นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 398 พบพ่อสามี

“ถ้าเอาสมุดเล่มนั้นออกมา ไม่ใช่ว่าสามารถกวาดล้างคนพวกนั้นได้หมดหรือ?”โจวกุ้ยหลานตะลึงงันกล่าวขึ้น

สวีฉางหลินพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูดขึ้น

โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าการโจมตีมันรุนแรงมาก

คนที่เมืองหยวนเหอมีตั้งมากมายหลายคนขาดอาหารการกิน รัฐบีบราษฎร์ให้กบฎ ผลสรุปราชสำนักยังไปปราบปรามอีก สังหารคนตั้งมากมาย สวีฉางหลินมีสมุดเล่มเดียว ก็สามารถทำให้พวกมอดเหล่านั้นราบคาบได้……

นึกถึงตรงนี้ โจวกุ้ยหลานเลยค่อนข้างโมโห

“เอาสมุดเล่มนั้นให้พวกเขาแล้ว พวกเขาไม่ใช่ว่าจะลอยนวลแล้วหรือ?”โจวกุ้ยหลานอดถามย้อนกลับไม่ได้

สวีฉางหลินก้มหน้าลง ครู่ใหญ่ๆ ได้กล่าวขึ้นว่า”สำหรับข้า พวกเจ้าสำคัญที่สุด”

โจวกุ้ยหลานดวงตาร้อนผ่าว

มิน่าล่ะทุกครั้งที่นางอยู่กับสวีฉางหลิน ก็อดที่จะอารมณ์แปรปรวนไม่ได้

ต่อให้การตัดสินใจนี้คนอื่นจะมองว่าโง่มาก แต่มันทำให้นางซาบซึ้งใจทุกครั้งร่ำไป

โจวกุ้ยหลานโผเข้าหาอ้อมแขนของสวีฉางหลิน ร้องไห้แทบเป็นแทบตายอยู่ในวงแขนเขา

สวีฉางหลินรู้สึกทำตัวไม่ถูก เขาทำได้เพียงกอดภรรยาของเขา ตบแผ่นหลังนางอย่างแผ่วเบา ปลอบประโลมนางอย่างเก้ๆกังๆว่า“อย่า…..อย่าร้องไห้เลย…..ข้ายังมีวิธีอื่น…..”

“ท่านนี่โง่จริงๆ!”โจวกุ้ยหลานร้องไห้ด่าออกมา

ถึงแม้จะไม่ได้เห็นกับตา นางรู้ว่าเขาทุ่มเทไปเท่าไหร่กว่าจะได้สมุดเล่มนี้มา

แต่ตอนนี้ล่ะ? คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมให้คนอื่นแล้ว! ถ้าให้คนอื่นรู้ จะต้องด่าเขาว่าไม่รู้จักปล่อยสิ่งเล็กๆแล้วไปปกป้องสิ่งใหญ่ๆ?

สวีฉางหลินสัมผัสได้ถึงอารมณ์เศร้าสร้อยของภรรยา เลยทำได้เพียงโอบกอดนางไว้ ไม่กล้าพูดอะไรอีก

เป็นเขาที่ทำผิดต่อนาง เป็นเขาที่คิดไม่รอบคอบ

โจวกุ้ยหลานระบายออกมาเต็มที่แล้ว ก็ใช้เสื้อของเขาเช็ดน้ำตาจนแห้ง สูดหายใจเข้าลึกๆนั่งตัวตรง ดวงตาแดงก่ำมองไปทางสวีฉางหลิน

“ท่านยังมีอะไรปิดปังข้าหรือไม่? พูดออกมาพร้อมกันเถอะ!”

สวีฉางหลินอ้าปาก หันกลับไปมองที่ประตูแวบหนึ่ง เป็นเวลานาน ถึงได้พูดข้างหูโจวกุ้ยหลานหนึ่งประโยค

พอได้ฟังคำนี้ โจวกุ้ยหลานปิดปากของตนเองแน่น มองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

หัวใจของนางเหมือนถูกลมพัด พัดจนมันวุ่นวายซวนเซ

โจวกุ้ยหลานกัดฟันกรอด เอาความกังวลและความหวาดกลัวกดไว้ที่ก้นบึ้งหัวใจ

มือทั้งสองข้างของสวีฉางหลินวางอยู่บนบ่าของนาง นัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองด้วยแววตาเฝ้าคอย กล่าวว่า“เจ้ายินยอม….ที่จะลงนรกกับข้าหรือไม่?”

โจวกุ้ยหลานได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตนเอง มันเสียงดัง“ตุ๊บๆ”ตลอด

นอกจากปิดปากของตัวนางเอง และกัดฟันกรอด อย่างอื่นก็ทำอะไรไม่ได้เลย

นางยอมรับ สวีฉางหลินก่อนหน้านี้ปกป้องนาง ปกป้องลูกทั้งสองคน

แต่ตอนนี้…..

แต่ตอนนี้ เขากำลังลากทุกคนไปลงนรกพร้อมกับเขา

ไม่ได้รับคำตอบของโจวกุ้ยหลาน ก้นบึ้งหัวใจของสวีฉางหลินจะมีความรู้สึกผิดหวัง

เขาเบนสายตา มือกดลงที่ศีรษะของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า“เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ”

โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าสมองของตัวเองสับสนวุ่นวาย อีกทั้งขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกเลย

เป็นเวลานาน สวีฉางหลินได้ยืนขึ้น เดินออกไปทางด้านนอก

โจวกุ้ยหลานมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของเขาด้วยความมึนงง มองแล้วมันมีความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างแปลกประหลาด

นางกลัว นางอยากจะกระโจนไปกอดเขา บอกกับเขาว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางก็จะยืนอยู่ข้างเขา

แต่ทว่าร่างกายกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ในสมองมีภาพของลูกทั้งสองเฉิดฉายมา บวกกับเหล่าไท่ไท่ โจวต้าซาน โจวต้าไห่…..

สวีฉางหลินเดินออกไป ถือโอกาสปิดประตูให้ด้วย เมื่อหลุบตามองไปด้านนอก หิมะตกอีกแล้ว

เขาหันกลับไปมองแสงไฟที่อยู่ในห้อง และสาวเท้าเก้าออกมา หมุนตัวแล้วเดินไปห้องที่อยู่ด้านข้าง

เมื่อผลักประตูเข้าไป ไออุ่นถาโถมลอยมา

สวีฉางหลินเดินเข้าไป เมื่อปิดประตูเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเดินมาหยุดนิ่งอยู่ข้างเตียง

เด็กทั้งสองคนนอนขดเป็นก้อนหันหน้าเข้าหากันอยู่ มือทั้งสองข้างของลูกจับกันแน่น ใบหน้าเปื้อนรอยน้ำตาแห้งเขรอะ

ชัดเจนว่าพวกเขานอนไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย

วันนี้ทำให้พวกเขาตกใจมากจริงๆ……

สวีฉางหลินก้มหน้า ถอดเสื้อนวมที่บุด้วยฝ้ายออก นอนอยู่บนเตียง เอาผ้าห่มที่คลุมลูกทั้งสองคนมาคลุมตนเองด้วยเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปโอบลูกเข้ามาในอ้อมกอด เพื่อให้พวกเขาอยู่ในอ้อ กอดของตัวเอง

เด็กทั้งสองคนขดมากยิ่งขึ้น และยังส่งเสียงงึมงำด้วย

สวีฉางหลินลูบศีรษะของเด็กทั้งสองคน มองใบหน้าที่นอนหลับสนิทของพวกเขา ยังสามารถมองเห็นความขยาดกลัวได้

“ใครให้พวกเจ้าแซ่สวีล่ะ?”

น้ำเสียงนี้มีความรู้สึกจนปัญญาแฝงมาด้วย

เมื่อกล่าวจบ ก็หายไปจากห้องนอน เหลือไว้แต่ความว่างเปล่า ไร้ซึ่งร่องรอย

ค่ำคืนนี้ โจวกุ้ยหลานนั่งอยู่กับเสี่ยวจิ่วจนถึงฟ้าสางอีก

นางรับคำสั่งจากเสี่ยวลิ่ว ช่วงกลางดึกได้ช่วยเสี่ยวจิ่วเปลี่ยนยา

นางดูแลเสี่ยวจิ่วมาตลอดทั้งคืน รอวันถัดมา ตอนโจวกุ้ยหลานรู้สึกปวดหัว ประตูห้องก็ถูกเคาะ

โจวกุ้ยหลานลุกขึ้น ไปเปิดประตู ก็ได้เห็นคนรับใช้สามคนทำความเคารพให้นาง กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า”สวัสดีฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ!”

โจวกุ้ยหลานพยักหน้าด้วยความมึนงง”พวกเจ้าคือ?”

“เรียนฮูหยินน้อย คุณชายสั่งให้พวกเรามาปรนนิบัติหวีผมล้างหน้าให้ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวเดียวจะพาฮูหยินน้อยไปรับประทานอาหารเช้าเจ้าค่ะ”

คุณชาย……สวีฉางหลิน?

โจวกุ้ยหลานเบี่ยงตัวหลบ ให้พวกนางเอาของอุปกรณ์หวีผมล้างหน้าวางไว้ด้านนอกห้อง ภายใต้การจ้องมองของสาวใช้ทั้งสาม บรรยากาศการหวีผมล้างหน้าที่อึดอัดนับว่าเสร็จสิ้นแล้ว

สาวใช้คนหนึ่งจะเดินเข้าไปจัดผ้าห่มให้โจวกุ้ยหลานในห้อง เมื่อนึกถึงเสี่ยวจิ่วที่นอนอยู่ด้านใน โจวกุ้ยหลานเลยรีบรั้งนางไว้

และรีบเร่งเร้าให้พวกนางพานางไปกินอาหาร

นางไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อเมื่อคืนนี้สวีฉางหลินไม่ได้เรียกให้สาวใช้ในเรือนมาดูแลเสี่ยวจิ่ว ชัดเจนว่าการที่เสี่ยวจิ่วอยู่นั้นถือเป็นความลับ

สาวใช้พากันยกของออกไป สาวใช้นัยน์ตาโตสองชั้น ปลายเรียวยาวคนหนึ่งพานางวนดูบริเวณโดยรอบจวน ตอนที่โจวกุ้ยหลานเริ่มลายตา ก็นับว่าได้มาถึงห้องโถงแห่งหนึ่งแล้ว

พอถึงหน้าประตู ได้เห็นสวีฉางหลินนั่งอยู่หน้าโต๊ะ สีหน้าเคร่งขรึม ลูกสองคนที่นั่งอยู่ข้างเขา นั่งอย่างสงบว่าง่าย ไม่มีเสียงต่อต้าน

เมื่อหลุบตาขึ้นมองอีก ได้เห็นผู้ชายผมขาวหงอกนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ แต่ทว่าสีหน้าดูสดใส

โจวกุ้ยหลานรู้สึกเหงื่อแตก

คนที่สามารถนั่งอยู่ตำแหน่งหลักได้ นอกจากท่านพ่อของสวีฉางหลินแล้วก็เกรงว่าไม่มีใครแล้วไหม?

โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าตนเองสภาพไม่ไหว เมื่อครู่นางส่องกระจกดูตนเอง ไม่มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย

ท่าทางอย่างนี้ สามารถเจอพ่อแม่สามีได้หรือ?

นางเดินช้าลง เหมือนกับเคลื่อนไหวทีละนิดหน่อย ในหัวก็คิดว่าจะทำยังไงให้ภาพจำที่พ่อสามีมีต่อนางไม่แย่ขนาดนั้น

ยังไม่รอให้นางนึกออก สวีฉางหลินก็เดินมาจูงมือนางเดินไปข้างหน้า

โจวกุ้ยหลานยังไม่ทันได้ปฏิเสธ ก็ถูกลากมาอยู่ตรงหน้าหู้กั๋วกงแล้ว

“ท่านแม่!”ลูกทั้งสองคนเห็นโจวกุ้ยหลาน ก็ตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ

ไม่รอให้พวกเขากระโดดลงมา ด้านข้างก็มีเสียงกระแอมไอดังมา สีหน้าของเด็กทั้งสองชะงักทันที มือที่วางอยู่บนเก้าอี้แข็งเกร็ง ทั้งสองโรยราเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม

หัวใจของโจวกุ้ยหลานถูกสะกิดอีกครั้ง และตอนนี้นางก็ลืมความเคร่งครัดเหล่านั้นไปเสียแล้ว