้าเท่านั้น แต่ยังเอาเกียรติและศักดิ์ศรีของเขามอบออกไปพร้อมกันด้วย

ในเวลานี้ เกียรติและศักดิ์ศรีของบุรุษ สำคัญกว่าชีวิตเสียอีก ในเมื่อเขาออกไปสู้เพื่อปกป้อนนาง เช่นนั้นนางก็จะยอมแพ้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนอื่นจะคิดอย่างไร ออกหน้าแทนสตรี แต่สุดท้ายกลับม้วนหางวิ่งหนี นี่หรือเป็นบุตรชายขององค์หญิง นี่หรือขุนนางผู้มีอำนาจของต้าเหลียง

เขาสู้ทนจนเกือบตาย ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้หรือ

นางคิดว่าไม่ใช่

นายท่านหกพับพัดแล้วตบมือเฉียวเวยเบาๆ เพื่อบอกให้เฉียวเวยสบายใจ “เจ้าต้องเชื่อในตัวใต้เท้า เขารู้ดีแก่ใจ เขาไม่มีทางทิ้งพวกเจ้าแม่ลูกแน่”

ถูกต้อง จีหมิงซิวหากท่านกล้าทิ้งพวกข้า ข้าจะหาคนมาแต่งงานด้วยทันที บุตรของท่านน่ารักเพียงนี้ เชื่อว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยยินดีเป็นพ่อเลี้ยงให้พวกเขากระมัง

ไม่ใช่

ไม่ใช่อย่างนั้น!

ซู่ซินจงไม่ได้สำคัญไปกว่าท่าน ศักดิ์ศรีของข้ายิ่งแล้วใหญ่ หากสู้ไม่ชนะท่านก็กลับมา!

ข้าไม่อยากแต่งงานกับผู้อื่น! ข้าไม่อยากหาพ่อเลี้ยงให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซู!

ข้าตามหามาสองชาติภพถึงจะได้เจอบุรุษที่ถูกชะตา ใครจะรู้ว่าคนต่อไปข้าจะเจอเมื่อใด

เฉียวเวยทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน!

“หมิงซิว! ข้าไม่…”

จีหมิงซิวเอ่ยขัดนาง “ยังมีฝ่ามือที่สาม”

เฉียวเวย “หมิงซิว!”

จีหมิงซิวทำมือบอกให้นางหยุดพูด มุมปากขยับเล็กน้อย ไม่ได้ส่งเสียงใดออกมาทั้งสิ้น แต่เฉียวเวยอ่านปากเขาเข้าใจ

เด็กดี ไปรอทางนู่นนะ

นายท่านหกกระแอมให้ลำคอโล่ง เขาส่งสายตาให้ผู้ดูแลฉิว ผู้ดูแลฉิวเดินออกไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจว่า “แม่นางท่านนี้ เจ้านั่งลงก่อนเถิด ท่านยืนอยู่เช่นนี้ บดบังการดูการะประลองของนายท่านบ้านข้า!”

ในใจเฉียวเวยไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร นางกลับนั่งลงที่เดิม

สวี่ฮูหยินย่อมดูออกว่านางก็ตื่นเต้น อันที่จริงไม่ต้องดูจากนาง ดูจากหมิงซิวก็รู้แล้วว่าการประลองครั้งนี้ สวี่หย่งชิงชนะแน่แล้ว สวี่หย่งชิงเป็นใคร เขาเป็นเจ้าสำนักที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของซู่ซินจง วรยุทธ์ของเขาล้ำเลิศกว่าอาจารย์ของเขาตั้งแต่ยังหนุ่ม หลายปีนี้ก็มุ่งมั่นในการฝึกวิชาจึงล้ำหน้าขึ้นอีกไม่น้อย จีหมิงซิวด้วยเพราะสภาพร่างกาย ทำให้ฝึกได้ไม่มาก ทำได้เพียงท่องจำหัวใจของการฝึกวรยุทธ์และกระบวนท่าต่างๆ เท่านั้น คนเช่นนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ของสวี่หย่งชิงได้อย่างไร

จีหมิงซิวกลับไปยืนที่เดิมอีกครั้ง สวี่หย่งชิงฟาดฝ่ามือสุดท้ายออกมา

ฝ่ามือนี้ใช้กำลังภายในของสวี่หย่งชิงทั้งหมดสิบส่วน

คนฝึกวรยุทธ์ น้อยครั้งนักที่จะใช้กำลังภายในอย่างล้ำลึกเช่นนี้ในการประลอง เพราะจะโดนพลังตีกลับเอาได้ มากกว่าแปดส่วนจะรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตจำนวนมากไหลออกไป ถ้าสิบส่วนขอเพียงหนึ่งกระบวนท่า ก็สามารถตีกลับจนตนเองบาดเจ็บภายในได้แล้ว หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ไม่มีใครยินดีที่จะทำเช่นนี้

ระหว่างที่สวี่หย่งชิงไล่บี้จีหมิงซิวนั้น อันที่จริงเขาต่างหากที่ถูกไล่บี้จนไปติดขอบ

จิตใจของศิษย์ผู้นี้ แข็งแกร่งดั่งหินผา ขอเพียงตัดสินใจแล้ว ม้าแปดตัวลากก็ไม่กลับมา จะหวังให้เขายอมแพ้นั้นเป็นไปไม่ได้ มีเพียงต้องเอาชนะเขาให้ได้เท่านั้น

แต่ขอเพียงเขายังมีลมหายใจ ก็จะลุกขึ้นมาอย่างดื้อรั้น

เขาไม่มีทางให้ถอย เขาจำต้องฆ่าอีกฝ่ายเสีย!

ฝ่ามือนี้ฟาดเข้าใส่หน้าอกของหมิงซิว กำลังภายในมหาศาลคล้ายสายน้ำที่ทะลักทะลวงเข้าใส่ร่างของจีหมิงซิว พละกำลังข้างในอันลึกลับที่อยู่ในกายจีหมิงซิวถูกสั่นสะเทือนเสียแล้ว ประหนึ่งหัวใจนิ่งเงียบที่จู่ๆ ก็เต้นขึ้นมาหนหนึ่ง

แค่เพียงครั้งเดียวก็คล้ายมีพละกำลังมหาศาล ที่สะท้อนกำลังภายในของสวี่หย่งชิงกลับไป

พละกำลังสิบส่วนสะท้อนกลับใส่ร่างของสวี่หย่งชิงทั้งหมด สวี่หย่งชิงถูกสะท้อนจนกระเด็นลอยออกไปกระแทกกับที่นั่งข้างสวี่ฮูหยิน โต๊ะตัวนั้นส่งเสียงดังโคร่มก่อนจะแตกเป็นชิ้นๆ สวี่หย่งชิงล้มอยู่กลางกองเศษไม้ จับหน้าอกกระอักเลือดสดๆ ออกมาหลายคำใหญ่

“หย่งชิง!”

“อาจารย์!”

ทางฝั่งสวี่ฮูหยินกับศิษย์ซู่ซินจงพลันอลม่านวุ่นวาย!

เฉียวเวยวิ่งขึ้นไปบนเวที “หมิงซิว!”

จีหมิงซิวก็ถูกกำลังภายในสะท้อนกลับเช่นกัน บาดเจ็บไม่ใช่น้อย กึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ยากจะทรงตัวที่โงนเงนซวนเซเอาไว้ได้

เขายกมือขึ้นเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “อย่าเข้ามา”

เฉียวเวยชะงักฝีเท้า

จีหมิงซิวจับหน้าอกที่ใกล้จะแตกเต็มที เขาพยายามยืนอยู่สามครั้ง ถึงได้ลุกขึ้นได้อย่างยากลำบาก เขาก้มมองสวี่หย่งชิงที่กระอักเลือดออกมาเต็มไปหมด “กดจุดเสินเหมิน[1]ของเขา”

ศิษย์พี่ห้ายกสองนิ้วขึ้นมากดที่จุดเสินเหมินของสวี่หย่งชิง

สวี่หย่งชิงถึงหยุดกระอักเลือดในที่สุด

สวี่ฮูหยินร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด

ศิษย์ทุกคนมองไปทางสวี่หย่งชิงด้วยสายตาหวาดกลัว

การประลองครั้งนี้ สวี่หย่งชิงแพ้อย่างหมดรูป

พวกเขาไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี

พวกเขาเคยแต่เดินตามอาจารย์มาโดยตลอด แต่เวลานี้อาจารย์แพ้แล้ว

ศิษย์พี่สี่ไม่ใช่ว่าไม่ฝึกวรยุทธ์หรอกหรือ แข็งแกร่งเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร

จีหมิงซิวมองสวี่หย่งชิง มีเลือดไหลตามมุมปากออกมา

สวี่หย่งชิงก็มองไปทางเขาเช่นกัน จากสายตาของเขา สวี่หย่งชิงมองไม่เห็นอารมณ์ใดๆ สักนิด ไม่มีความรู้สึกผิดที่ทำร้ายอาจารย์จนบาดเจ็บ ไม่มีความยินดีที่ชนะการประลอง ประหนึ่งน้ำในทะลสาบที่ไร้ระลอกคลื่น สงบนิ่งจนสันหลังเย็นวาบ

“ข้าแพ้แล้ว” สวี่หย่งชิงบอก

สวี่ฮูหยินพลันหน้าถอดสี “ท่านพี่!”

สวี่หย่งชิงเอ่ยด้วยความเสียใจว่า “ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าไม่ใช่เจ้าสำนักซู่ซินจงอีก”

สวี่ฮูหยินพลันร้องไห้โฮ “ท่านพี่! ตำแหน่งเจ้าสำนักใช่เรื่องเด็กเล่นหรือ เรื่องนี้ข้าเป็นคนก่อขึ้นมา! ผลที่ตามมาทั้งหมดข้าจะรับผิดชอบเอง! ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน! ไม่เกี่ยวอะไรกับซู่ซินจง!”

ก่อนสวี่หย่งชิงจะมาออกหน้า บางทีอาจไม่เกี่ยวอะไรกับเขาจริงๆ แต่เขาข่มความโกรธนั้นเอาไว้ไม่อยู่ เดินออกไปสั่งสอนแม่นางน้อยผู้นั้น

ตั้งแต่ชั่วขณะที่เขาก้าวออกมา ก็ได้กำหนดไว้แล้วว่าเรื่องนี้อย่างไรก็ต้องเกี่ยวข้องกับเขาและซู่ซินจง

นี่เป็นการสละตำแหน่งที่น่าขันที่สุดในประวัติศาสตร์

ไม่มีใครสักคนคาดคิดว่า การสั่งสอนสตรีที่ถูกทอดทิ้งนางหนึ่ง สุดท้ายแล้วจะต้องเสียซู่ซินจงทั้งหมดไปด้วย

เริ่มผิดพลาดตั้งแต่ก้าวไหนกัน

[1] จุดเสินเหมิน อยู่บริเวณในแอ่งสามเหลี่ยมของใบหู