“ท่านอ๋องกรรแสงด้วยสาเหตุใดกันพ่ะย่ะค่ะ” หยางฟู่งงงวยกับอากัปกิริยาของอดีตไท่จื่อ
อดีตไท่จื่อน้ำตานองหน้าเปรยตาขึ้นมองผู้เป็นพ่อตา เขากล่าวเพราะเพิ่งรู้สึกกลัว “ท่านพ่อตาหลอกข้า ข้าหลงคิดว่าเสาธงที่หักลงมาเป็นฝีมือของท่านที่ถูกคำนวณมาอย่างดีแล้ว หากข้าเอาตัวเข้าไปรับคงไม่เป็นอะไร!”
“ท่านอ๋องก็มิได้เป็นอะไรนี่พ่ะย่ะค่ะ…” หยางฟู่ในตอนนี้ไม่รู้ว่าตนเองควรตอบเช่นไร
อดีตไท่จื่อเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “ที่ข้าไม่เป็นอะไรเพราะว่าเคราะห์ยังดี แต่ที่ข้ารีบพุ่งตัวเข้าไปเพราะข้าคิดว่ามันปลอดภัย…”
หยางฟู่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามลองใจ “หากท่านอ๋องทราบว่านี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ…”
อดีตไท่จื่อกล่าวโดยไม่ลังเล “แน่นอนว่าข้าคงไม่เอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงเช่นนั้น!”
หยางฟู่ “…”
อดีตไท่จื่อคงยังโกรธขึ้ง “หากข้าถูกเสาธงหล่นทับตายขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เสด็จพ่อมอบยศสูงสุดให้ข้าแล้วจะมีประโยชน์อันใด ท้ายที่สุด แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลผืนนี้ก็ต้องเป็นของคนอื่น ส่วนข้าก็ตายเปล่า…”
หยางฟู่อยากเอามืออุดปากไท่จื่อให้รู้แล้วรู้รอด “ท่านอ๋อง อย่าได้ตรัสเช่นนั้นอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
กับโคลนสาบอย่างไอ้ลูกเขย เขาจะพูดอะไรได้
“ข้าทราบแล้ว แค่เพียงแต่บอกให้ท่านพ่อตารับรู้ไว้เท่านั้น” อดีตไท่จื่อขมวดคิ้วฉับพลันพลางร้องโอดครวญ “เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”
หยางฟู่ยืดหลังขึ้น “ท่านอ๋องพักเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้คงมีหลายคนมาขอเยี่ยมท่านอ๋อง ตราบใดที่ข่าวดียังไม่ได้รับการยืนยัน ท่านอ๋องก็กล่าวปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ต้องพักรักษาตัวก่อนก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ จะได้หลีกเลี่ยงความยุ่งยากทั้งหลายแหล่”
“อื้อ”
เมื่อเห็นว่าอดีตไท่จื่อตอบรับไปอย่างนั้น หยางฟู่จึงกล่าวอย่างขมขื่น “ท่านอ๋อง พระองค์อุตส่าห์อดทนมาตั้งนาน อย่าทำเสียเรื่องเพียงเพราะความผ่อนปรนเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ…”
อดีตไท่จื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ “ท่านพ่อตามิจำเป็นต้องพูดย้ำแล้ว ข้ามิใช่เด็กๆ เสียหน่อย บทเรียนครั้งเดียวก็เกินพอ คราวนี้ข้าจะอยู่นิ่งๆ รอคอยวันนั้นมาถึง”
หยางฟู่ขยับปากพะเยิบพะยาบอยากจะเตือนว่า ต่อให้ได้กลับไปเป็นไท่จื่อแล้วก็ควรอยู่เงียบๆ แต่สุดท้ายเขาก็สลัดความคิดนั้นไปเสีย
การจะกล่าวเรื่องนี้ออกไป แลดูจะเร็วไปเสียหน่อย รังแต่จะทำให้เจ้าลูกเขยรำคาญใจเปล่าๆ
อีกอย่าง หากบุตรเขยของเขาได้กลับขึ้นไปเป็นไท่จื่ออีกครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองก็จะต่างออกไป พอถึงตอนนั้นเรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจกล่าวออกไปเหมือนอย่างในตอนนี้
……
ในจวนฉีอ๋อง ประตูห้องของฉีอ๋องถูกปิดสนิท หลังจากทุบทำลายชุดถ้วยชาจนแตกละเอียดแล้ว เขาก็ชกหมัดเข้าที่กำแพง
“ท่านอ๋อง มือของพระองค์มีโลหิตไหลออกมาแล้วนะเพคะ” พระชายาฉีอ๋องในเวลานี้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากแล้ว นางกลับไปเป็นพระชายาอ๋องที่ทรงสง่าเปี่ยมด้วยคุณธรรมดังเดิม นางนำผ้ามาเช็ดบาดแผลบนมือของฉีอ๋อง
ฉีอ๋องสะบัดมือของนางออก พลางเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ็บนิดเจ็บหน่อยจะเป็นไรไป หากข้าสามารถช่วยเสด็จพ่อได้ ต่อให้เจ็บกว่าเจ้ารองเป็นร้อยเท่า พันเท่า ข้าก็ทำได้…”
พระชายาวางนิ้วลงบนริมฝีปากของฉีอ๋อง “ท่านอ๋องอย่างตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของท่านอีกแล้ว…”
สติของฉีอ๋องเตลิดหนักกว่าเก่า เขาเอ่ยขึ้น “แต่ไอ้เจ้ารอง มีแผลถลอกนิดๆ หน่อยๆ ก็ดูเป็นคนดีขึ้นมาเฉยเลย”
จิ้นอ๋องถูกเนรเทศให้ไปเฝ้าอยู่ที่สุสานหลวง ส่วนที่อำเภอเฉียนเหอก็มีภัยพิบัติใหญ่ เรื่องแต่งตั้งไท่จื่อคงปล่อยให้ยืดเยื้อออกไปไม่ได้อีกแล้ว
ตอนแรกเขาหลงคิดว่าโอกาสกำลังจะมาถึง เขาเพียงแต่รอวันที่ท้องฟ้าเปิดเท่านั้น แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่วัดไท่ในขณะที่ไปสักการะบรรพบุรุษ
ต่อให้เจตจำนงของเขาจะแน่วแน่เพียงใด แต่การจะรู้สึกหวั่นไหวในช่วงเวลาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ครั้นเห็นฉีอ๋องสั่นคลอน พระชายาฉีอ๋องก็แอบลูบหน้าท้องแบนราบของตน แล้วแววตาของนางก็ขับประกายแน่วแน่
นางเสียบุตรไปทั้งคนก็เพื่อกิจอันยิ่งใหญ่ของท่านอ๋อง ครั้นลูกธนูหลุดออกจากคันธนูไปแล้วก็ไม่มีทางหวนกลับ แม้ท่านอ๋องจะยอมแพ้ แต่นางก็จะไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ลูกของนางจะต้องไม่ตายเปล่า สุดท้ายแล้ว นางต้องไปสวมมงกุฎหงส์ เพื่อชดเชยให้แก่ลูกของนางที่เสียไป!
“ท่านอ๋อง พระองค์ตรัสผิดแล้วเพคะ”
ฉีอ๋องผงะไป “ข้าว่าผิดงั้นรึ”
“เพคะ พระองค์ว่าผิดแล้วเพคะ”
แม้อดีตไท่จื่อจะไร้ความสามารถ แต่คนที่สนับสนุนอดีตไท่จื่อมิได้เป็นเช่นนั้น
ฉีอ๋องคือภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดของอดีตไท่จื่อ หากอดีตไท่จื่อได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง เขาก็มีสิทธิ์ถูกคิดบัญชีได้ทุกเมื่อ และหากเป็นเช่นนั้นจริง จุดจบนั้นคงน่าเวทนาอย่างถึงที่สุดแล้ว เกรงว่าการไปอยู่เฝ้าที่สุสานหลวงอย่างจิ้นอ๋องยังดีเสียกว่า
พระชายาจูงมือฉีอ๋องเข้าไปด้านใน ทั้งคู่นั่งลงบนตั่งก่อนที่นางจะกล่าวต่อ “หากว่าจิ้งอ๋องถูกลิขิตมาให้เป็นองค์รัชทายาทจริง เขาก็ไม่น่าโง่เขลาเบาปัญญาได้ถึงเพียงนี้ ท่านอ๋องลองคิดดูซิเพคะ จิ้งอ๋องเป็นโอรสองค์เดียวของฮองเฮาพระองค์ก่อน สถานะสูงส่งหาใดเปรียบ หนำซ้ำยังถูกแต่งตั้งเป็นไท่จื่อตั้งแต่เล็ก ไม่ต้องคิดเลยว่า สถานะเช่นเขาควรมีคุณสมบัติโดดเด่นเพียงใด แม้เขาเดินดินเฉกเช่นคนธรรมดา ก็ยังทิ้งตัวลงนอนบนหมอนทองคำได้อย่างไร้กังวล แต่ดูซิเพคะ เขากลับเป็นเพียงโคลนสาบที่ไม่อาจเกาะยึดอยู่บนกำแพง เขาทำให้เสด็จพ่อต้องผิดหวังมาตั้งไม่รู้กี่ครา…”
ฉีอ๋องพยักหน้าเห็นพ้อง
“หากสวรรค์เข้าข้างจิ้งอ๋องจริง เหตุไฉนเขาถึงได้น่าอเนจอนาถเพียงนี้ ตราบใดที่เขาไม่ได้เป็นผู้ที่สวรรค์ทรงเลือก ก็เท่ากับว่าเป็นโอกาสของท่านอ๋องอย่างไรเพคะ”
ฉีอ๋องในตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมาก แต่ยังอดหวั่นใจไม่ได้ “แต่อีกไม่นานเกินรอเขาคงได้กลับมาครองตำแหน่งอีกครั้ง…”
พระชายาฉีอ๋องหัวเราะเยาะ “ได้กลับมาเป็นไท่จื่อแล้วจะอย่างไร จิ้งอ๋องโง่งมเพียงนั้น เคยถูกปลดมาแล้วหนหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนสอง ท่านอ๋องคิดว่าหากจิ้งอ๋องที่ได้กลับไปเป็นไท่จื่อถูกโดนปลดซ้ำเป็นครั้งที่สองจะเป็นเช่นไร”
ฉีอ๋องนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวร่อออกมา
การปลดครั้งแรก เสด็จพ่อยังเห็นแก่ความรู้สึกพ่อลูกที่ ถึงได้ให้ยศจิ้งอ๋องกับเขา แต่การปลดครั้งที่สอง เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้กลับตัวอีกแล้ว
หากเปรียบเทียบในจุดนี้ วันที่ไท่จื่อไม่มีโอกาสได้กลับตัว โอกาสก็จะเป็นของเขาอย่างแท้จริง
สายตาที่ฉีอ๋องมองไปที่พระชายาฉายแววอ่อนโยนขึ้นมาทันใด เขากุมมือนางมาจับพลางบอก “ถูกของเจ้า เพราะข้ามัวแต่ผิดหวังถึงได้ปล่อยสติเตลิดไป ในตอนที่เสด็จพ่อยังเห็นความสำคัญของจิ้งอ๋อง การพยายามเอาตัวเองเข้าไปแทรกมีแต่จะเสียกับเสีย การอดทนรออย่างใจเย็นถึงจะดีที่สุด”
พระชายาฉีอ๋องคลี่ยิ้มกว้าง “ท่านอ๋องมิได้รู้สึกท้อแท้ก็ดีแล้วเพคะ”
“ดีที่มีเจ้าช่วยเตือน จิ้งอ๋องได้กลับไปเป็นไท่จื่อเมื่อใด เจ้าก็อย่าลืมส่งของกำนัลไปร่วมแสดงความยินดีด้วยก็แล้วกัน”
“ท่านอ๋องวางพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันจะจัดการเรื่องนี้อย่างดี”
……
วันถัดมา เสียงเรียกร้องให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทดังขึ้นอีกครั้ง
แต่มาคราวนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่มีอาการโกรธขึ้งอีกแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ตกปากรับคำเท่านั้น
วันที่สาม เสียงสนับสนุนก็นั้นดังขึ้นอีก
คนที่เห็นพ้องกับข้อเสนอนี้มีเหตุผลมาสนับสนุนคือ ‘จิ้งอ๋องได้เสียสละตัวเองช่วยชีวิตฝ่าบาทที่วัดไท่ มิได้ห่วงถึงความปลอดภัยของตนเอง แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี บัดนี้ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังคงว่างเว้น เป็นเหตุให้อาณาประชาราษฎร์ไม่อาจวางใจสงบ ภัยพิบัติเกิดซ้ำบ่อยครั้ง เรื่องการแต่งตั้งไท่จื่อก็ไม่อาจปล่อยให้ยืดเยื้อออกไปได้อีกแล้ว ในเมื่อจิ้งอ๋องกตัญญูถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งนี้มานานกว่ายี่สิบปี ฉะนั้นจะมีใครหน้าไหนควรคู่กับตำแหน่งเท่าจิ้งอ๋อง’
การคืนตำแหน่งไท่จื่อเป็นวันที่ทุกคนตั้งตารอ
เสียงสนับสนุนหนักแน่นขึ้นวันต่อวัน ความลังเลใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นเช่นกัน
คืนที่หกของการเรียกร้องให้มีการคืนตำแหน่งไท่จื่อ จิ่งหมิงฮ่องเต้สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ครั้นหวนนึกถึงความฝันนั้น อาการของเขากลับเลื่อนลอยแลดูสิ้นหวัง
เขาฝันถึงฮองเฮาองค์ก่อน
เขาจำรายละเอียดในความฝันได้ไม่ชัดเจนนัก จำได้เพียงเป็นความโศกเศร้าจางๆ ที่ไม่อาจลบเลือน
เช้าวันถัดมา อากาศแจ่มใส ครั้นที่ประชุมยกเรื่องคืนตำแหน่งให้ไท่จื่อ เขาก็พยักศีรษะตอบรับในที่สุด
“อนุญาตให้เป็นตามนั้น”
เหล่าขุนนางปีติยินดี กล่าวสรรเสริญในความปรีชาของฮ่องเต้ไม่หยุดปาก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกจากบัลลังก์มังกรพลางเหม่อมองออกไปแสนไกล
ปรีชาอย่างนั้นหรือ
เขาได้แต่หวังว่าการตัดสินใจคราวนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง