จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่ฉินอ๋อง
เขาเป็นบุตรบุญธรรม เก็บตัวเงียบไม่หือไม่อือ ในสถานการณ์เช่นนี้ หากพี่น้องคนอื่นๆ ไม่เกริ่นกล่าว เขาก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่ฉีอ๋อง
ฉีอ๋องยืนหลุบตามองพื้น สีหน้ามิได้แสดงความรู้สึกใดๆ ในใจแน่วแน่ว่าหากฮ่องเต้ไม่ขานชื่อ เขาก็จะไม่มีทางเสนอตัวเป็นอันขาด
ตอนที่ตำแหน่งองค์รัชทายาทไร้ผู้ถือครอง ทั้งเขาและจิ้นอ๋องต่างก็ทิ้งร่องรอยไว้ด้วยกันทั้งคู่ มาตอนนี้ไท่จื่อได้กลับสู่คืนตำแหน่งแล้ว เขาควรทำตัวให้เป็นที่สนใจน้อยที่สุด ดังนั้นการจะเสนอตัวออกไปตอนนี้คงมิได้มีความหมายอันใด
ตอนนี้อดทนไว้ก่อน รอไท่จื่อเข้าตาจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตาผ่านไปยังหลู่อ๋อง
หลู่อ๋องยืนหลบอยู่ในมุม คิดว่าคงไม่มีผู้ใดทันสังเกต ท่าทางการยืนซะเงาะซะแงะทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ต้องขมวดพระขนงมุ่น
จะใช้เขาไปอำเภอเฉียนเหองั้นเรอะ เขาไม่ไปหรอก คนตั้งมากมาย เขาเป็นแค่จวิ้นอ๋อง แล้วเหตุใดจะให้จวิ้นอ๋องอย่างเขาไปทำภารกิจยุ่งยากเพียงนั้น
ไม่ไป ไม่ไป อย่างไรก็ไม่ไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่สู่อ๋อง
สู่อ๋องบอกในใจ ไม่อยากไปพ่ะย่ะค่ะ…
เซียงอ๋องก็บอกในใจ ไม่อยากไปพ่ะย่ะค่ะ…
อวี้จิ่น ภรรยาใกล้จะคลอดแล้ว กระหม่อมก็ไม่อยากไปพ่ะย่ะค่ะ…
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดือดพล่านจนกำที่ทับกระดาษเนื้อหยกขาว
ดีจริงๆ ไอ้พวกลูกไร้ประโยชน์!
ในเมื่อไม่มีใครอยากไป… จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองตั้งแต่หัวแถวไปจนถึงหางแถวอีกครั้ง
ทั้งหมดประหม่าขึ้นทันใด เสด็จพ่อกำลังจะเรียกชื่อแล้ว!
ไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นผู้โชคร้ายคนนั้น
“เหตุใดถึงไม่มีใครกล่าวอะไรสักคน” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามขึ้น
เหล่าองค์ชายแสดงออกอย่างอาจหาญ ภารกิจยิ่งใหญ่เพียงนี้ มิควรแก่งแย่งชิงดีกับพี่น้อง รอฟังเสด็จพ่อรับสั่งเท่านั้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” จิ่งหมิงฮ่องเต้เว้นวรรคก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “ก็จับลากก็แล้วกัน”
สีหน้าขององค์ชายทั้งหมดบิดเบี้ยวด้วยความประหลาดใจ
จับฉลากรึ
งานสำคัญเช่นนี้ ให้จับฉลาก เหมาะสมแล้วรึ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เย้ยหยัน “ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าการจับฉลากอีกแล้ว ยุติธรรม ปราศจากอคติ”
“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
ทั้งหมดกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “จับฉลากเหมาะสมที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองไปที่พานไห่แวบหนึ่งเป็นสัญญาณให้ไปนำกระบอกจับฉลากออกมา
ไม่นานพานไห่ก็กลับมาพร้อมกระบอกเซียมซีเคลือบสีแดงสดที่แกะสลักอย่างประณีต และไปหยุดยืนอยู่หน้าคนทั้งหมด
จิ่งหมิงฮ่องเต้เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “เอาหล่ะ เริ่มจับฉลากเถอะ จะได้ไม่ต้องมีใครรู้สึกเกรงใจ”
พานไห่กระแอมไอให้คอโล่งพร้อมกล่าว “มีไม้ทั้งหมดหกแท่ง ผู้ที่จับได้ดอกกล้วยไม้ก็อยู่ต่อที่เมืองหลวง ส่วนผู้ที่จับได้ดอกโบตั๋นก็จะต้องเดินทางไปอำเภอเฉียนเหอกับไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าองค์ชายลอบดึงมุมปาก
ที่แท้ก็ให้จับเซียมซีดอกไม้
กระบอกเซียมซีผ่านหน้าทุกคน แต่ละคนเลือกหยิบได้ตามใจชอบ
อวี้จิ่นหลับตาลงก่อนจะพลิกด้ามไม้ขึ้นมา เผยให้เห็นดอกโบตั๋นงามเพริศพริ้งดอกหนึ่ง
ชายหนุ่มลูบหน้าตัวเอง
มารดามันเถอะ โชคร้ายอย่างไรเยี่ยงนี้!
เขามิใช่พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ การตะเกียกตะกายออกมาจากกองร่างคนตายยังเคยทำมาแล้ว การไปที่อำเภอเฉียนเหอก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่อีกเดือนเดียวอาซื่อก็จะคลอดบุตรแล้ว…
อวี้จิ่นกำด้ามไม้ลายดอกโบตั๋นด้วยความรู้สึกหดหู่
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระแอมไอออกมาพลางถาม “ใครจับได้ดอกโบตั๋น”
เหล่าองค์ชายแลดูสะใจที่เห็นอวี้จิ่นจับได้เซียมซีลายดอกโบตั๋น
ครั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นว่าคนๆ นั้นคืออวี้จิ่นก็รู้สึกโล่งอกเสียอย่างนั้น
เจ้าเจ็ดเป็นคนมีความสามารถ หากมีเขาร่วมเดินทางไปที่อำเภอเฉียนเหอกับไท่จื่อ อย่างน้อยๆ เขาก็พอสบายใจได้ว่าไท่จื่อคงไม่กลับมาในสภาพแขนขาดขาด้วน
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ส่วนเจ้าเจ็ดอยู่ที่นี่ก่อน”
เหล่าองค์ชายที่เหลือรู้สึกโล่งอกออกมาพร้อมๆ กัน ไม่มีครั้งใดที่รู้สึกอยากออกจากวังหลวงเท่านี้มาก่อน
ภายในห้องทรงพระอักษร จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองไปที่ไท่จื่อ ก่อนจะมองไปที่อวี้จิ่น พร้อมเอ่ย “พวกเจ้าออกเดินทางวันพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน คาดว่าคงใช้เวลาไม่นาน…”
“ลูกรับทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของอวี้จิ่นนิ่งเรียบ ไม่มีวี่แววของความไม่พอใจ
ในเมื่อจับฉลากได้ดอกโบตั๋นเอง การจะทำหน้าบูดบึ้งรังแต่จะทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย เขาเองก็มิใช่คนสมองน้อยเช่นนั้น
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้สังเกตเห็นว่าอวี้จิ่นมิได้แสดงท่าทีไม่พอใจ เขาก็คลี่ยิ้มออกมา “ดี พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
อวี้จิ่นเดินออกมาโดยมีไท่จื่อตามอยู่ด้านหลัง ไท่จื่อเดินเข้ามาหมายจะตบบ่าของอวี้จิ่น
อวี้จิ่นเอี้ยวตัวหลบ ไท่จื่อจึงตบลม เขาได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน “น้องเจ็ด มีเจ้าไปเป็นเพื่อนข้า ข้าดีใจยิ่งนัก”
อวี้จิ่นยิ้มแหย แต่ข้าไม่ดีใจ!
ไท่จื่อไม่รู้ตัวเลยสักนิด น้ำเสียงยังคงเจือความสนิทชิดเชื้อ “วันนั้นที่น้องเจ็ดช่วยชีวิตฉุนเกอเอ๋อร์ พี่ก็รู้ทันทีว่าเจ้าเป็นคนดี ฉะนั้นการที่น้องเจ็ดเดินทางไปด้วย พี่ก็สบายใจ…”
อวี้จิ่นที่จู่ๆ ก็ถูกมองเป็นคนดีดึงมุมปากขึ้นทันใด แต่ทว่าไม่ได้โต้ตอบ หูฟังเสียงไท่จื่อพล่ามอยู่พักใหญ่ก่อนจะชะงักฝีเท้า “พี่รองมิต้องไปส่งข้าแล้ว ทางกลับคนละทาง”
เขายกมือขึ้นคารวะไท่จื่อก่อนจะรีบเดินหนีไป
ไท่จื่อยังคงยืนอยู่ที่เก่า ยกมือขึ้นลูบจมูก
เจ้าเจ็ดยังเย็นชาเหมือนเดิม
แต่ว่าเขาก็ยังดูออกว่าเจ้าเจ็ดเป็นพวกแข็งนอกอ่อนใน อย่างไรก็ดีกว่าพวกปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอพวกนั้น
ไท่จื่อกลับมาที่ตำหนักบูรพาแล้วเล่าเรื่องภารกิจที่อำเภอเฉียนเหอให้พระชายาฟัง ชายหนุ่มกำชับ “อาภรณ์สำหรับเปลี่ยนไม่จำเป็นต้องเตรียมมากมาย แค่สามชุดเท่านั้นพอ…เออจริงสิ เอาหมอนใบที่ข้าใช้ประจำไปด้วย เกรงว่าหากไปใช้หมอนที่นั่นแล้วจะนอนหลับไม่สบาย…”
พระชายาไท่จื่อที่ได้ยินว่า แม้แต่กระโถนขับเสมหะยังต้องเอาไปก็เหลืออดขึ้นมาทันที “พระองค์เสด็จไปบรรเทาภัยให้ราษฎร มิใช่เสด็จประพาสส่วนพระองค์ หากนำสิ่งละอันพันละน้อยพวกนี้ไปหมด คงไม่เหมาะนะเพคะ”
“ไม่เหมาะ?” ไท่จื่อฉุนกึก อาการคล้ายถูกเหยียบหาง “ข้าก็แค่เอาของที่ใช้เป็นประจำติดตัวไปด้วย มีอะไรไม่เหมาะงั้นหรือ การเสี่ยงชีวิตไปช่วยบรรเทาทุกข์ของราษฎรก็ลำบากและโชคร้ายพอแล้ว จะให้ตัวเองมีความสุขหน่อยมิได้เลยรึ”
พระชายาไท่จื่อกล่าวเคร่งขรึม “องค์รัชทายาท ชาวบ้านที่อำเภอเฉียนเหอกำลังประสบความทุกข์ยาก พระองค์เองก็ได้รับคำสั่งให้ไปปลอบขวัญราษฎรที่ได้รับผลกระทบ แต่หากลำพังแค่ของใช้ส่วนพระองค์ก็ต้องใช้ม้าลากตั้งหลายคันรถ หากเหล่าขุนนางและชาวบ้านเห็นเข้า ชื่อเสียงจะไม่ด่างพร้อยหรือเพคะ”
เดิมทีนางคิดว่าการได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในฐานะจิ้งอ๋องก็ดีอยู่แล้ว แต่คล้ายสวรรค์เล่นตลก แค่เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่พิธีสักการะเซ่นไหว้ ชีวิตของบุรุษผู้หนึ่งก็พลิกผันไปโดยสิ้นเชิง ส่วนชีวิตของนางและฉุนเกอเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปจนไม่อาจคาดเดา
หากเชื้อพระวงศ์สามารถหย่าร้างได้ นางเองก็อยากพาฉุนเกอเอ๋อร์หนีจากไอ้คนไม่เอาถ่านเช่นนี้ไปให้ไกล!
“ชื่อเสียงด่างพร้อยงั้นหรือ” ไท่จื่อฉงน
กว่าเขาจะได้กลับขึ้นมาเป็นไท่จื่ออีกครั้งช่างยากเย็น ฉะนั้นจะไม่ปล่อยให้เรื่องใดมาทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอันขาด
“เอาเถอะ งั้นก็เอาตามที่เจ้าจัดเลยก็แล้วกัน…” ไท่จื่อตัดบทด้วยความหงุดหงิด คร้านจะใส่ใจใบหน้าเย็นชาของพระชายาเต็มทน เขาก้าวเท้าออกไปจากห้องและตรงไปที่สวนดอกไม้เพื่อไปปรับทุกข์กับนางใน
……
อวี้จิ่นกลับมาถึงจวนอ๋องก็พุ่งตรงไปที่อวี้เหอย่วน
ช่วงต้นเดือนห้าเป็นฤดูกาลที่พุ่มพฤกษ์เขียวชอุ่มเต็มที ดอกกล้วยไม้บานเป็นกระจุกอยู่ในมุมเงียบ ต้นเหอฮวนสูงสง่าแทรกแซมด้วยพุ่มดอกขนพลิ้วไหวสีชมพูประหนึ่งพัดขนาดจิ๋ว
ท้องของเจียงซื่อในตอนนี้ขนาดใหญ่ขึ้นมาก โต้วซูหว่านเดินเล่นอยู่เป็นเพื่อนนางในสวน
เอ้อร์หนิวเดินตามหลังอย่างเกียจคร้าน มันส่ายหางปุกปุยให้เฉียดชายกระโปรงปักลายใบกล้วยไม้เป็นครั้งคราว เพื่อเรียกร้องความสนใจจากนายหญิง
เมื่อรู้ว่าอวี้จิ่นกลับมาถึงแล้ว เจ้าสุนัขตัวใหญ่ก็สับเท้าเร่งรี่ออกไปต้อนรับ
อวี้จิ่นกำลังครุ่นคิดกับตัวเองว่าจะบอกเรื่องที่ต้องไปที่เฉียนเหอกับเจียงซื่ออย่างไร จึงไม่ทันได้สนใจเจ้าสุนัข เขาเพียงแต่ทำหน้าเคร่งเครียดเดินอ้อมตัวมันไป
เอ้อร์หนิว “…” อ้าว