สถานการณ์พลิกผันครั้งใหญ่ ศิษย์ปัจจุบันของสำนักเฟิงอี้มากกว่าครึ่งล้วนเป็นคนที่เจ้าสำนักเฟิงอี้สั่งสอนมาระหว่างสิบกว่าปีนี้ ศิษย์ที่ติดตามเจ้าสำนักเฟิงอี้ร่วมเป็นร่วมตายในอดีตเหล่านั้นเกินกว่าครึ่งล้วนตายในสนามรบไปแล้ว บางส่วนก็เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในสำนัก เพราะการก่อกบฏครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของเจ้าสำนักเฟิงอี้ พวกนางจึงมิได้เข้าร่วม พวกหลี่หันโยวแม้วรยุทธ์และสติปัญญาล้วนไม่เลว แต่ไม่เคยเผชิญอุปสรรคมามากมายนัก ชั่วขณะจึงทำอันใดมิถูก ได้แต่เบิ่งตามองแนวป้องกันของพระราชวังเลี่ยกงถูกทำลาย
แต่จี้เสียต่างออกไป นางเคยติดตามหลี่หยวนทำศึกทั่วหล้า จึงเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ทันที นางไม่หารือกับพวกหลี่หันโยว แต่ผิวปากยาวประหนึ่งเสียงพญาหงส์ นี่คือสัญญาณเรียกรวมตัวศิษย์ของสำนักเฟิงอี้ หลี่หันโยวเข้าใจเจตนาของจี้กุ้ยเฟยโดยพลัน ยามนี้กองทหารที่จะช่วยจักรพรรดิมาถึงแล้ว จุดจบการก่อกบฏของสำนักเฟิงอี้ก็มาถึงด้วย ถ้าเช่นนั้นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวก็คือจับองค์จักรพรรดิเป็นตัวประกันแล้วฝ่าวงล้อมออกไป ดังนั้นนางจึงตวาดเสียงดัง “บุกเข้าไป ต้องจับตัวฝ่าบาทไว้ให้จงได้”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของนาง ฉินอี๋กับเฉิงซูพลันถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง หลี่หันโยวกำลังจะบุกเข้าตำหนัก ทว่าฝ่ามือข้างหนึ่งกลับซัดสายลมอ่อนโยนสวนมาตรงหน้า หลี่หันโยวจะต้านรับแต่ฉับพลันฉุกคิดขึ้นมาได้จึงพลิกกายถอยหลบ คนผู้นั้นพุ่งออกจากประตูตำหนักตามมา แม้สวมเครื่องแบบองครักษ์ แต่ดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ดวงตาสองข้างเย็นเฉียบดั่งน้ำแข็ง เขาก็คือเงามารหลี่ซุ่นที่ฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว
หลี่หันโยวตกตะลึงจนถอยหลังหลายก้าว เมื่อเห็นคนชุดดำจำนวนหนึ่งก้าวตามหลังหลี่ซุ่นออกมา แต่ละคนท่าทางแข็งแกร่ง ก้าวเท้าว่องไว หลี่หันโยวก็ตัดสินใจทันที ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจสิ่งใดแล้ว นางตะโกนลั่น “ศิษย์พี่ทั้งสอง พี่น้องทุกคน พวกเราสู้ด้วยกัน” เยี่ยนอู๋ซวงกับเซี่ยเสี่ยวถงจับกระบี่บุกเข้าไปพร้อมกัน มือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้เหล่านั้นก็ชักกระบี่รุกคืบเข้าไปอย่างพร้อมเพรียง ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อพลันเอ่ยอย่างเย็นชา “พวกเจ้าก็อยากลงไปพบเหวินจื่อเยียนที่ปรโลกหรือ” ประโยคนี้เต็มเปี่ยมด้วยจิตสังหาร หนาวยะเยือกประหนึ่งกลางเหมันตฤดู ช่วงเวลาที่เอ่ยคำช่างเหมาะเจาะพอดีนัก แม้พวกหลี่หันโยวจะพอคาดเดาได้ลางๆ แล้วว่าเหวินจื่อเยียนอาจพบโชคร้ายเสียแล้ว แต่กระนั้นข่าวนี้ก็ยังทำให้หัวใจของพวกนางหวั่นไหว มือชะงักช้าลงอย่างช่วยไม่ได้ พริบตานี้เอง คนชุดดำเหล่านั้นก็เฝ้าประตูตำหนักอย่างแน่นหนา ดวงตาหลี่หันโยวทอประกายกร้าว ในใจแค้นเคือง ตอนนี้ไม่มีโอกาสจบศึกโดยไวแล้ว ได้แต่ถือกระบี่บุกฝ่าประตูตำหนัก
เวลานี้นอกกำแพงตำหนัก เสี่ยวซวงเริ่มได้ยินเสียงฆ่าฟันกันแล้ว เบื้องหน้าประตูตำหนักเสี่ยวซวงต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน แม้มือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้จะเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่ง ทว่าประตูตำหนักเล็กและแคบ ใช้ค่ายกลกระบี่มิได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฝั่งตรงข้ามยังมีหลี่ซุ่นยอดฝีมือผู้นี้อยู่ แม้ชั่วขณะหนึ่งพวกนางจะเป็นฝ่ายได้เปรียบแต่ก็มิอาจบุกผ่านประตูตำหนักไปได้ เวลานี้เอง ประตูตำหนักของตำหนักข้างอีกหลังหนึ่งก็เปิดออก ฉินเจิงประคองโต้วฮองเฮาที่มีสีหน้าหวาดผวาเดินออกมา
ฉินเจิงได้ยินเสียงตะโกนและเสียงฆ่าฟันด้านนอกพลันรู้สึกราวกับตกลงไปในห้องน้ำแข็ง นางนึกถึงฉีอ๋องผู้ไม่มีกำลังปกป้องตนเองสักนิดในอุทยานเซวียนหวา แล้วนึกถึงจุดจบหากการก่อกบฏล้มเหลว จนลืมเลือนว่าจะขยับตัวอย่างไรไปชั่วขณะ
เวลานี้เสียงผิวปากกังวานก็ดังมาจากด้านนอก จี้เสียขมวดคิ้วกล่าวว่า “ฉินเจิง ยังไม่ไปช่วยพวกนางอีก” ฉินเจิงประหนึ่งเพิ่งตื่นจากฝัน พามือกระบี่หญิงจำนวนหนึ่งพุ่งไปทางประตูตำหนัก
ขณะที่ยงอ๋องเริ่มโจมตีพระราชวังเลี่ยกง ตำหนักอวี้หลินโกลาหลไปหมด หลี่อันขวัญกระเจิงคว้าเซียวหลานไว้แล้วเอ่ยวิงวอน “ชายารัก ช่วยชีวิตข้าด้วย”
ในใจเซียวหลานก็ตระหนกอย่างยิ่งเช่นกัน ตอนนี้เอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงผิวปากของจี้เสีย เซียวหลานไม่มีทางเลือกจึงโอบหลี่อันทะยานไปทางตำหนักเสี่ยวซวง
เวลานี้กองทัพของยงอ๋องยังไม่ทันฝ่าเข้ามา แต่เมื่อพวกเขาไปถึงตำหนักเสี่ยวซวง กองทหารม้ากองหนึ่งที่ฉินหย่งบัญชาการด้วยตนเองก็บุกฝ่าทหารราชองครักษ์ที่คุ้มกันสถานที่แห่งนี้เข้ามาแล้ว เซียวหลานหวาดผวา พยายามจะพุ่งเข้าไปในตำหนักเสี่ยวซวง ทว่าฉินหย่งรู้ดียิ่งว่าคนที่รับมืออยู่ด้านในกดดันมากยิ่งนักแล้ว หากปล่อยให้เซียวหลานเข้าไปย่อมมีแต่ผลเสีย ดังนั้นจึงออกคำสั่งให้ใช้เกาทัณฑ์กับกำแพงมนุษย์ขวางพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา
หลี่อันเห็นเลือดเนื้อปลิวว่อนอยู่ตรงหน้า ลูกธนูพุ่งผ่านข้างกาย ก็ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ตะโกนลั่นว่า “ข้ายอมแพ้ ข้ายอมแพ้” เวลานี้เขาไม่สนใจฐานะอันใดอีกแล้ว ขาดเพียงทรุดลงไปคุกเข่าวิงวอน
องครักษ์ข้างกายรัชทายาทที่มาด้วยกันกับพวกเซียวหลาน บางคนรักตัวกลัวตาย บางคนไม่พอใจรัชทายาทมานานแล้ว เวลานี้เห็นรัชทายาทขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้จึงหมดใจจะสู้ต่อ บางคนร้องตะโกนว่ายอมจำนนแล้วถอยไปด้านข้าง บางคนโยนทุกสิ่งทิ้งแล้วเผ่นหนีไปด้านนอก ผ่านไปไม่นาน ข้างกายรัชทายาทจึงเหลือแต่คนของสำนักเฟิงอี้ แม้ฉินเจิงจะออกมาจากประตูตำหนักแล้ว แต่ก็ถูกขวางไว้จนมิอาจมารับพวกเซียวหลานเข้าไปได้
เวลานี้รอบด้านเริ่มเงียบลงแล้ว เพราะในพระราชวังมีขุนนางในราชสำนักที่ถูกกักตัวไว้มากมาย กองทัพที่เข้ามาในพระราชวังเลี่ยกงจึงได้รับบัญชาจากยงอ๋องว่าหากแต่ละแห่งไม่ขัดขืนก็ให้ล้อมไว้อย่างแน่นหนาเท่านั้น เวลานี้นอกจากตรงตำหนักเสี่ยวซวงจึงไม่มีการขัดขืนอย่างรุนแรงอีก
เซียวหลานกระชากรัชทายาทพลางต่อสู้สุดกำลัง ทว่าทหารราชองครักษ์รอบด้านจำนวนมากขึ้นทุกที มือกระบี่หญิงเหล่านั้นแม้เก่งกาจ แต่พวกนางก็พกกระบี่ยาวติดกายเพียงเล่มเดียว แม่ทัพและทหารแห่งต้ายงที่เชี่ยวชาญการฆ่าฟันในสนามรบเหล่านั้นใช้แหลนยาวโจมตีจากไกลๆ เมื่อพวกนางตกอยู่ท่ามกลางกระบวนทัพจึงทำได้เพียงปกป้องตนเองเท่านั้น เวลานี้เซียวหลานนึกเสียใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากไม่พาหลี่อันมาด้วย นางก็คงฝ่าเข้าตำหนักเสี่ยวซวงได้แล้ว
หลังจากควบคุมพระราชวังเลี่ยกงได้ก้าวแรก ยงอ๋องผู้ได้รับรายงานสถานการณ์ศึกก็รีบเร่งมาถึงตำหนักเสี่ยวซวง เห็นเซียวหลานกับเฟิ่งเฟยเฟยกำลังขนาบซ้ายขวาปกป้องรัชทายาทอยู่ ข้างกายพวกนางมีแต่ศพของขุนศึกแห่งต้ายงกับมือกระบี่ของสำนักเฟิงอี้ ดวงหน้างามของทั้งสองซีดเผือดเหมือนใกล้สิ้นชีวา
หลี่จื้อเห็นหลี่อันหมอบขดอยู่บนพื้น ไม่มีท่าทางของเชื้อพระวงศ์แม้แต่น้อยก็ขมวดคิ้ว โชคดีที่ทหารเหล่านั้นมิได้ลงมือกับหลี่อัน ดูแล้วนอกจากโลหิตที่อาบย้อมร่างก็ไม่มีบาดแผลอันใด หลี่จื้อเอ่ยเสียงดัง “กบฏสำนักเฟิงอี้จงฟัง หากยอมจำนนแต่โดยดียังมีโอกาสรอด หากดื้อดึงต่อต้าน อย่าโทษข้ามิไว้ไมตรี”
เฟิ่งเฟยเฟยเงยหน้ามองก็เห็นว่าทหารราชองครักษ์ฝั่งตนใกล้จะต้านไม่อยู่แล้ว เวลานี้ศิษย์น้องของตนที่ต่อสู้อย่างยากลำบากอยู่ที่ประตูตำหนักเพื่อรอรับก็ต้านไม่ไหวแล้วเช่นกัน หากไม่ฉวยโอกาสนี้ฝ่าเข้าไปในตำหนักเสี่ยวซวง นายทหารผู้ดุดันราวหมาป่าพยัคฆ์ร้ายเหล่านั้นคงเริ่มบุกตำหนักเสี่ยวซวงแล้ว
นางทำใจเหี้ยมยกหลี่อันขึ้นมาใช้เขาบังศาสตราวุธที่แกว่งไกวอยู่เบื้องหน้า ในใจนางคิดว่าในเมื่อทหารเหล่านั้นมิกล้าโจมตีหลี่อัน ถ้าเช่นนั้นตนมิสู้ใช้เขามาขวางเสียดีกว่า เป็นดังคิด ลูกไม้นี้ของนางทำให้ทหารเหล่านั้นมิกล้าโจมตีจนถูกนางกันออกไปอย่างจำยอม พริบตาเดียวสตรีของสำนักเฟิงอี้ด้านนอกตำหนักเสี่ยวซวงที่เหลืออยู่เพียงสองนางก็ฝ่าไปถึงหน้าประตูตำหนัก
เรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิตรัชทายาท ฉินหย่งจึงมิกล้าตัดสินใจ แม้รัชทายาทจะก่อกบฏ แต่จะฆ่าจะแกงก็ยังคงเป็นเรื่องของเชื้อพระวงศ์ ผลัดไม่ถึงตาฉินหย่งเป็นผู้ตัดสิน ดังนั้นสายตาของเขาจึงมองไปทางยงอ๋องเพื่อรอเขาออกคำสั่ง
โทสะในใจหลี่จื้อเดือดพล่าน การกระทำของเฟิ่งเฟยเฟยทำให้เขาชิงชังจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แม้เขาเกลียดชังและดูแคลนรัชทายาทอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไร นั่นก็เป็นพี่ชายของเขา จากเดิมที่เขาคิดจะออกคำสั่งยิงเกาทัณฑ์สังหารทั้งสามคนให้ตกตายจึงเปลี่ยนใจ ต่อให้สามคนนี้เข้าไปในตำหนักเสี่ยวซวงก็ทำอันใดมิได้ จะอย่างไรก็มิอาจปล่อยให้พี่ชายของตนตายในสภาพเช่นนี้ โอรสของจักรพรรดิก็สมควรตายเยี่ยงโอรสจักรพรรดิ ดังนั้นเขาจึงไม่เปล่งเสียง ปล่อยให้ทั้งสามคนนั้นพุ่งเข้าประตูตำหนักเสี่ยวซวงไป
แม้พวกเซียวหลานสามคนจะเข้ามาในตำหนักเสี่ยวซวงสำเร็จ แต่ด้านหลังพวกนาง ฉินหย่งก็บัญชาทหารใต้สังกัดพุ่งเข้าตำหนักเสี่ยวซวงตามมาแล้ว เวลานี้เมื่อพวกจี้เสีย เซี่ยเสี่ยวถง และหลี่หันโยวสามคนกับมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้อีกยี่สิบกว่านางรุมโจมตี แม้อีกฝ่ายมียอดฝีมือเช่นเสี่ยวซุ่นจื่อคอยขัดขวางสุดชีวิตก็ยังถูกบีบให้ถอยร่นเข้าไปในตำหนักหลัก
หลี่หยวนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรภายใต้การคุ้มกันของฉินอี๋และเหลิ่งชวน จ่างซุนกุ้ยเฟย เหยียนกุ้ยเฟยกับองค์หญิงฉางเล่อล้วนหลบอยู่หลังราชบัลลังก์โดยมีองครักษ์คุ้มกันอยู่ เมื่อผู้คนของสำนักเฟิงอี้บุกเข้ามาในตำหนักหลัก พวกเสี่ยวซุ่นจื่อก็ไม่สู้รบติดพันอีกต่อไป แต่ถอยไปหน้าราชบัลลังก์อย่างว่องไวแล้วตั้งกระบวนทัพต้านเอาไว้
ด้านหลังพวกหลี่หันโยว บานประตูตำหนักที่ถูกการต่อสู้ของสองฝ่ายทำลายจนง่อนแง่นอยู่ก่อนแล้วถูกทหารที่บุกเข้ามาในตำหนักเสี่ยวซวงชนจนแหลกกระจุย พวกหลี่หันโยวล้อมพวกหลี่หยวนไว้ ส่วนวงนอกถัดจากพวกนางก็คือพลทหารต้ายงที่ละล้าละลัง หากสู้กันชุลมุนขึ้นมา แม้จะสังหารผู้คนของสำนักเฟิงอี้ได้แน่นอน แต่หากไม่ทันระวังทำให้หลี่หยวน พระสนมกุ้ยเฟยทั้งสองกับองค์หญิงบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย ทุกคนที่นี่ล้วนรับโทษทัณฑ์ไม่ไหว
ในห้วงเวลานี้ ภายในห้องโถงจึงเงียบกริบ ทุกคนล้วนมิกล้าหอบหายใจเสียงดัง บรรยากาศด้านในตำหนักหนักอึ้งยิ่งนัก
ตอนต่อไป