ตอนที่ 554 เก็บบุปผา

หากไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ โซ่วเหนียนก็ลืมไปแล้วจริงๆ เมื่อเอ่ยถึงย่อมนึกขึ้นได้เช่นกัน เขาเคยพบหนิวโหย่วเต้าอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่ครั้งแรกกลับฝังลึกอยู่ในความทรงจำเป็นพิเศษ

นั่นคือครั้งแรกที่หนิวโหย่วเต้าไปเยือนตระกูลเฟิ่ง ณ จังหวัดกว่างอี้ ช่วงที่ไปเป็นตัวแทนสู่ขอให้ซางเฉาจง เฟิ่งรั่วหนานลงมือด้วยความมีน้ำโหทว่าถูกหยวนกังขวางไว้ เฟิ่งรั่วหนานเอาชนะหยวนกังไม่ได้ เขาจึงสอดมือเข้าแทรกแซง ซัดฝ่ามือใส่หยวนกังไปทีหนึ่ง

ตอนนั้นไม่ได้คิดจะเอาชีวิตหยวนกังเลย แต่แอบลงมือรุนแรงไปเล็กน้อย ต่อให้ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส มีเจตนาจะสั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่าย

ผู้ใดจะทราบว่าผลลัพธ์กลับค่อนข้างผิดคาด ตนแอบลงมือจู่โจมอีกฝ่าย แต่กลับหยวนกังต้านทานเอาไว้ได้ ตอนนั้นก็ค่อนข้างตกใจในความสามารถต้านทานการโจมตีของกายเนื้อของหยวนกังเช่นกัน ดังนั้นจึงจดจำได้ดี

อีกทั้งจดจำสายตาอาฆาตแค้นของหนิวโหย่วเต้าในตอนนั้นที่เอ่ยถามเขาว่า ‘ตาเฒ่า หน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?’

จากนั้นก็เอ่ยเตือนเขาว่า ‘ตาเฒ่า ข้าจะจดจำฝ่ามือนี้ไว้ วันหน้าหากมีโอกาสจะให้เจ้าได้ลิ้มรสฝ่ามือของข้าดูเช่นกัน’

ตอนนั้นเขาตอบไปว่า ‘แล้วบ่าวเฒ่าจะเฝ้าคอย!’

ตอนนั้นไม่คิดเป็นจริงเป็นจังเลยจริงๆ ในช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นซางเฉาจงหรือว่าหนิวโหย่วเต้าก็ล้วนไม่อยู่ในสายตาเขาเลย เขาคิดเพียงแต่ว่าอีกฝ่ายเพียงพูดจาอวดดีเพื่อหาทางลงให้ตัวเองก็เท่านั้น

พริบตาเดียวก็ผ่านมาหลายปีแล้ว พอนำทั้งสองฝ่ายในปีนั้นมาเปรียบเทียบกันอีกครั้ง โซ่วเหนียนได้แต่นึกทอดถอนใจ รู้ดีว่าอีกฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะถึงเวลาทวงบัญชีในวันวานแล้ว เขาจึงพยักหน้าตอบรับ “จำได้!”

เผิงอวี้หลานก็จำเรื่องนี้ได้เช่นกัน ตอนนั้นเป็นนางเองที่ส่งสัญญาณให้โซ่วเหนียนลงมือ จึงรีบเอ่ยแก้ต่างว่า “หนิวโหย่วเต้า เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับพ่อบ้านเลย เป็นคำสั่งของข้า…”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ แล้วแต่พวกเจ้าแล้วกัน ข้าไม่บังคับ”

หยวนกังไม่ได้อยู่ด้วย ก่วนฟางอี๋ที่ฟังอยู่ด้านข้างสงสัยขึ้นมา ติดค้างหนึ่งฝ่ามืออะไรกัน? นางไม่ทราบถึงเรื่องราวในอดีตที่ซ่อนอยู่

โซ่วเหนียนกล่าวว่า “หากเจ้าสามารถช่วยคุณหนูได้ บ่าวเฒ่าก็ยินดีให้เจ้าเอาคืนหนึ่งฝ่ามือนั้น”

เผิงอวี้หลานเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “โซ่วเหนียน!”

โซ่วเหนียนยิ้มน้อยๆ “ฮูหยิน ไม่เป็นไรขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าก็ไม่พูดไร้สาระอีก ลุกขึ้นเดินไปหยุดตรงหน้าโซ่วเหนียน ผัวะ! ซัดฝ่ามือเข้าใส่ทรวงอกของโซ่วเหนียน จากนั้นก็หันหลังกลับพร้อมเอ่ยทิ้งท้ายคำหนึ่งแล้วเดินจากไป “ส่งแขก!”

ฝ่ามือนั้นไม่รุนแรงมากนัก โซ่วเหนียนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

เผิงอวี้หลานถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าหนิวโหย่วเต้าเพียงทำไปพอเป็นพิธี ด้วยสภาวะของโซ่วเหนียนน่าจะรับฝ่ามือเดียวได้สบายๆ

ซึ่งฝ่ามือนี้ของหนิวโหย่วเต้าเท่ากับเป็นการตอบรับคำพูดของโซ่วเหนียนแล้ว ตกลงว่าจะช่วยเหลือ ทำให้เผิงอวี้หลานมีความหวังขึ้นมา

ทว่ากระทั่งพวกเขาสามคนออกจากคฤหาสน์บนเขามา แข้งขาโซ่วเหนียนพลันอ่อนยวบ ร่างส่ายโงนเงนเล็กน้อย

ผู้ติดตามอีกคนรีบยื่นมือเข้าไปช่วยประคองไว้ จากนั้นก็พบว่าร่างกายของโซ่วเหนียนสั่นสะท้านเบาๆ จึงเอ่ยด้วยความตกใจว่า “เป็นอะไรไป?”

เผิงอวี้หลานหันมามอง สังเกตเห็นเช่นกันว่าสีหน้าโซ่วเหนียนผิดปกติไป ซีกหนึ่งแดงซีกหนึ่งขาว จึงยื่นมือไปช่วยประคองเช่นกัน พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความตกใจ “เป็นอะไรไป?”

โซ่วเหนียนที่ฝืนประคองตัวเดินออกมาจากคฤหาสน์รู้สึกเพียงว่าร่างกายซีกหนึ่งของตนเสมือนจมอยู่ในโพรงน้ำแข็ง ส่วนร่างกายอีกซีกหนึ่งคล้ายถูกย่างอยู่บนกองเพลิง พลังที่ต่างกันสองขั้วพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย ทำลายสมดุลพลังปราณของเขา เขาเอ่ยเสียงสั่นว่า “เป็นฝ่ามือที่ทรงพลังนัก! พาข้าลงเขาไปเสาะหาสถานที่เงียบสงบสักแห่งเพื่อปรับลมปราณที”

เผิงอวี้หลานและผู้ติดตามคนนั้นกระจ่างในทันที ฝ่ามือนั้นของหนิวโหย่วเต้าดูเหมือนจะธรรมดา แต่ความจริงแล้วกลับมีลูกเล่นแฝงอยู่

ผู้ติดตามอีกคนพลันยื่นมือไปคว้าแขนเผิงอวี้หลาน อีกมือจับโซ่วเหนียนไว้ ทะยานลงเขาไปอย่างรวดเร็ว

เหลยจงคังที่ออกมาส่งแขกได้เห็นฉากที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เขาค่อนข้างจะเข้าใจถึงความรู้สึกของโซ่วเหนียน พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ภายในคฤหาสน์ ก่วนฟางอี๋ติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ซักถามด้วยความอยากรู้อย่างเห็น “หนึ่งฝ่ามือที่พ่อบ้านคนนั้นติดค้างเจ้าไว้มันเรื่องอะไรกัน?”

“ก็ไม่มีอะไร ในอดีตเขาเคยซัดเจ้าลิงหนึ่งฝ่ามือ ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าจะเอาคืน”

“เฮอะๆ จดจำใส่ใจมาตลอดยังจะบอกว่าไม่มีอะไรอีกหรือ? เจ้านี่ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง”

หนิวโหย่วเต้าไม่คิดจะอธิบายอีก เรื่องนั้นผ่านไปแล้ว แล้วก็ไม่ถึงกับเจ้าคิดเจ้าแค้นอันใด จดจำความแค้นนี้กับโซ่วเหนียนไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใด

แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ยังคงต้องให้ความสำคัญอยู่ หากตอนนั้นคนที่โดนฝ่ามือคือเขา เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้อีก แต่คนที่โดนคือหยวนกัง เขาต้องมอบคำอธิบายให้พวกพ้องของตน

เขาลงมืออย่างมีขอบเขต ฝ่ามือนั้นไม่ถึงขั้นจะเอาชีวิตโซ่วเหนียน แต่ทำให้โซ่วเหนียนต้องรับรู้ถึงความทรมานเล็กน้อยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้…

….

ไม่กี่วันให้หลัง หลังจากได้รับข่าวจากสำนักเขามหายาน เมื่อคำนวณระยะเวลาโดยประมาณที่หวงเลี่ยจะเดินทางมาถึงจวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวแล้ว ทางนี้ก็ออกเดินทางเช่นกัน

สามเจ้าสำนักก็พาคนมุ่งหน้าไปพร้อมกัน สำนักหยกสวรรค์ไปแล้ว ผลประโยชน์ในมณฑลหนานโจวจะต้องถูกจัดสรรกันใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ตัดสินเอาเองได้ สามสำนักย่อมต้องเข้าไปมีส่วนร่วมและเป็นพยานด้วย

วิหคยักษ์สี่ตัวบินออกจากคฤหาสน์กระท่อมฟางแห่งนี้ไปพร้อมกัน

เหินลอยรับลมอยู่กลางอากาศสูง ทอดมองผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล สามเจ้าสำนักพูดคุยยิ้มหัวเราะไปตลอดทาง รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกที่ได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกเช่นนี้

หลังจากโบยบินเดินทางมายาวนาน กระทั่งวิหคยักษ์ทั้งสี่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเหนือจวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรภายในเมืองตกใจทะยานขึ้นมาตั้งท่าระวังอยู่เหนือหลังคา

กระทั่งได้รับการยืนยันแน่ชัดว่าเป็นพวกเดียวกัน วิหคก็ร่อนโฉบลงในสวนบุปผา ผู้อาวุโสหวงทงแห่งสำนักเขามหายานที่ประจำการดูแลที่นี่อยู่ในขณะนี้ได้ออกมาทักทายหนิวโหย่วเต้า

เรื่องบุญคุณความแค้นเหล่านั้นในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ผ่านพ้นไปแล้ว ปัจจุบันนี้ อย่างน้อยๆ ก็ในเวลานี้ สำนักเขามหายานยังไม่ได้ลงหลักปักฐานในมณฑลหนานโจวอย่างมั่นคง จำเป็นต้องสมานฉันท์กับหนิวโหย่วเต้าเอาไว้

หวงเลี่ยยังมาไม่ถึง คาดว่าจะมาถึงในช่วงสายวันพรุ่ง ทางหนิวโหย่วเต้าก็ตั้งใจมาถึงก่อนเพื่อรอต้อนรับเป็นการให้เกียรติหวงเลี่ย

จากนั้นหนิวโหย่วเต้าก็แนะนำหวงทงต่อพวกเฟ่ยฉางหลิว

ไม่นานนักความเคลื่อนไหวทางนี้ก็แว่วไปถึงหูซางเฉาจง ซางซูชิงและหลานรั่วถิง ยังมีเหมิงซานหมิงที่ถูกเข็นรถเข็นตามมาด้วย ทั้งหมดโผล่ออกมาต้อนรับพร้อมหน้า

“เต้าเหยี่ย!” ทั้งกลุ่มทักทายด้วยความดีใจ น้ำเสียงของซางซูชิงแฝงความเบิกบานและสุขสันต์เอาไว้เป็นพิเศษ ดวงตางามส่องประกายวิบวับ

จนใจที่หนิวโหย่วเต้าเพียงแค่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มสุภาพ ทักว่าท่านหญิงเพียงเท่านั้น หลักๆ แล้วสนทนากับซางเฉาจงและเหมิงซานหมิงมากกว่า

ซางซูชิงค่อนข้างผิดหวัง มีเรื่องที่อยากไต่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่มากมาย แต่ก็ต้องคำนึงถึงสถานะของตนไว้ มีคนอยู่มากถึงเพียงนี้ ยังไม่ถึงคราวที่นางจะเป็นฝ่ายชวนหนิวโหย่วเต้าคุยได้

จากนั้นดูเหมือนหนิวโหย่วเต้าจะแปลกใจเล็กน้อย เหลียวมองไปรอบๆ พลางเอ่ยถาม “เหตุใดถึงไม่เห็นพระชายาเลยเล่า?”

เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นใจเต้นขึ้นมา ดวงตาหลุบต่ำลง

ในเมื่อเขาออกปากว่าอยากจะพบเฟิ่งรั่วหนาน ซางเฉาจงก็ทำได้เพียงส่งคนไปเชิญมา

รออยู่พักหนึ่ง เฟิ่งรั่วหนานก็มาถึง

พอเห็นเฟิ่งรั่วหนานในสภาพผ่ายผอม หนิวโหย่วเต้าก็ตกใจเช่นกัน กลายเป็นหนังหุ้มกระดูกไปแล้ว ไม่เหลือราศีของแม่ทัพหญิงในชุดเกราะศึกแสนองอาจบนหลังอาชาที่น้าวธนูยิงศรในปีนั้นอีกแล้ว

แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ประสานมือค้อมคำนับอย่างสุภาพตามกฎระเบียบ “หนิวโหย่วเต้าคารวะพระชายา!”

ก่วนฟางอี๋กะพริบตาปริบๆ ตอนที่เผิงอวี้หลานไปหาและพูดเรื่องอะไรไว้บ้างนางล้วนรู้ทั้งสิ้น อยากเห็นนักว่าคนผู้นี้จะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องในบ้านของซางเฉาจงอย่างไร

ว่ากันตามจริง ขุนนางผู้เที่ยงธรรมก็ยังยากจะตัดสินความขัดแย้งในครัวเรือนได้ เรื่องราวเช่นนี้คนนอกไม่สะดวกจะเข้าไปแทรกแซง แม้นางจะทราบดีเช่นกันว่าหากหนิวโหย่วเต้าฝืนเข้าแทรกแซงก็คงจัดการเรื่องในครอบครัวซางเฉาจงได้ แต่จะทำให้ซางเฉาจงเกิดความไม่พอใจขึ้นได้ง่ายๆ

หวงทงที่อยู่ด้านข้างก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน เหตุใดถึงดูเหมือนหนิวโหย่วเต้าจะให้เกียรติพระชายาคนนี้มากกว่าคนอื่นๆ ในจวนอ๋องเล่า

เขามาถึงได้ระยะหนึ่งแล้ว พอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ เช่นกัน อีกทั้งมองออกว่าพระชายาผู้นี้ไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับในจวนอ๋องสักเท่าไร

ส่วนมีสาเหตุมาจากเรื่องใดก็สืบได้ไม่ยาก ตระกูลเฟิ่งเกือบจะเอาชีวิตซางเฉาจงไปแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็รู้ได้

เฟิ่งรั่วหนานฝืนยิ้มเล็กน้อย ย่อตัวคำนับกลับ “เต้าเหยี่ย”

“พระชายาเกรงใจเกินไปแล้ว” หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางโบกมือ จากนั้นก็เอ่ยกับหวงทงว่า “ผู้อาวุโสหวงอาจจะไม่ทราบ บรรดาผู้คนในที่แห่งนี้ ข้ารู้จักกับพระชายาเป็นคนแรก ช่วงเวลานั้นข้ายังไม่ได้เข้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พระชายาพบข้าที่ระเหเร่ร่อนอยู่ พระชายายิงศรที่มีตราคำสั่งประจำตัวผูกติดไว้มาให้ข้า ตะโกนบอกข้าว่าโลกภายนอกวุ่นวายใช้ชีวิตลำบาก หากว่าทนต่อไปไม่ไหวก็ให้นำป้ายคำสั่งไปตามหานางได้ นางยินดีจะมอบอนาคตที่ดีให้แก่ข้า เรื่องนี้ทำให้แซ่หนิวยากจะลืมได้!”

หวงทงร้อง “โอ้” อย่างนัยยะลุ่มลึก หนิวโหย่วเต้าตั้งใจเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าเขา ดูเหมือนต้องการให้ทางสำนักเขามหายานช่วยดูแลเกื้อกูลสักหน่อย แต่เขาก็กวาดตามองพวกซางเฉาจงด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก

พวกซางเฉาจงก็ดูเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่เงียบๆ เช่นกัน หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถึงไมตรีระหว่างเขากับเฟิ่งรั่วหนาน พวกเขาก็มิใช่คนหูหนวก ล้วนได้ยินกันถ้วนหน้า

เฟิ่งรั่วหนานที่ใช้ชีวิตดั่งขอนไม้ตายซากพลันอบอุ่นหัวใจขึ้นมา นางไม่ได้โง่ รู้ถึงอิทธิพลที่หนิวโหย่วเต้ามีต่อทางนี้ดี ไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะกล่าวเช่นนี้ออกมาต่อหน้าคนมากมาย ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมานิดๆ

หนิวโหย่วเต้าก็พูดจาเรื่อยเปื่อยต่อไปเล็กน้อย จากนั้นก็ไปรำลึกความหลังกับพวกซางเฉาจง ภายในจวนย่อมจัดเตรียมสุราอาหารไว้รับรองแล้ว ย่อมมีการสนทนาสังสรรค์อย่างไม่อาจเลี่ยงได้

หลังจบงานเลี้ยงฟ้าก็มืดแล้ว หนิวโหย่วเต้าที่ทั่วร่างคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรากลับไปยังเรือนพำนักที่จัดเตรียมไว้สำหรับเขา

ยามที่ผู้ดูแลของจวนเข้ามาสอบถามทางนี้ว่าต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่ก็ถูกหนิวโหย่วเต้ารั้งตัวไว้ หนิวโหย่วเต้าซักถามสถานการณ์ภายในจวนอย่างละเอียดยิบ

แสงจันทร์ยวนใจคน สุดท้ายซางซูชิงที่อึดอัดขัดแย้งกับตัวเองมานานพักใหญ่ก็เดินมาถึงริมกำแพงเรือนฝั่งนี้ พอมาถึงทางนี้ก็ลังเลขึ้นมาอีก

นางเดินวนกลับไปกลับมาอยู่พักหนึ่ง อยากจะเข้าไปพบหนิวโหย่วเต้า แต่พอนึกถึงว่าสตรีคนหนึ่งมาหาคนเขาในยามวิกาลเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่เหมาะสมเลย สุดท้ายยังคงหันหลังเดินกลับไป

เช้าตรู่ของวันใหม่ หนิวโหย่วเต้าออกจากเรือนไปแต่เช้า เดินเล่นซอกแซกไปเรื่อย มีคนเข้ามาสอบถามเขาก็ตอบเพียงว่าอยากเดินชมดู ไม่มีผู้ใดภายในจวนกล้าขัดขวางเขาเช่นกัน

หลังเขาเดินออกไปได้ไม่นาน ซางซูชิงก็มาหา ยืนลังเลอยู่ในลานเรือน

ก่วนฟางอี๋เดินบิดเอวอ้อนแอ้นออกมาจากในเรือน พอเห็นนางก็อดขบขันไม่ได้ “ท่านหญิงมาแล้วหรือ คงจะมาหวีผมให้เต้าเหยี่ยใช่ไหมเพคะ?”

ซางซูชิงหน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถามไปว่า “หงเหนียง เต้าเหยี่ยตื่นหรือยัง?”

ก่วนฟางอี๋เดินยิ้มร่าเข้ามาหา “เขาน่ะหรือ ตื่นแต่เช้าตรู่แล้วเพคะ ไม่รู้ว่าออกไปเดินเตร่ที่ใดแล้ว”

ซางซูชิงผงะไป ตนมาแต่เช้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยังมาสายไปอีก…

….

ภายในสวนบุปผา สตรีสองนางที่งดงามปานบุปผาก็ตื่นแต่เช้าตรู่เช่นกัน ผู้ที่สวมชุดสีขาวพิสุทธิ์นามว่าอวี้เหนียง ส่วนผู้ที่สวมชุดสีชมพูเย้ายวนนามว่าหว่านเหนียง

ทั้งสองคือนางบำเรอโฉมงามที่ตระกูลเฟิ่งส่งมาให้ซางเฉาจง พวกนางต่างถือตระกร้าไว้ในมือ เด็ดดึงกลีบบุปผาด้วยตัวเอง คนงามเย้ายวนยิ่งกว่าบุปผาเสียอีก

สองคนนี้ตั้งใจปรนนิบัติดูแลซางเฉาจงจริงๆ ถือโอกาสจากฤดูกาลนี้ ตื่นแต่เช้ามาเก็บบุปผาสดใหม่เองกับมือในทุกๆ วันโดยไม่ยืมมือผู้ใด นำกลีบบุปผาไปตุ๋นทำน้ำแกงให้ซางเฉาจงอะไรทำนองนั้น

มีเรื่องที่ทำให้ทั้งสองต้องแปลกใจคือบังเอิญพบคนขวางโลกผู้หนึ่งเข้าแล้ว

เห็นเพียงว่าบ่าวคนหนึ่งกำลังเด็ดบุปผาในสวนอยู่ เด็ดมาสูดดมเล่นดอกหนึ่งแล้วก็โยนทิ้งไป

เรื่องโยนทิ้งน่ะไม่เท่าไร แต่เขาเดินเลาะพุ่มบุปผา เด็ดมาดมเล่น จากนั้นก็โยนทิ้งไป เสียของเหลือเกิน

สองโฉมงามเห็นแล้วพาลขุ่นเคือง อวี้เหนียงเอ่ยถาม “เป็นบ่าวจากเรือนใดกัน?”

บ่าวผู้นั้นหันกลับมา เป็นหนิวโหย่วเต้านั่นเอง แต่กลับสวมชุดบ่าวในจวนอยู่ แถมยังสวมหมวกข้ารับใช้ไว้ด้วย เขาชี้เข้าหาตัวแล้วถามกลับ “ถามข้าอยู่หรือ? ข้าเพิ่งมาใหม่ มีเรื่องใดหรือ?” เขาฉีกบุปผาในมือแล้วโยนทิ้งไปอีกครั้ง

เพิ่งมาใหม่อย่างนั้นหรือ? สองโฉมงามเข้าใจแล้ว มิน่าเล่าถึงได้ไม่เข้าใจกฎระเบียบเอาเสียเลย หว่านเหนียงตะโกนขึ้นมา “มีใครอยู่บ้าง!”

เมื่อองครักษ์ที่อยู่นอกสวนได้ยินก็วิ่งเข้ามาหลายนาย หว่านเหนียงชี้บุปผาบนพื้นที่ถูกฉีกขยี้ทิ้ง เอ่ยด้วยเสียงเกรี้ยวกราด “ลากตัวไอ้คนไม่รู้กฎเกณฑ์ผู้นี้ไปสั่งสอนซะ!”

……………………………………………………………………………