“ข้ารึ” อดีตไท่จื่อจ่อนิ้วไปที่ปลายจมูกตัวเอง ความยินดีและความกระวนกระวายจู่โจมเข้ามาพร้อมกัน “เหตุใดท่านพ่อตาถึงคิดว่าข้ามีโอกาสมากที่สุด ข้าทำความผิดใหญ่หลวง เสด็จพ่อคงไม่มีวันให้อภัย”
เมื่อเห็นท่าทีไหล่ห่อคอตกของอดีตไท่จื่อแล้ว หยางฟู่ก็นึกโกรธอยู่แต่ในใจ
ช่างไม่มีหวังเลยจริงๆ!
“เหตุไฉนท่านอ๋องถึงไม่มั่นใจในตัวเองเล่าพ่ะย่ะค่ะ พระองค์เพียงแค่สั่งสังหารอันจวิ้นอ๋องเพราะอารมณ์ชั่ววูบ มิควรต้องโทษสถานหนักถึงเพียงนี้ด้วยซ้ำ ตอนนี้เรื่องก็ผ่านไปนานแล้ว ความกริ้วของฝ่าบาทอาจไม่เหลืออยู่แล้วก็เป็นได้ อีกทั้งเรื่องแต่งตั้งไท่จื่อก็เร่งเร้าเข้ามาใกล้ จากที่กระหม่อมเห็น ในสายพระเนตรของฝ่าบาท อย่างไรท่านอ๋องก็สำคัญที่สุดพ่ะย่ะค่ะ…”
แววตาของอดีตไท่จื่อยังคงเศร้าสร้อย เขาสั่นหัว “ท่านพ่อตา ท่านไม่เข้าใจ…”
หากเขาแค่ฆ่าอันจวิ้นอ๋องก็ดีสิ เพราะหากเป็นเช่นนั้น เสด็จพ่อคงไม่มีทางปลดเขาจากตำแหน่งไท่จื่ออย่างแน่นอน!
ท่าทีซังกะตายอยากของอดีตไท่จื่อทำให้หยางฟู่ยิ่งร้อนใจ เขาจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ท่านอ๋อง พ่อตาและลูกเขยมิใช่คนอื่นคนไกล ดังนั้นกระหม่อมขอกล่าวตรงๆ เลยนะพ่ะย่ะค่ะ เอาแค่ในเมืองหลวง มือของบรรดาตระกูลสูงศักดิ์เปื้อนเลือดตั้งเท่าไหร่ ท่านอ๋องเคยเห็นมีใครไปไล่จับผิดหรือไม่ จากที่กระหม่อมเห็น พระองค์อาจจะไตร่ตรองไม่ถี่ถ้วน ถึงได้ให้คนลงมือกลางตำหนักในงานเลี้ยงที่มีคนอยู่มากมาย ผลที่ตามมาถึงได้ร้ายแรงเพียงนี้ ฮ่องเต้จำต้องลงโทษพระองค์สถานหนักอย่างไม่อาจเลี่ยง พระองค์เห็นหรือไม่ว่า ตอนสั่งปลดองค์รัชทายาท มีขุนนางตั้งเท่าไหร่พยายามคัดค้าน เรื่องก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องที่จิ้นอ๋องปองร้ายฉุนเกอเอ๋อร์ ฝ่าบาทต้องทรงรู้สึกผิดอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ…”
หยางฟู่ปล่อยถ้อยคำพรั่งพรู แต่ทว่าอดีตไท่จื่อยังคงตอบสนองเช่นเดิม “ท่านไม่เข้าใจ…”
หยางฟู่อยากจะขยุ้มหัวอดีตไท่จื่อดูสักที เขาคิดในใจว่าหากลูกเขยของเขาคนนี้เป็นสามัญชน เขาคงบ้องหูไปตั้งนานแล้ว
ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ แล้วบอกไม่ได้หรืออย่างไรว่าไม่เข้าใจตรงไหน!
เขาสูดลมหายใจเข้าปอดพยายามสงบสติอารมณ์ หยางฟู่เอ่ยถาม “ท่านอ๋องทรงกังวลเรื่องใดอยู่หรือ กระหม่อมมีศักดิ์เป็นพ่อตาของพระองค์ อย่างไรเสีย กระหม่อมก็อยู่ฝ่ายเดียวกับพระองค์ หากมีเรื่องใดกังวลพระทัยอยู่ก็บอกกระหม่อมมาตรงๆ ได้เลย มิจำเป็นต้องปิดบังพ่ะย่ะค่ะ”
อดีตไท่จื่อจดจ้องไปที่ใบหน้าของหยางฟู่ กัดฟันพลางเอ่ย “ในเมื่อท่านพ่อตากล่าวเช่นนี้ งั้นข้าก็จะบอกความจริง!”
“ความจริง?” หยางฟู่ฉงน แต่ก็พยายามรวบรวมสติให้มั่น “เชิญท่านอ๋องตรัสเถิด ว่าความจริงที่ว่าเป็นเช่นไร”
“ความจริงแล้ว… ข้าไม่ได้เป็นคนสั่งฆ่าอันจวิ้นอ๋อง!”
“ว่าอย่างไรนะ” หยางฟู่ผงะไปทันใด
“ข้ามิได้รู้จักกับองครักษ์จินอู๋ที่เป็นมือสังหารผู้นั้น”
“อะไรนะ” หยางฟู่ตกตะลึงพร้อมเอื้อมมือไปบีบมืออดีตไท่จื่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดฝ่าบาทถึงลงโทษท่านอ๋องได้ หึ…ที่แท้ก็เพราะตาแก่อย่างเจินซื่อเฉิงตัดสินคดีผิดล่ะซิท่า”
อดีตไท่จื่อถอนหายใจออกมา “ผิดแล้วท่านพ่อตา ตาแก่อย่างเจินซื่อเฉิงช่ำชองในการไขคดียิ่งนัก! แต่ที่เสด็จพ่อใช้ชื่อของข้าปิดบังชื่อคนบงการที่แท้จริงก็เพื่อว่า… เพื่อว่า…”
หัวใจของหยางฟู่แทบหยุดเต้น “ท่านอ๋องว่าต่อซิพ่ะย่ะค่ะ!”
อดีตไท่จื่อกลั้นใจตอบ “เพื่อว่าจะปิดบังความผิดของข้า เพราะตอนนั้นข้าอยู่กับหยางเฟย...”
เมื่อประโยคนั้นลั่นออกไป หยางฟู่ก็ทรุดตัวลงกับพื้นไปพร้อมกับเก้าอี้
บ่าวรับใช้ที่ยืนประจำอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงนั้นจึงรีบเอ่ยถาม “ท่านอ๋อง พระองค์ไม่เป็นไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าสบายดี เจ้าเฝ้าอยู่ข้างนอกนั่นแหละ!” อดีตไท่จื่อตะโกนตอบ พลางมองหยางฟู่ที่ลนลานอยู่ที่พื้น พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ได้พูดออกมาก็ดี ในที่สุดแอกนี้ก็มีคนร่วมแบกเสียที
หยางฟู่ที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาอยากจะร้องออกมาให้ดังสุดเสียง
เขาทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ถึงได้มีบุตรเขยเฮงซวยขนาดนี้!
แต่ต่อให้จะผิดหวัง หรือโกรธแค้น ยามที่อยู่ต่อหน้าอดีตไท่จื่อ หยางฟู่ก็ทำได้เพียงทำใจยอมรับ
บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะพาบุตรสาวที่แต่งงานเข้าไปอยู่ในราชวงศ์แล้วกลับมาได้อย่างนั้นหรือ สุดท้ายเขาคงทำได้เพียงนั่งนิ่งอยู่ในเรือเส็งเคร็งลำนี้ต่อไป
เวลาเคลื่อนผ่านไปพักใหญ่ก่อนที่หยางฟู่จะถามขึ้น “เรื่องนี้ พระชายาทรงทราบด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
อดีตไท่จื่อส่ายหัว “นอกจากเสด็จพ่อ เจินซื่อเฉิงและอีกสองสามคน ก็มีแต่ท่านพ่อตาเท่านั้นที่รู้”
หยางฟู่หางตาพะเยิบพะยาบ เขาหัวเราะในใจอย่างขมขื่น หากเป็นเช่นนี้ ก็ยังนับว่าโชคดี
“ท่านอ๋องต้องจำไว้ว่า เรื่องนี้จะให้ผู้ใดทราบไม่ได้เป็นอันขาดนะพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่พระชายาก็บอกไม่ได้” หยางฟู่กำชับเสียงเข้ม
นิสัยบุตรีของเขาคนนี้ติดจะดื้อรั้น หากรู้ว่าสามีลอบมีชู้ เกรงว่าอาจเกิดเรื่องเลวร้ายตามมา…
“ข้ารู้ดี” อดีตไท่จื่อจดจ้องไปที่หยางฟู่ “ท่านพ่อตา ท่านว่าข้ายังมีโอกาสอยู่หรือไม่”
ริมฝีปากของหยางฟู่กระตุกวูบ
อดีตไท่จื่อถอนหายใจพลางบอก “ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่า เจ้าสามชวดไปแล้ว คราวนี้โอกาสก็เป็นของเจ้าสี่…”
หยางฟู่มองไปที่หน้าต่างแวบหนึ่ง
ยามที่ต้องพูดความลับ ก็ควรปิดหน้าต่างบานประตูให้แน่นสนิท ที่กระจกหน้าต่างสะท้อนเงาพุ่มต้นกล้วยด้านนอก
ในห้องตำราช่างอุดอู้ จิ้งหยวนถึงได้อุดอู้เพียงนี้
บุตรเขยของเขาเกิดมาก็ได้ครองตำแหน่งไท่จื่อ ฉะนั้นแล้วไม่ควรติดแหงกอยู่ในรังหนูเช่นนี้!
นิ้วของหยางฟู่เคาะลงบนโต๊ะ พลางเอ่ยแผ่วเบา “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องยังมีโอกาสพ่ะย่ะค่ะ”
อดีตไท่จื่อจ้องตรงไปที่เขา
“เดิมทีมีขุนนางเสนอให้คืนตำแหน่งไท่ซุน ฝ่าบาทก็มิได้ทรงคัดค้าน นั่นก็หมายความว่า ฝ่าบาทยังไม่ทรงหมดหวังในตัวท่านอ๋อง…”
หมดหวัง?
อดีตไท่จื่อรู้สึกว่าคำนี้ช่างแสลงหูยิ่งนัก ทว่าในช่วงเวลาเช่นนี้เขาเลือกที่จะไม่เก็บมาใส่ใจ แต่รับฟังไปเงียบๆ
หยางฟู่เฝ้ามองอดีตไท่จื่อที่กำลังรอฟังคำชี้แนะ พลางเอ่ย “ที่ท่านอ๋องบอกความจริงกับกระหม่อมนั้นถูกต้องแล้ว เราจะได้คาดคะเนความคิดของฝ่าบาทได้อย่างถูกต้อง แน่ทีเดียวที่ความผิดของท่านอ๋องมิใช่เรื่องเล็ก โรคร้ายแรงต้องใช้ยารักษาที่มีฤทธิ์แรงดุจกัน หากอยากให้ฝ่าบาทเปลี่ยนพระทัย ก็ต้องทำให้ฝ่าบาทเห็นความจริงใจของท่านอ๋องเสียก่อน…”
“แล้วข้าต้องทำเช่นไรเสด็จพ่อถึงจะเห็นความจริงใจของข้า”
“รอพ่ะย่ะค่ะ”
“รอ?”
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทำได้เพียงรอคอยอย่างอดทน โอกาสก็จะมาถึงอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากรอแล้ว โอกาสไม่มา กระหม่อมก็จะสร้างโอกาสนั้นขึ้นมาเอง…”
ลำแสงเรียวเล็กในห้องตำราค่อยๆ มืดลง
ในเรือนหลัก หยางหมู่ไปเยี่ยมฉุนเกอเอ๋อร์แล้วจึงมานั่งสนทนากับพระชายาจิ้งอ๋องในห้องที่ปิดสนิท
“กราบกรานฟ้าดินที่ฉุนเกอเอ๋อร์มิได้เป็นอะไรร้ายแรง” หยางหมู่ยกสิบนิ้วขึ้นประนม
พระชายาจิ้งอ๋องหัวเราะ “ท่านแม่ผิดแล้ว มิใช่กราบกรานฟ้าดิน แต่ต้องขอบคุณเยี่ยนอ๋องเสียมากกว่า”
“ต่อให้เจ้าจะว่าเช่นนั้น แต่อย่างไรก็เพราะฉุนเกอเอ๋อร์วาสนาดี ถึงได้มีชีวิตรอดกลับมา ข้าได้ยินมาว่า ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงพระราชทานของกำนัลมาให้ฉุนเกอเอ๋อร์มากมาย อีกทั้งยังตรัสว่ารอให้ฉุนเกอเอ๋อร์แข็งแรงหายดีแล้ว ให้เข้าไปพักอยู่ที่วังสักระยะ เป็นความจริงหรือไม่”
“อื้ม เพียงแต่ลูกปฏิเสธไปแล้ว” พระชายาจิ้งอ๋องกล่าวเนิบนาบ
หยางหมู่ประหลาดใจ “ฉุนเกอเอ๋อร์มีโอกาสได้กลับไปพักที่วังหลวง มิใช่เรื่องดีหรอกหรือ เหตุใดพระชายาถึงได้ปฏิเสธเช่นนั้น…”
พระชายาจิ้งอ๋องตัดบทผู้เป็นมารดา “ลูกเข้าใจความหมายของท่านแม่ เพียงแต่ลูกไม่อยากให้ฉุนเกอเอ๋อร์ต้องตกอยู่ในคลื่นลมพายุเช่นนั้นอีกแล้ว ตอนนี้ฉุนเกอเอ๋อร์มีศักดิ์เป็นเพียงซื่อจื่อ สถานะมิได้ต่างไปจากซื่อจื่อขององค์ชายองค์อื่นๆ การทำตัวข้ามหน้าข้ามตาคงมิใช่เรื่องดีนัก”
“เจ้าเนี่ยนะ…” หยางหมู่อยากจะโน้มน้าวต่อ ทว่าสุดท้ายกลับพูดได้เพียง “ท่านปู่ของเจ้าก็ชราเสียจนผมขาวโพลนหมดหัวแล้ว…”
พระชายาจิ้งอ๋องมิได้สะทกสะท้าน นางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านปู่อายุเกินหกสิบแล้ว การจะมีผมขาวก็เป็นเรื่องธรรมดา”
นางเคยเกือบจะสูญเสียฉุนเกอเอ๋อร์ไป จากนี้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถกดดันนางได้อีกแล้ว
นางอยากเฝ้าดูฉุนเกอเอ๋อร์เติบโตขึ้น จนเขาได้ออกเรือน มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมืองเท่านั้น
ส่วนเรื่องอื่น ไสหัวไปให้ไกลจากนาง!